ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 455 วิธีการของอาจารย์พยุหะ

ตอนที่ 455 วิธีการของอาจารย์พยุหะ

ครืน ครืน

เมืองต้นไผ่มหึมาเคลื่อนไปข้างหน้าขณะที่ฉินมู่และเหออีอียืนเคียงกันอยู่บนหอคอยปราการ แม้ว่าเขาจะเคยเห็นภาพอันแสนพิลึกพิลั่นของเมืองที่เคลื่อนที่ไปด้วยตนเองมาแล้ว ฉินมู่ก็ยังพบว่านี่มันเหลือเชื่ออยู่ดี

แม้ว่าทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตกจะไม่รุดหน้าไปเลยในช่วงหมื่นปี แนวคิดอุดมการณ์ว่าทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณก็ยังคงเหนือธรรมดา

เมื่อเขาหันหลังกลับไปมองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่ในเมือง ก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง

หลังจากอาจารย์พยุหะเหออีอียอมแพ้ นางก็เพรียกขานผู้คนแห่งเมืองต้นไผ่ และผู้คนเรือนแสนก็กลับเข้ามาในเมือง ภาพของเมืองหนึ่งที่พาประชากรมากมายขนาดนี้ข้ามขุนเขาและเทือกภูไปนั้นช่างเกินจินตนาการ แต่มันปรากฏตรงหน้าเขาแล้วในบัดนี้

“การล้มล้างเจ้าตำหนักอวี้แห่งตำหนักสวรรค์แท้มิใช่เรื่องง่าย” เหออีอีกล่าว “นอกจากตระกูลเหอของข้าแล้ว พวกเรายังต้องการแรงสนับสนุนจากตระกูลใหญ่อื่นๆ อีก ในแผ่นดินตะวันตก ตระกูลเสียงและตระกูลอวี้เป็นสองตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด และกำลังความสามารถของพวกเขาก็สูงล้ำที่สุด แต่ตระกูลเสียงได้ล่มสลายไปแล้ว และตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ก็ถูกตระกูลอวี้แย่งชิงไป”

“แต่ทว่า ยังคงมีตระกูลมู่ของอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่ ตระกูลลัวของอาจารย์กระบี่ลัวอิ่นอวี้ ตระกูลฟาง ตระกูลหลิ่ว ตระกูลกง ตระกูลซี ตระกูลฝู รวมทั้งหมดสิบตระกูลใหญ่ นอกจากนั้นก็ยังมีตระกูลใหญ่รองลงมาอย่างที่เป็นของเกอเคอ เหม่าชือ เซียงข่า ซึ่งล้วนแต่มีกำลังความสามารถไม่ใช่น้อย”

ฉินมู่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ทำไมตระกูลเสียงถึงสืบทอดตำแหน่งจ้าวตำหนักสวรรค์แท้ ตระกูลใหญ่อื่นๆ มีสิทธินี้ด้วยหรือไม่”

“ที่ตระกูลเสียงสามารถสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้นั้นก็เพราะว่าเจ้าตำหนักสวรรค์แท้รุ่นที่หนึ่งเป็นแซ่เสียง” เหออีอีกล่าว “ทำให้เจ้าตำหนักคนถัดๆ มาก็มักจะเป็นพวกเสียง แม้ว่าจะมีบางสถานการณ์ที่คนแซ่อื่นมาเป็นเจ้าตำหนัก แต่ตระกูลเสียงก็จะกลับมายังตำแหน่งเจ้าตำหนักในเวลาไม่นาน ว่ากันว่า…”

เด็กสาวมองไปยังเสียงฉีเอ๋อที่อยู่ข้างๆ ฉินมู่ “ว่ากันว่าบรรพชนของตระกูลเสียงได้รับการหนุนหลังจากเทพเจ้าตนหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงยึดครองเก้าอี้เจ้าตำหนักไว้อยู่เสมอ แต่ทว่า คราวนี้มันต่างออกไป กล่าวกันว่าเทพตนนั้นไม่พอใจไหน่ขุย และไปติดต่อตระกูลอวี้แทน จึงเป็นเหตุให้ตระกูลเสียงถูกขุดรากถอนโคนได้อย่างง่ายดาย”

เทพเจ้า? หรือว่าจะเป็นเจ้าของเทวรูปไม้ที่ข้าพบในทะเลทรายเพลิงโหม

ฉินมู่ยังค่อนข้างงุนงง ดังนั้นเขาจึงถาม

“ในเมื่อเทพตนนี้สนับสนุนตระกูลเสียงมาตลอด ไฉนเขาถึงเปลี่ยนไปยังตระกูลอวี้เล่า”

“นั่นก็เพราะป้าโก่ว” เหออีอีตอบ “ปูมหลังที่มาของป้าโก่วนี้ไม่ธรรมดา ลือกันว่าเขาเป็นยอดฝีมือที่มาจากดินแดนเบื้องบน เชื่อกันว่าเป็นเขานั่นแหละที่เชื่อมการติดต่อระหว่างตระกูลอวี้และเทพตนนั้น”

“ป้าโก่ว?”

ฉินมู่กะพริบตา ป้าโก่วนั้นเป็นคำเรียกหายกย่องเหมือนไหน่ขุย อันหลังนั้นหมายถึงมารดาขององค์หญิง ส่วนป้าโก่วหมายถึงบิดาขององค์หญิง แต่ทว่า จากความเข้าใจของฉินมู่ แม้ว่าองค์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้จะเป็นเสียงฉีเอ๋อ แต่บิดาของนางได้ตายในการสู้รบไปแล้ว ดังนั้นป้าโก่วที่เหออีอีกล่าวถึงย่อมมีแต่สามีของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้จากตระกูลอวี้

แต่ถึงอย่างไร เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ยังมิได้ให้กำเนิดธิดา เช่นนี้จะเหมาะสมได้อย่างไรที่จะเรียกเขาว่าป้าโก่ว

“ป้าโก่วผู้นี้ต้องการศักดิ์ฐานะอันเหนือธรรมดาเพื่อติดต่อกับเทพเจ้านั่น” เหออีอีกล่าว “เขาลึกลับเป็นปริศนาอย่างยิ่ง และก็ลือกันว่าเขามาจากดินแดนเบื้องบนและเป็นอาคันตุกะของเหนือฟ้า เขาได้ร่วมอภิรมย์กับเจ้าตำหนักสวรรค์แท้แล้ว และว่ากันว่านางกำลังตั้งครรภ์ ป้าโก่วแพร่ข่าวออกไปว่าเด็กในท้องของนางจะต้องเป็นหญิงอย่างแน่นอน ซึ่งก็จะเป็นองค์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้!”

การให้กำเนิดธิดาคือการทำให้ตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้มั่นคง อันเป็นกฎหนึ่งที่ฉินมู่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ทว่าแผ่นดินตะวันตกยกย่องสตรี และธรรมเนียมสังคมของพวกเขาก็ค่อนข้างแตกต่างไปจากสันตินิรันดร์

ยิ่งไปกว่านั้น ตราบเท่าที่ฝึกปรือเนตรเทวะ ก็ไม่ยากเลยที่จะมองหยั่งเห็นว่าเด็กในครรภ์เป็นหญิงหรือชาย

ในเมื่อป้าโก่วยืนยันว่าเด็กในครรภ์ของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้เป็นเด็กผู้หญิง เขาย่อมไม่ผิดพลาดแน่ เจ้าตำหนักสวรรค์แท้จะต้องให้กำเนิดธิดาอย่างแน่นอน และนั่งอย่างมั่นคงบนเก้าอี้ของนาง

“ป้าโก่วผู้นี้มีแซ่อะไร”

“อวี้”

ฉินมู่ตะลึงไป “เขาก็แซ่อวี้เหมือนกันหรือ เขามีความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลอวี้”

เหออีอียิ้ม แต่ไร้ความอบอุ่นในแววตาของนาง “พวกเราทุกคนก็อยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างป้าโก่วกับตระกูลอวี้เหมือนกัน มีข่าวลือมากมายในแผ่นดินตะวันตก บ้างก็กล่าวว่าป้าโก่วเป็นบรรพบุรุษของตระกูลอวี้ บ้างก็กล่าวว่าเขาเป็นบุตรชายของเทพครองแดนหยก และตระกูลอวี้ก็สืบเชื้อสายมาจากที่นั่นเช่นกัน มีข่าวลือหลากหลาย แต่ข้อเท็จจริงยังจับต้องไม่ได้”

ฉินมู่มองนางด้วยสีหน้าพิลึก

“บ้างก็กล่าวว่าเป็นเพราะเสียงซีอวี่ขาดความสามารถ นางไม่แข็งแกร่งพอ เป็นได้แค่เจ้าผู้ปกครองมีเมตตา ดังนั้นตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางจึงถึงตระกูลอวี้แย่งชิงไป กระนั้นในสายตาของข้า แม้ว่าเจ้าตำหนักเสียงจะขาดพรสวรรค์ความสามารถก็จริง แต่ผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นป้าโก่ว”

ฉินมู่ผงกหัว

เสียงฉีเอ๋ออยู่ข้างๆ เขา แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับว่าที่เหออีอีกล่าวนั้นถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือแผนการ มารดาของเด็กหญิงผู้นี้ก็ดูไม่เหมือนแบบที่ผู้นำแดนศักดิ์สิทธิ์พึงจะมี

นางไม่เคยประสบเล่ห์เพทุบายและการต่อสู้นองเลือดมาก่อนที่จะขึ้นครองตำแหน่งจ้าวตำหนักด้วยอายุน้อย ดังนั้นย่อมไม่แปลกที่นางจะไม่สามารถต่อสู้กับตระกูลอวี้และป้าโก่วได้

แม้ว่าฉินมู่ก็ได้ขึ้นครองตำแหน่งจ้าวลัทธิมารฟ้าด้วยอายุน้อย แต่ผู้คนที่สั่งสอนเขาคือเก้าผู้อาวุโสแห่งหมู่บ้านพิการชรา ตั้งเมื่อเขายังเล็ก เขาถูกสั่งสอนถึงเล่ห์กลและเพทุบายมากมาย ทำให้เขาทั้งชั่วร้ายและกลอกกลิ้ง แต่ถึงอย่างไร ผู้อาวุโสทั้งเก้าก็ยังพบว่าเขานั้นซื่อสัตย์จนเกินไปอยู่ดี

เพราะการอบรมสั่งสอนทั้งหมด ฉินมู่จึงสามารถนั่งอย่างมั่นคงบนตำแหน่งจ้าวลัทธิ ด้วยทุกคนในลัทธิยอมรับนับถือเขาอย่างหมดใจ

เมืองต้นไผ่วิ่งตะบึงไปท่ามกลางเทือกเขาและแดนร้าง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก มันไม่มุ่งตรงไปยังตำหนักสวรรค์แท้

พวกเขากำลังไปยังถิ่นบรรพชนของตระกูลเหอ หุบเขาแม่น้ำกระบี่ ที่ซึ่งศูนย์บัญชาการใหญ่ของพวกเขาตั้งอยู่

ในฐานะหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ ตระกูลเหอมีอิทธิพลเป็นของตนเอง แม้ว่าจะด้อยกว่าตระกูลอวี้และตระกูลเสียง แต่ก็ยังคงเป็นพลังอำนาจอันมิอาจดูแคลนได้

หลังจากที่เมืองต้นไผ่วิ่งไปครึ่งค่อนวัน พวกเขาก็มาถึงหุบเขาแม่น้ำกระบี่ในที่สุด ฉินมู่มองไปไกลๆ และเห็นว่าแม่น้ำใหญ่ไหลตรงเฉียบไปข้างหน้าราวกับกระบี่ ที่ด้ามของมันมีเมืองหนึ่งปลูกสร้างเอาไว้ มีภูเขาขนาบสองข้าง ขณะที่กำแพงถูกสร้างไปตามแม่น้ำกระบี่เพื่อป้องกันสองฟากฝั่ง

เมืองนี้น่าตื่นตาตื่นใจและน่าตระหนกเป็นอย่างยิ่งสำหรับฉินมู่ เมื่อเมืองต้นไผ่มาถึงมัน ภูเขาใหญ่ก็ลุกขึ้นหลีกเผยเส้นทางหนึ่ง สะพานยาวเหยียดอันก่อขึ้นมาจากหินก็ผุดขึ้นมาจากก้นแม่น้ำเช่นกัน และมันก็คือยักษ์หินหลายตัวโค้งหลังต่อกันเพื่อให้เมืองต้นไผ่เหยียบไปบนหลังเพื่อข้ามแม่น้ำกระบี่

“มหัศจรรย์เหลือเกิน โลกแห่งแผ่นดินตะวันตกเต็มไปด้วยภาพฝันอันเกินจินตนาการอย่างแท้จริง” ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความชื่นชม

สายตาของเหออีอีราวกับน้ำใสฤดูใบไม้ร่วงเมื่อนางแย้มยิ้มอย่างนุ่มนวล “หากจ้าวลัทธิฉินชอบที่นี่ ท่านก็ไม่ต้องกลับไปหรอก ท่านอยู่ที่นี่ได้ตลอด และอีอีจะพาท่านไปเที่ยวชมทิวทัศน์มหัศจรรย์ต่างๆ ของโลกหล้า”

ฉินมู่ดีใจ “หากว่ามีสาวงามอย่างพี่สาวอีอีร่วมทางไปกับข้า นั่นจะสุขสันต์ขนาดไหนกันนะ แต่ทว่า ข้ามีธุระทางโลกมากมายที่รัดพันตัว หลังจากที่แก้ไขเรื่องราวในแผ่นดินตะวันตกแล้ว ข้าก็ยังต้องไปเยือนเหนือฟ้าเพื่อขจัดอันตรายในภายภาคหน้าอีก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเรื่องราวมากมายที่ต้องกระทำในสันตินิรันดร์…ทำไมไม่เอาอย่างนี้ล่ะ!”

เขากล่าวด้วยความตื่นเต้น “หลังจากที่เที่ยวเล่นในแผ่นดินตะวันตกสักพัก ทำไมท่านไม่มากับข้ายังสันตินิรันดร์ เพื่อให้ข้าพาท่านเที่ยวดูที่นั่น เพื่อไปพบกับความโดดเด่นเหนือธรรมดาของสันตินิรันดร์ บางทีท่านอาจจะตกหลุมรักมันก็ได้นะ!”

เหออีอีมีสีหน้าสนอกสนใจ แต่แล้วก็ส่ายศีรษะ “ข้าเกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก ตระกูลเหอยังต้องการข้าอยู่ ข้ามิอาจทอดทิ้งพวกเขา”

เมืองต้นไผ่เข้าไปในหุบเขาแม่น้ำกระบี่และหยุดยั้ง

ในตอนนั้นเอง แสงสว่างในเมืองใหญ่น้อยทั้งหมดแห่งหุบเขาแม่น้ำกระบี่ก็เปล่งแสงเจิดจ้า และดูวิจิตรตระการเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ภูเขาและแม่น้ำก็ส่องสว่างขึ้นมา

“ไปที่โถงราชวังหลักกันเถอะ” ก้อนหินใหญ่ลอยขึ้นยังระดับเท้าของเหออีอี และพานางกับพวกฉินมู่ทั้งสามเข้าไปยังโถงราชวังหลัก

“พวกชนชั้นผู้นำแห่งตระกูลเหอจะมาเยือนในเวลาไม่นานนี้ และข้าจำเป็นต้องเตรียมตัว”

ไม่นานนัก ชนชั้นผู้นำของตระกูลเหอก็มาถึง มีทั้งหญิงและชาย แต่หญิงจะมีจำนวนมากกว่ามาก และพวกเขาก็มาน้อมคารวะเหออีอี

นางเชิญให้ชนชั้นผู้นำแห่งตระกูลเหอมากมายเหล่านั้นนั่งลง พลางมีฉินมู่อยู่ข้างๆ นาง “ทุกท่าน นี่คือจ้าวลัทธิฉินแห่งลัทธิมารฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ในแผ่นดินภาคกลาง”

ทุกคนในโถงส่งเสียงอื้ออึงทันที และหญิงเฒ่าผู้หนึ่งก็กล่าวชมด้วยเสียงสั่นเทิ้ม “อาจารย์พยุหะไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงกับสามารถสยบจ้าวลัทธิมารผู้นี้ได้ ตอนนี้พวกเราก็ไปขอขึ้นรางวัลกับตำหนักสวรรค์แท้ได้แล้ว!”

“ขอขึ้นรางวัลงั้นหรือ” เหออีอีระเบิดหัวเราะ และส่ายหัว “เจ้าตำหนักอวี้เป็นเพียงแค่โสเภณีน้อยที่วางแผ่นต่ำช้าและแย่งชิงบัลลังก์ ดังนั้นควรค่าต้องสยบจ้าวลัทธิฉินเพื่อนางหรือ ขออภัยที่พูดตรงๆ หากมิใช่เพราะป้าโก่วสนับสนุนนาง นางจะมีวันได้ตำแหน่งเจ้าตำหนักหรือ ครรภ์ของนางล้มเหลวน่าผิดหวังและให้กำเนิดได้แต่บุตร นางจะให้กำเนิดธิดายังทำไม่ได้เลย เช่นนั้นนางจะเลิศเลอสักแค่ไหนเชียว”

ทุกคนในโถงหันไปมองกันไปมาด้วยความหนักอึ้ง

เหออีอีปรายตามองฉินมู่ เขาแย้มยิ้มกุมมือเสียงฉีเอ๋อ และกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ศิษย์พี่หญิงแห่งตระกูลเหอทั้งหลาย นี่คือองค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้!”

เหออีอียิ้มและกล่าวเสริม “องค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นเจ้าตำหนักเสียงย่อมอยู่ไม่ไกล หากว่าตระกูลเหอของข้าสามารถช่วยเจ้าตำหนักเสียงกำจัดโสเภณีน้อยนั้นไปได้ และช่วยนางยึดตำแหน่งเจ้าตำหนักกลับคืนมา นั่นจะเหนือล้ำกว่าเงินค่าหัวของจ้าวลัทธิไปร้อยเท่า มิใช่หรือ ทุกท่าน พวกท่านล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสของตระกูล มีความเห็นเช่นไร”

ทุกคนในโถงกลายเป็นเงียบกริบ บุรุษในตระกูลไม่กล้าปริปาก แต่พวกสตรีทั้งใจกล้าเป็นอย่างยิ่ง นางหนึ่งกล่าวประท้วง “อาจารย์พยุหะ ไตร่ตรองใหม่อีกสามครั้ง! บัดนี้ตระกูลอวี้รุ่งเรืองถึงขีดสุด ตระกูลเหอจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ป้าโก่วก็กำลังหนุนหลังนางอยู่!”

“กล่าวได้ดี” เหออีอีหัวเราะในคอ “นั่นจึงเป็นเหตุที่พวกเราจะเป็นพันธมิตรกับลัทธิมารฟ้า ด้วยการสนับสนุนของลัทธิ ไฉนเราต้องหวาดกลัวตระกูลอวี้ หากว่าพวกท่านยังคิดว่านี่ไม่เพียงพอ พวกเรายังจะร่วมมือกับตระกูลมู่และตระกูลลัว ข้าเชื่อว่าพวกเขาก็มีใจอันถูกต้องเหมาะสม เที่ยงธรรม และทรงศักดิ์ศรีเช่นกัน และจะไม่มีทางยอมรับตระกูลอวี้ไปได้นาน!”

หญิงวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งพลันลุกขึ้นมาและกล่าวด้วยความโกรธา “บัดนี้ตระกูลอวี้ควบคุมตำหนักสวรรค์แท้อยู่ พวกเขาจะทรงอำนาจมากสักแค่ไหน อาจารย์พยุหะ ต่อให้ท่านเป็นประมุขของตระกูลนี้ ข้าว่าท่านเสียสติไปแล้ว!”

“อาจารย์พยุหะ ไตร่ตรองอีกสามครั้งก่อนตัดสินใจ” หญิงเฒ่าอีกคนยืนขึ้นด้วยไม้เท้าของนาง “อย่าเอาชะตาของตระกูลเหอพวกเราไปเดิมพันในสนามพนัน”

หลังจากนาง อีกคนหนึ่งก็กล่าวมั่นใจในความชอบธรรมของตน “รากฐานกว่าหมื่นปีของตระกูลเหอพวกเรา ต้องไม่ถูกทำลายในพริบตา! หากว่าอาจารย์พยุหะยังยืนกรานเช่นนี้ ดังนั้นก็ส่งมอบตำแหน่งประมุขตระกูลคืนมาเถอะ!”

“ใช่แล้ว ส่งมอบตำแหน่งประมุขตระกูลคืนมา!”

เหออีอี มองไปรอบๆ และกล่าวด้วยสีหน้าแช่มชื่น “มีผู้อาวุโสท่านอื่นอีกไหมที่มีความเห็นเช่นนี้ เชิญท่านพูดออกมาได้ตามสบายด้วยว่านี่คือกิจการภายในของตระกูลเรา และพวกท่านก็ล้วนแต่เป็นท่านป้า ท่านยาย และท่านทวดของข้าทั้งนั้น ข้าเป็นชนรุ่นหลังจึงควรต้องล้างหูน้อมรับฟังเรื่องนี้”

ผู้อาวุโสอีกจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมาติเตียนนาง

เหออีอีรออีกสักพัก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนอื่นออกมาต่อต้านอีก จากนั้นก็แย้มยิ้ม “ดูเหมือนว่าทุกๆ คนจะลืมไปแล้วว่า ข้าขึ้นมาเป็นอาจารย์พยุหะ และประมุขแห่งตระกูลนี้ด้วยวิธีอะไร”

สีหน้าของทุกคนที่ลุกขึ้นยืนแปรเปลี่ยน ไม่ทันที่พวกเขาจะวิ่งหนีออกไปจากโถงใหญ่ กรงเหล็กก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นของเมืองต้นไผ่ จับตัวเอาทุกคนที่พูดจาเป็นปฏิปักษ์ต่อเหออีอีเอาไว้ทั้งหมด จากนั้นกรงพวกนั้นก็จมเข้าไปในพื้นดิน

เหออีอีปัดมือไปมาพลางแย้มยิ้ม “หลังจากที่ข้ากำจัดตระกูลอวี้แล้ว ข้าค่อยปล่อยพวกท่านออกมา ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านอื่นมีความเห็นใดหรือไม่”

ทุกคนในโถงลุกขึ้นยืนและโค้งคารวะ พลางกล่าวเป็นเสียงเดียว “พวกเราจะน้อมตามการชี้นำทางของอาจารย์พยุหะ!”

เหออีอีมองไปที่ฉินมู่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิธีการของข้าเป็นอย่างไรบ้าง จ้าวลัทธิฉิน?”

เขาส่งยิ้มกลับให้นาง “พี่สาวอีอีเป็นสตรีที่ไม่ธรรมดา”

สายตาของเหออีอีส่ายไปมา และมีความเอียงอายในน้ำเสียงของนางขณะที่นางกล่าวอย่างแผ่วเบา “คืนนี้ ข้าจะไม่ปิดหน้าต่าง หากว่าท่านปีนเข้ามา พวกเราสามารถสนทนากันเรื่องวิชาพยุหะกันได้ตลอดคืน และเรื่องที่ลึกล้ำยิ่งไปกว่านั้น…”

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท