ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 456 นักเพทุบายเฒ่าเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 456 นักเพทุบายเฒ่าเจ้าเล่ห์

ในคืนนั้น ยามดึกสงัด เหออีอีได้ยินเสียงเคาะที่หน้าต่าง และกลายเป็นว้าวุ่น นางรีบไปเปิดหน้าต่างออกและเห็นฉินมู่อยู่ข้างหลังบานหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “พี่สาวอีอี ข้าปีนมาที่นี่ตอนที่มั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้”

เหออีอีหัวใจเต้นตึกตักเมื่อเห็นภาพของคนรักนางภายใต้แสงเทียน หัวใจของนางโลดเต้นไปมาราวกับลิงกัง และจิตก็โลดทะยานราวม้าวิ่ง

และจากนั้น พวกเขาก็สนทนากันเรื่องวิชาพยุหะกันตลอดทั้งคืน

ก่อนที่ดวงตะวันจะแย้มพ้นขอบฟ้าขึ้นมา ฉินมู่ก็ลอบมุดออกไปทางหน้าต่าง ในเมื่อเขารู้ว่านี่คือกติกาของแผ่นดินตะวันตก พวกที่ไปวิวาห์เยือนจะต้องไม่พบเข้ากับครอบครัวของฝ่ายหญิง

แต่ฉินมู่ยังไม่ทันลงบันไดไปชั้นล่าง ก็ไปเจอกับหญิงสาวสองสามคนที่ตื่นแต่เช้า พวกนางรีบหันหน้าไปทางอื่น และแสร้งเป็นว่าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น หลังจากเมื่อฉินมู่เดินไปไกลแล้ว พวกนางถึงหัวเราะคิกคัก

เมื่อดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นไปบนฟากฟ้า เหออีอีก็อิดออดที่จะแยกจากฉินมู่และส่งเขาออกไปจากหุบเขาแม่น้ำกระบี่ “เพียงแค่ตระกูลเหอของพวกเรานั้นไม่เพียงพอที่จะทำอะไรตำหนักสวรรค์แท้ได้ ดังนั้นจ้าวลัทธิควรจะไปหาอาจารย์พิษ ส่วนข้าไปพบปะกับผู้นำตระกูลใหญ่คนอื่นๆ แห่งแผ่นดินตะวันตก เพื่อปรึกษาหารือสถานการณ์สำคัญด้วยกัน”

ฉินมู่กล่าวลานางและจากไป

เหออีอีส่งเขาไปด้วยสายตาละห้อย

เด็กสาวข้างกายนางหัวเราะแผ่วเบา “พี่สาวได้ทำเรื่องนั้นกับพี่เขยฉินหรือไม่ มีหลายคนเลยนะที่เห็นเขาปีนเข้าทางหน้าต่าง และก็หลายคนเลยที่เห็นเขาปีนลงบันไดเมื่อเช้านี้”

เหออีอีตาปรือ และเรี่ยวแรงก็ดูไม่ค่อยจะมี นางกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ทำเรื่องอะไรเล่า พวกเราคุยกันแต่วิชาพยุหะตลอดทั้งคืน”

เด็กสาวอีกคนเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยรอยยิ้ม “คุยกันเรื่องวิชาพยุหะ นั่นคือข้ออ้างของท่านหรือ เมื่อวานนี้ราตรียาวนาน และพวกท่านก็คงเหมือนกับนกเป็ดน้ำคู่หนึ่งที่เหินบินไปด้วยกัน!”

เหออีอีกัดฟันกรอดจนเสียงดังออกมา

พวกสาวๆ กระโดดโหยงด้วยความตกใจ “ท่านคุยแต่เรื่องวิชาพยุหะกับพี่เขยตลอดทั้งคืนจริงๆ น่ะหรือ”

เหออีอีมองไปที่พวกนางด้วยความจนปัญญา “ก็เขาน่ะตื่นเต้นสุดๆ ข้าจะทำอะไรได้ล่ะ ขืนใจเขาหรือ ตระกูลพวกเรายังต้องการหน้าอีกไหม หากว่าข้าใช้กำลังขืนใจเขาจริงๆ พวกเราไม่ทำลายตึกรามบ้านช่อง และฉีกทึ้งเมืองต้นไผ่ไปหมดหรอกหรือ”

“ข้าได้แต่สนทนากับเขาเรื่องวิชาพยุหะตลอดทั้งคืน แต่โชคดีว่าความรู้และประสบการณ์ของเขาเลิศล้ำเหนือธรรมดาอย่างสุดๆ พวกเราจมจ่อมลงไปในการสำรวจวิชาพยุหะถึงขั้นที่ข้าลืมเผยความรักใคร่ของข้า และพบว่าราตรีนั้นสั้นเกินไป เมื่อคิดๆ ดูตอนนี้แล้ว ข้าว่าพวกเราน่าจะทำอะไรต่อมิอะไรก่อน แล้วค่อยดำดิ่งในมรรคาแห่งพยุหะและแลกเปลี่ยนความรู้กัน”

พวกสาวๆ หันไปมองซึ่งกันและกันด้วยความหนักใจ หนึ่งหญิงหนึ่งชายในเวลาค่ำคืนร่วมกันในห้องรโหฐาน แต่พวกเขากลับสนทนากันแต่เรื่องวิชาพยุหะตลอดทั้งคืนหรือ “เลวร้ายสุดๆ…เขาเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เถื่อน!”

“อย่างนั้นทำไมพี่สาวถึงปล่อยให้พี่เขยฉินออกไปตามหาอาจารย์พิษ แม่เท้ากีบน้อยนั่นล่ะ” เด็กสาวคนอื่นถามอย่างอาจหาญ “หากว่ามู่ยิ่งเสว่ไม่เก็บอาการแบบพี่สาว และแย่งชิงพี่เขยไป ท่านจะทำอย่างไร”

เหออีอียิ้มหยัน “เว้นแต่แม่สาวแซ่มู่นั่นจะใช้กำลัง ใครก็ลืมไปได้เลยที่จะได้ตัวเขา ตั้งแต่ที่แม่สาวแซ่มู่นั่นพ่ายแพ้ให้แก่เขา นางก็ลืมเขาไม่ได้เลยสักนิด และความรักใคร่ลุ่มหลงของนางก็หยั่งรากลึกเข้าไปทุกที นางชอบต่อสู้ชิงดีกับข้า หากว่านางพบว่าข้าพ่ายแพ้ นางจะต้องมาเย้ยหยันข้าแน่ๆ เช่นนั้นทำไมข้าไม่ปล่อยให้นางประสบความปราชัยแบบเดียวกัน เพื่อปิดปากของนางเสียล่ะ”

พวกสาวๆ ชื่นชมแผนการของนาง “พี่สาวช่างทรงปัญญา!”

ฉินมู่นำเสียงฉีเอ๋อไปยังหลังกิเลนมังกร และพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังเมืองขุนเขาสายฟ้า ที่ซึ่งอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่พำนักอยู่

“พี่ชาย พวกเราไม่ไปตำหนักสวรรค์แท้หรือ” เสียงฉีเอ๋อถามด้วยความสงสัย

“ข้าก็วางแผนจะไปที่นั่น แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวของราชครูและแม่ของเจ้า ข้าสงสัยว่า…” หางตาของฉินมู่กระตุกไปมาและเขาก็ยิ้มหยัน “ราชครู ไอ้นักเพทุบายเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น ไม่โผล่หัวออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ และตอนนี้ข้าเห็นแล้วว่าเขาต้องการทำอะไร! เขาจะต้องรอให้ข้าก่อความวุ่นวายใหญ่ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของกองกำลังหลักตำหนักสวรรค์แท้แน่ๆ”

“จากนั้นเขาก็จะเข้าไปคว้าชัยชนะมาท่ามกลางความโกลาหล! นักเพทุบายเฒ่านั่น…ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลตอนที่เขาอุตส่าห์วิ่งมาถึงสถาบันนักบุญสวรรค์ด้วยตนเอง เพื่อเชื้อเชิญแม่ของเจ้าไปยังแผ่นดินตะวันตก แล้วทำทีเป็นชวนข้าไปร่วมด้วยเช่นกัน”

เขาเงยศีรษะขึ้น และมองสำรวจไปรอบๆ มีเมฆสองสามก้อนที่ตามพวกเขามาในท้องฟ้า และเขากล่าวแก่กิเลนมังกรโดยพลัน “มังกรอ้วน พวกเราถูกสะกดรอยอีกแล้ว”

กิเลนมังกรแตกตื่น และรีบวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม

ความเร็วของเมฆขาวเหล่านั้นก็เพิ่มพูนขึ้นมา แต่ไม่นานกิเลนมังกรก็ทิ้งให้พวกมันกินฝุ่น

ฉินมู่พบว่าไม่เพียงแต่เมฆขาวเท่านั้นที่ไล่ตามพวกเขา แม้แต่น้ำในแม่น้ำกระบี่ก็ไล่ทวนกระแส คลื่นน้ำเคลื่อนไปราวกับมังกร แต่พวกมันก็ไม่สามารถตามพวกฉินมู่ได้ทันอยู่ดี

ฉินมู่มองไปที่มันด้วยความฉงน ผู้ฝึกวิชาเทวะนี้น่าจะเป็นยอดยุทธฝีมือแกร่งแห่งตำหนักสวรรค์แท้ วิธีการสะกดรอยของเขานั้นนับว่าล้ำเลิศไร้ใดเปรียบ และหากว่าพวกเขาถูกพบเห็นเข้าแล้ว ก็คงยากที่จะสลัดหลุด

กระนั้นทำไมราชครูสันตินิรันดร์ นักเพทุบายเฒ่านั่น ถึงรู้ว่าเขาจะดึงดูดความสนใจมากมายหลังจากที่เข้ามาในแผ่นดินตะวันตกล่ะ หรือแม้แต่สามารถดึงดูดกองกำลังตำหนักสวรรค์แท้ได้

เขานั้นรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว และไม่ทำอะไรโฉ่งฉ่างชัดๆ ไอ้นักเพทุบายเฒ่านั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะกลายเป็นเป้าหมายใหญ่ของตำหนักสวรรค์แท้

“ราชครูคือจิ้งจอกเฒ่า…”

ฉินมู่มองไปยังเสียงฉีเอ๋อ และรู้โดยพลันว่าใครคือเป้าหมายที่แท้จริง

จากความเข้าใจของเขาที่ได้รับมาในช่วงวันเวลาเหล่านี้ แผ่นดินตะวันตกให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อองค์หญิงน้อย และตำหนักสวรรค์แท้ก็ต้องการองค์หญิงน้อยหนึ่งคน เพื่อที่จะดำรงตำแหน่งอย่างมั่นเหมาะ ในเมื่อฉินมู่พาองค์หญิงน้อยเสียงฉีเอ๋อเดินทางมาด้วยกับเขา นี่จะไม่ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดไปได้อย่างไร

เสียงซีอวี่ปลอดภัยไร้กังวล ขณะที่เสียงฉีเอ๋อนั้นเป็นเป้าโจมตีของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้!

ในครั้งกระโน้น เป้าหมายที่อวี้ป๋อชวนไล่ล่าไปมิใช่เสียงซีอวี่ แต่เป็นเสียงฉีเอ๋อ!

ฉินมู่ยังคงจดจำได้ว่าทำไมเขาถึงช่วยเหลือเสียงซีอวี่สองแม่ลูก นั่นก็เป็นเพราะว่าอวี้ป๋อชวนรังแกเด็กผู้หญิงอายุสี่ห้าขวบอย่างเสียงฉีเอ๋อ เขามิอาจทนดูได้ จึงเสี่ยงชีวิตไปช่วยพวกนาง

แต่เมื่อเขามาคิดดูแล้ว ที่อวี้ป๋อชวนต้องการสังหารเสียงฉีเอ๋อนั้นมิใช่ไร้สาเหตุ

ทำไมตำหนักสวรรค์แท้ถึงให้ความสำคัญกับองค์หญิงน้อยมากขนาดนั้นนะ

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพิศวงงงงวย และนั่งยองๆ ลงไป เขาจับไหล่ของเสียงฉีเอ๋อ และหมุนนางดูรอบๆ สองสามที แต่เขาก็ไม่พบว่านางมีอะไรพิเศษ นี่ทำให้เขายิ่งงุนงงมากกว่าเดิมเสียอีก

ไหน่ขุยเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ และชื่อเรียกหานั้นหมายความว่ามารดาขององค์หญิง ส่วนบิดานั้นเรียกว่าป้าโก่ว สองนามนี้มีที่มาจากองค์หญิงน้อย อันเผยให้เห็นว่าตำหนักสวรรค์แท้ให้คุณค่าแก่องค์หญิงน้อยมากเพียงใด มันจะต้องมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้สิ!

เสียงฉีเอ๋อมองไปที่เขาด้วยดวงตากลมโต กะพริบปริบๆ อย่างใสซื่อ นางดูไม่เหมือนจะมีความสามารถพิเศษพิสดารอะไร

ทันใดนั้น ฉินมู่ก็เพ่งความสนในไปที่เป้หลังเล็กๆ ของนางและตะลึงไปครู่หนึ่ง เสียงฉีเอ๋อแบกมันติดตัวตลอดเวลา ตลอดทางจากสถาบันนักบุญสวรรค์จนถึงที่นี่ เขาคิดมาตลอดว่ามันคงบรรจุเสื้อผ้าของนางเอาไว้และไม่ได้ใส่ใจมาก่อน

บัดนี้เขาสงสัยขึ้นมาว่ามีอะไรอยู่ในเป้หลังเล็กๆ นั่น

“ฉีเอ๋อ ในเป้หลังของเจ้ามีอะไรอยู่หรือ” ฉินมู่ถาม

เสียงฉีเอ๋อปลดมันออก และเปิดมัน ทำให้แสงสีเขียวทาบทอใบหน้าฉินมู่

เขาถอนหายใจ “อย่างที่คิดไว้เลย ราชครู ไอ้นักเพทุบายเฒ่านั่น…”

ลูกแก้วมังกรเขียววางนิ่งอยู่ในเป้หลังของเด็กหญิง มันเขียวราวกับหยก ทั้งส่องประกายและโปร่งแสง ดวงวิญญาณมังกรแหวกว่ายในนั้นอย่างนุ่มนวล

เมื่อฉินมู่แตะลูกแก้วมังกร ดวงวิญญาณมังกรก็มองเขาอย่างเหยียดหยาม แต่เมื่อเสียงฉีเอ๋อแตะมัน ดวงวิญญาณมังกรเขียวก็มองไปที่นางอย่างเป็นมิตร มันแตะเข้ากับมือของนางจากข้างในลูกแก้วอย่างอ่อนโยน

“ความไร้เดียงสาของเด็กๆ คือวัตถุดิบที่ดีที่สุดในการฝึกปรือวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ”

ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน สาเหตุที่ว่าทำไมตำหนักสวรรค์แท้ถึงต้องการองค์หญิงน้อยนั้นก็เพราะว่าความไร้เดียงสาของนาง โดยปราศจากความคิดไม่บริสุทธิ์ใดๆ นางก็จะสามารถควบคุมสมบัติวิเศษอย่างลูกแก้วมังกรเขียว และปลดปล่อยพลานุภาพของมันจนถึงสุดขีดขั้ว

ในตำหนักสวรรค์แท้ ยังมีสมบัติวิเศษอีกสามชิ้นที่เป็นสัญลักษณ์แทนเต่าดำ หงส์แดง และพยัคฆ์ขาว บุคคลที่สามารถปลดปล่อยพลานุภาพของสมบัติพวกนี้ทั้งหมด ก็มีแต่องค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้!

ผู้ที่กำลังฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ มิใช่ไหน่ขุยหรือยอดฝีมือคนอื่นๆ แต่เป็นองค์หญิงน้อยที่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่สักตัว

ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่ล่วงหน้าไปแผ่นดินตะวันตก แต่กลับทิ้งลูกแก้วมังกรเขียวไว้ให้เสียงฉีเอ๋อ ย่อมไม่ใช่ความคิดของเสียงซีอวี่อย่างแน่นอน แต่จะต้องเป็นความคิดของราชครูสันตินิรันดร์

เสียงซีอวี่ไม่อาจไว้วางใจในตัวราชครู นางจึงร้องขอให้ฉินมู่พาเสียงฉีเอ๋อไปด้วยกับเขา แต่นางไม่มีทางคาดคิดว่าจะตกในแผนเล่ห์เพทุบายของราชครูสันตินิรันดร์ และปล่อยให้ฉินมู่กับเสียงฉีเอ๋อกลายเป็นเป้าหมายหลักของตำหนักสวรรค์แท้ และเวลาเดียวกันนั้น ราชครูและนางก็จะสามารถหยิบยืมการกำบังที่พวกเขาสร้างให้ และดำเนินแผนการในสถานที่ลับ

ราชครูนี่ต้องโดนฟาดตูดสักที เขานั้นเป็นเทวราชแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้าชัดๆ แต่เขากล้าวางแผนร้ายแม้แต่กับจ้าวลัทธิของเขาได้อย่างไร

ฉินมู่ถอนหายใจและปลุกปลอบใจขึ้นใหม่ ในตอนนั้นเอง กิเลนมังกรก็หยุดชะงัก เขากล่าว “จ้าวลัทธิ มีบางอย่าง”

ฉินมู่มองไปข้างหน้าและเห็นภูเขามากมายยาวเหยียดไปที่ไกลๆ โลงศพดำห้อยลงมาจากหน้าผา พวกมันแทบจะปกคลุมหน้าผาไปหมด ทำให้ทั้งภูเขากลายเป็นสีดำ

เขารีบนับโลงศพพวกนี้ และพบว่ามีจำนวนถึงสี่พันห้าพันโลงเลยทีเดียว

“นี่คือ…แดนเลี้ยงศพ!”

เขาเปิดเนตรสวรรค์ชาดเพื่อมองดู และพลันเห็นลมชั่วร้ายพัดเป่าเป็นระลอก และมีเมฆดำคลี่คลุมอยู่เหนือเทือกเขา

สถานที่นี้นับว่าเหมาะแก่การเลี้ยงศพจริงๆ

จากแผนที่ภูมิประเทศแห่งแผ่นดินตะวันตก ตอนนี้พวกเขาอยู่ในชนบทต่ำใต้ที่อยู่ห่างจากเมืองขุนเขาสายฟ้าไปราวๆ แปดพันลี้ ชนบทต่ำใต้นั้นเป็นดินแดนอาณาเขตของตระกูลหลิ่วแห่งแผ่นดินตะวันตก

แดนเลี้ยงศพนี้อยู่ในอาณาเขตของตระกูลหลิ่ว? หรือว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าของที่นี่

ฉินมู่พลันตระหนักขึ้นมาว่าซากศพนั้นไม่มีทั้งดวงจิตและดวงวิญญาณ เช่นนั้นมันจะไม่เป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกให้ปลุกพรายวิญญาณขึ้นมาหรอกหรือ ร่างกายของผู้ฝึกวิชาเทวะที่ต่างไปนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวของชีวิต และเหนือล้ำกว่าอาวุธวิญญาณไปลิบลับ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีแขนขาสี่ข้าง และอาจจะสามารถขับเคลื่อนทักษะเทวะในการต่อสู้ได้อีกด้วย ดังนั้นพวกเขายิ่งมีประโยชน์กว่าอาวุธวิญญาณไปหลายเท่า

“ลุกขึ้น และร่ำรวย!”

ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังมา และฉินมู่มองไปยังแหล่งที่มาเสียง เขาเห็นชายจำนวนหนึ่งโพกด้วยผ้าคาดหัวปักลายกำลังท่องสวดประโยคนั้นพลางขับเคลื่อนทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตก โลงศพดำโลงหนึ่งพลันงอกขาขึ้นมาและถีบทะยานออกไปจากหน้าผาราวเหินบิน จากนั้นลงมาจอดที่พื้นด้วยเสียงตึง

แกรก

โลงศพเปิดออกมา และมีหญิงนางหนึ่งโผล่ขึ้น คอของนางเหลียวไปรอบๆ อย่างแข็งทื่อ จากนั้นนางก็มองไปยังฉินมู่ “หรือว่าเจ้าจะเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้าจากแผ่นดินภาคกลาง”

ฉินมู่ตะลึงไป เขาบอกไม่ได้เลยจริงๆ ว่าหญิงสาวจากโลงศพนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว

“นั่นคือข้าเอง ไม่ทราบว่าท่านคือใคร”

“หลิ่วหรูยินแห่งตระกูลหลิ่ว”

หญิงนั้นก้าวออกมายืนที่พื้น “ข้าได้ยินว่าจ้าวลัทธิได้นำองค์หญิงน้อยมายังแผ่นดินตะวันตก นางอยู่ที่ใด”

ฉินมู่ยกมือเสียงฉีเอ๋อขึ้นชูและแย้มยิ้ม “องค์หญิงน้อยอยู่ที่นี่”

หลิ่วหรูยินมองไปยังเสียงฉีเอ๋อ และแสงในดวงตาของนางลุกวาบ กลิ่นเน่าเหม็นพลันคละคลุ้งไปทั่วฟ้า และโลงศพมากมายก็งอกขาออกมาเพื่อวิ่งตะบึงลงมาจากหน้าผา มีกระทั่งโลงศพที่ลอยมาในอากาศ พลางเปิดออกส่งเสียงเอี๊ยดอ้าดเต็มไปหมด ‘ศพ’ มากมายในสภาวะเป็นตายที่ฉินมู่ระบุไม่ได้ก็ลุกขึ้น และพุ่งเข้ามายังเสียงฉีเอ๋อ

ฉินมู่ยื่นมือเข้าไปหยิบลูกแก้วมังกรเขียวจากเป้หลังของเด็กหญิง และวางเข้าไปในมือนาง พลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หลิ่วหรูยิน ตระกูลหลิ่วของเจ้าดูเหมือนไม่ได้มาดีสินะ”

เมื่อหลิ่วหรูยินเห็นลูกแก้วมังกรเขียว นางก็ปิดหน้าของตนเองไว้อย่างข่มไม่อยู่ หวีดร้องด้วยความสะพรึงกลัว “อย่าเพิ่งวู่วาม!”

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท