ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 466 เพทุบายเฒ่าปรากฏตัว

ตอนที่ 466 เพทุบายเฒ่าปรากฏตัว

ในพริบตาที่กระบี่บินแปดพันเล่มแทงไปยังหม้อห้าอสุนีบาต โลกทั้งโลกก็พลันเงียบงัน ปราศจากสรรพสำเนียงใดๆ แม้แต่กระบี่บินก็ไร้เสียง

จากนั้น พื้นที่เหนือหม้อห้าอสุนีบาตก็ระเบิดออก และเปลวสายฟ้าพุ่งออกมา

สายฟ้าสีดำทมิฬยิงขึ้นข้างบนและระเบิดกัมปนาท พวยพุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้า

เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ผู้ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักเห็นสายฟ้าสีดำอันดูราวกับมังกรไร้เขากำลังแสยะเขี้ยวอวดเล็บ จากนั้นมันก็แตกระจายออก กลายเป็นสายฟ้าสว่างเจิดจ้าอันดูราวกับฝูงมังกรไร้เท้าทะยานขึ้นไปบนเวหา

ในเสี้ยววินาทีนั้น ก็มีสายฟ้านับหมื่นที่พวยพุ่งขึ้นไปบนห้วงนภา แต่กระนั้นในเสี้ยววินาทีถัดมา มันก็มันก็แยกกระจายออกเป็นมังกรไร้เขานับร้อยล้านตัว

เมฆแสงเจิดจ้าบาดตาก่อขึ้นมาตรงหน้าตำหนักสวรรค์แท้ และหม้อห้าอสุนีบาตก็ลอยเลื่อนขึ้นไปบนอากาศ ปลดปล่อยเปลวสายฟ้าอันฟาดเปรี้ยงปร้างขึ้นไปสู่เมฆอสุนีบาตอย่างไม่หยุดยั้ง

ในเวลาเดียวกันที่ข้างหลังเมฆสายฟ้า ฝูอวิ๋นซีนำหญิงสาวนับหมื่นแห่งตระกูลฝูขับเคลื่อนทักษะเทวะของพวกนาง ผลักดันเมฆสายฟ้าไปทางตำหนักสวรรค์แท้

เจ้าตำหนักสวรรค์แท้สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และนางคว้าลูกแก้วเต่าดำที่ผู้อาวุโสตระกูลอวี้คนหนึ่งกำลังใช้อยู่มา

ไม่ทันที่นิ้วของนางจะกำรอบมันได้ เมฆสายฟ้าอันน่าสยองขวัญก็มาถึงตำหนักสวรรค์แท้แล้ว ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ภาพเงาอันก่อขึ้นมาจากลูกแก้วพยัคฆ์ขาว ลูกแก้วหงส์แดง และลูกแก้วเต่าดำก็ล้วนแตกสลายไป ทะเลระเหยแห้ง เพลิงไฟมอดดับ และภูเขาทองคำก็พังทลาย

ตูม!

อสุนีบาตสายแรกฟาดลงมา และพุ่งตรงไปยังตำหนักสวรรค์แท้ เสียงกัมปนาทสะเทือนกึกก้องเมื่อมันฟาดไปยังเทวรูปตนหนึ่ง

เปลวฟ้าสายแรกราวกับสะเก็ดไฟที่ร่วงลงไปในหม้อน้ำมัน พลันจุดสันดาปทุกๆ อย่างที่อยู่ในนั้น มันราวกับฝนหยดแรกจากเมฆฝนทะมึน และที่ตามมาก็คือเปลวอสุนีบาตนับพันๆ ล้านอันฟาดเปรี้ยงฉีกฟ้า ถล่มลงไปยังตำหนักสวรรค์แท้!

“โล่เทวะเต่าดำ!” เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ตะโกนออกไป ดิ้นรนสุดชีวิตที่จะกระตุ้นเร้าการทำงานของลูกแก้วเต่าดำ โล่เต่าดำใหญ่มหึมาพลันขยายตัวออก คลี่คลุมด้านหน้าของตำหนักสวรรค์แท้

ตูม!

สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดปะทุเมื่อพวกมันฟาดลงไปกระทบโล่เต่าดำ และพื้นผิวของโล่เทวะนี้ก็ยุบลงไปจากแรงกระแทกที่กดอัดเข้ามา เจ้าตำหนักสวรรค์แท้กระอักโลหิตเมื่อนางดิ้นรนสุดชีวิตที่จะป้องกันผู้คนของนางเอาไว้

โล่เทวะเต่าดำทานทนสายฟ้าได้ไม่นานก็ไม่สามารถป้องกันศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ไว้ได้อีก ทะเลอสุนีบาตซัดเข้ามา และหญิงสาวมากมายก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน!

แม้แต่รูปปั้นเทวะอันมีรัศมีทัดเทียมเทพยดาก็ไม่ต้านทานพายุสายฟ้าเอาไว้ได้ เมื่อพวกมันพุ่งขึ้นไปต่อสู้กับทะเลสายฟ้า แขนขาของพวกมันก็หลอมละลาย กลายเป็นทองดำและทองแดงหลอมเหลว!

เมื่อเสียงฉีเอ๋อมองไปยังตำหนักสวรรค์แท้จากที่ไกลๆ นางก็พบว่ามันได้กลายเป็นทะเลอสุนีบาตไปเรียบร้อยแล้ว สายฟ้าจำนวนมากผ่าเปรี้ยงปร้างไม่หยุดหย่อน ทำให้สถานที่นั้นสว่างจ้าแสบตา

ก่อนหน้านั้น ลูกแก้วมังกรเขียวของนางต้องไปต่อสู้กับสามมหาสมบัติวิญญาณ แต่เมื่อเมฆสายฟ้าเข้าไปทำลายพลังของพวกมัน แรงกดดันบนตัวเด็กหญิงน้อยก็ลดถอยลงไปอย่างยิ่ง ในที่สุดนางก็มีเวลาพักหายใจ

“ฉีเอ๋อ คุณสมบัติธาตุของลูกแก้วมังกรเขียวคือสายฟ้า” เสียงซีอวี่พลันปรากฏเบื้องหลังนางและกล่าวอย่างนุ่มนวล “พวกเราใช้ลูกแก้วมังกรเขียวส่งศัตรูพวกนี้ไปสู่สุคติกันเถอะ”

“ท่านแม่!” เสียงฉีเอ๋อทั้งประหลาดใจและยินดี เสียงซีอวี่เผยรอยยิ้มและกอบมือของเด็กหญิงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกนางประคองลูกแก้วมังกรเขียวด้วยกัน และกล่าวด้วยเสียงเบา “ชีวิตที่ตกตายของตระกูลเสียง ต้องชดใช้ด้วยชีวิตของศัตรู!”

แสงสีเขียวอันไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกจากลูกแก้วมังกรเขียว และแปรเปลี่ยนเป็นมังกรเขียวที่พุ่งทะยานเข้าไปในเมฆสายฟ้า พลานุภาพของสายฟ้าพลันเพิ่มพูนขึ้นอย่างน่าแตกตื่น

เจ้าตำหนักสวรรค์แท้เห็นเช่นนั้น และหัวใจของนางก็พลันท่วมท้นไปด้วยความสิ้นหวัง ตระกูลอวี้จบสิ้นแล้ว…

โล่เทวะเต่าดำระเบิดระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และพายุสายฟ้าอันไร้ประมาณก็กลืนกินนางและศิษย์อวี้ข้างหลัง

ในพริบตานั้น แสงกระบี่หนึ่งก็ยิงฝ่าพายุอสุนีบาต และพุ่งตรงไปยังเสียงซีอวี่ แสงกระบี่ของเขาดูราวกับสมบูรณ์แบบ กวาดล้างทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้แต่พายุสายฟ้าก็ยังถูกฉีกทำลาย!

เพลงกระบี่และเต๋ากระบี่ของเขาได้ไปถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แม้แต่พายุสายฟ้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้

แสงกระบี่นั้นเร็วอย่างยิ่งยวด ราวกับว่ามันพุ่งมาจากนอกอวกาศ สายฟ้ากลายเป็นผุยผงและไม่อาจกลบบังแสงสว่างที่พวยพุ่งออกมาจากกระบี่!

แต่ทว่า ก่อนที่มันจะมาถึงหน้าของเสียงซีอวี่และธิดาของนาง แสงกระบี่อีกแสงก็พลันปรากฏขึ้นมา และขัดขวางกระบี่นั้นด้วยเสียงเคร้ง

“ราชครูสันตินิรันดร์?” ป้าโก่วแย้มยิ้ม “ข้ารู้มาตั้งนานแล้วว่าเจ้าอยู่ในแผ่นดินตะวันตก แต่เจ้ามีนิสัยสันดานอันต่ำช้า คอยแต่มุดหัวซ่อนอยู่ในที่มืด แต่ทว่าเจ้าหาโอกาสโจมตีข้าไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ ในท้ายที่สุด ก็ยังคงเป็นข้าที่บีบเจ้าให้โผล่หัวออกมา”

ราชครูสันตินิรันดร์เดินเข้ามา เหยียบไปบนอากาศราวกับว่ามันคือพื้นราบ เขาสวมใส่ชุดเขียวและสีหน้าราบเรียบ กระบี่อยู่ในมือขวาและมือซ้ายของเขาก็ไพล่หลังอยู่ กำมือด้วยเคล็ดลับกุมกระบี่

ป้าโก่วสวมใส่ชุดขาว แต่เขาก็มีมือหนึ่งซ่อนไว้ข้างหลังใช้เคล็ดลับกุมกระบี่อยู่เช่นกัน

เงาร่างทั้งสองเคลื่อนที่ไปๆ มาๆ ท่ามกลางพายุสายฟ้า แม้ว่าเสียงของสายฟ้าจะสะท้านโลกา แต่มันก็มิอาจกลบทับเสียงปะทะกันของกระบี่ได้ เสียงเคร้งๆ ราวกับไข่มุกร่วงลงไปในถาดหยก ดังมาอย่างต่อเนื่อง

ข้างใต้หม้อห้าอสุนีบาต ฉินมู่นั้นถูกดึงเข้าไปโดยพลังงานสายฟ้าอันเข้มข้น พลังดึงดูดของมันได้ดึงเขาและกิเลนมังกรเข้าไปยังเปลวสายฟ้า แม้แต่กิเลนมังกรตัวอ้วนหนักก็ยังดูเบาหวิวราวกระดาษ เขาดิ้นไปดิ้นมาอย่างช่วยเหลือตนเองไม่ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถคว้าจับเอาไว้

ฉินมู่ก็รู้สึกทันทีว่าเขากลายเป็นไร้น้ำหนัก เส้นผมของเขาสยายกระจายไปทุกทิศทาง ท่ามกลางเส้นผม ก็มีประกายสายฟ้าแล่นพล่านไปมาพลางส่งเสียงแตกเปรี๊ยะปร๊ะ!

เขาถึงกับรู้สึกว่าเส้นขนทั้งหมดบนร่างกาย เต็มไปด้วยสายฟ้าเล็กละเอียดเมื่อพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวเข้ามาฟาดใส่ร่างของเขา

มันรู้สึกราวกับว่าเขาถูกเข็มของเซียนขาวปักเข้าไปทั่วทั้งร่าง ไม่มีจุดไหนเลยที่ไม่เจ็บปวด

ฉินมู่รีดเร้นพลังงานทั้งหมดของเขาเพื่อปลุกเนตรสวรรค์เก้า และรังสีแสงอสุนีบาตก็เกลื่อนกล่นเต็มตา

เขามองเห็นกิเลนมังกรเพียงรางๆ เท่านั้น แม้กระทั่งแผงขนคอและเกล็ดของเขาก็พุ่งชี้ชัน มีสายฟ้าแล่นพล่านไปมาตามขนและเกล็ดเหล่านั้น

ฉินมู่นำรังมังกรแท้ออกมา น้ำหนักของมันทับร่างของเขาลงไป จนเขาครางหนักออกมาด้วยความจุก แต่ถึงอย่างไร เขาก็หยุดยั้งแรงดึงของสายฟ้าได้ในที่สุด และร่างของเขาก็ร่วงลงจากท้องฟ้า ระหว่างทางที่ร่วงลง เขาพุ่งลงไปชนกับกิเลนมังกรและพาอีกฝ่ายลงไปข้างล่างด้วยเช่นกัน

ด้วยสองมือกอดรังมังกรแน่ เขาใช้น้ำหนักของมันหลบหนีจากแรงดึงดูดของอสุนีบาต เมื่อหนีพ้นมาได้ไกลพอสมควร เขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนฟากฟ้า

หม้อห้าอสุนีบาตลอยอยู่ที่นั่น ยกสูงขึ้นและสูงขึ้น กระบี่บินแปดพันเล่มของเขาดูเหมือนจะถูกหยุดเวลาเอาไว้ และลอยไปมารอบๆ หม้อห้าอสุนีบาต สายฟ้าพุ่งผ่านพวกมันราวกับว่าพวกมันคือสายล่อฟ้า อันเอาไว้ดึงดูดฟ้าผ่าโดยเฉพาะ

กระบี่บินกลายเป็นแดงฉานจากพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวและฉินมู่ก็กังวลว่าพวกมันอาจจะไม่สามารถทนทานสายฟ้าเทพยดาจากหม้อห้าอสุนีบาตได้

เขาสลัดหลุดจากแรงดึงดูดสายฟ้า และเห็นแสงสีเขียวฉาบทอนภากาศ เขาเงยหน้าขึ้นมองดูลูกแก้วมังกรเขียวที่เร้าแรงระเบิดของเมฆอสุนีบาต

“ตระกูลอวี้จบสิ้นแล้ว…” เขาพึมพำ

สายฟ้าเหล่านั้นกึกก้องเสียจนตัวเขาก็ไม่ได้ยินเสียงพูดของตนเอง

จากนั้นเขาก็เป็นป้าโก่วพุ่งเข้ามา และราชครูโผล่มาขัดขวางเขา แสงสีขาวและสีเขียวต่อสู้กันอย่างดุเดือดท่ามกลางเมฆสายฟ้า

“เพทุบายเฒ่า!” ฉินมู่สบถออกมาและเฝ้ามองการต่อสู้ของสองสุดยอดฝีมือ เขาพบว่าทั้งคู่มิได้ใช้ทักษะเทวะเพลงกระบี่ แต่กลับถือกระบี่ในมือซ้าย และมือขวาซ่อนข้างหลังด้วยเคล็ดลับกุมกระบี่

การเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วอย่างสุดขั้วยากที่จะจำแนกแยกแยะ เคล็ดลับกระบี่ข้างหลังพวกเขาแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดยั้ง ราวกับว่ากำลังคำนวณบางอย่าง

ฉินมู่ค่อนข้างประหลาดใจ การเปลี่ยนแปลงในเคล็ดลับกุมกระบี่ของทั้งสองนั้นรวดเร็วจนเขามองไม่ถนัด เขาได้แต่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะจดจำการเปลี่ยนแปลงของสัญลักษณ์มือเหล่านั้น ในเมื่อเขารู้สึกว่าเคล็ดลับกุมกระบี่ของสองสุดยอดฝีมือนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนการต่อสู้ระหว่างราชครูสันตินิรันดร์และป้าโก่ว ได้ไปถึงเขตขั้นสูงสุดคืนสู่สามัญ เพลงกระบี่ของพวกเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันเพริศแพร้วและมันเป็นเพียงท่วงท่ากระบี่พื้นฐานไม่กี่ท่วงท่า แต่ทว่า แต่ละการโจมตีจะทำให้ห้วงมิติรอบๆ กระบี่สะท้านสะเทือน ทักษะเทวะของพวกเขาสามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังคลื่นกระเพื่อมเหล่านั้น เต๋ากระบี่ที่ซ่อนอยู่มิใช่สิ่งที่ฉินมู่จะสามารถตรึกตรองเข้าใจได้

สมแล้วกับที่เป็นอัจฉริยะวายร้ายที่ปรากฏขึ้นมาทุกๆ ห้าร้อยปี ความสำเร็จของเขาในเต๋ากระบี่รุดหน้ารวดเร็วขนาดนี้เชียว!

ฉินมู่พยายามอย่างที่สุดที่จะจดจำเคล็ดลับกุมกระบี่เหล่านั้น แต่ทันใดเทวรูปทั้งหลายก็ทะลวงผ่านสายฟ้าเทพยดาและพุ่งเข้าไปในพายุอสุนีบาต พวกมันระเบิดรัศมีเทวะอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญออกมาพร้อมๆ กัน เพื่อปัดเป่าเมฆสายฟ้าออกไปอย่างรวดเร็ว เปลวฟ้าจำนวนมายพลันพวยพุ่งกระจัดกระจาย และฟาดเปรี้ยงไปทั่วทิศทาง

เทวรูปทั้งแปดสภาพยับเยิน ไม่มีอันไหนเหลือดี แต่พวกมันก็ยังคงพวยพุ่งไปด้วยพลังการต่อสู้และพยายามที่จะเข้าไปใกล้ราชครูสันตินิรันดร์

ชายผู้นี้ดูราวจะไม่สำเหนียกเลยแม้แต่น้อย และยังคงต่อสู้กับป้าโก่ว ขณะที่เสียงซีอวี่พาเสียงฉีเอ๋อเข้าไปใกล้ พวกนางยกลูกแก้วมังกรชูขึ้นให้แสงสีเขียวพวยพุ่งไปข้างหน้า มันทำให้รูปปั้นเทพเจ้าทั้งหลายกลายเป็นไม้และแข็งค้างอยู่บนอากาศ

ทันใดนั้นรูปปั้นหนึ่งที่กลายเป็นไม้ก็เอี้ยวคอไปรอบๆ และรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยก็ปรากฏขึ้นมาบนเทวรูปนั้น มันยื่นมือออกไป และลูกแก้วมังกรเขียวในมือเสียงฉีเอ๋อก็ลอยออกไปโดยที่นางไม่ยินยอม พุ่งไปยังมือของเทวรูปนั้น “สาวน้อย ขอบใจมาก!”

เสียงฉีเอ๋อตกตะลึงและสูญเสียการควบคุมลูกแก้วมังกรเขียว ขณะที่เสียงซีอวี่รู้สึกหนาวเยือกถึงกระดูกสันหลัง “ระวัง! นั่นคือเทพเจ้าแห่งตำหนักสวรรค์แ–”

ไม่ทันที่นางจะกล่าวจบ แสงหลากสีก็สาดส่องเปล่งจำรัสออกมาจากศีรษะของราชครูสันตินิรันดร์ สะพานเหินหาวพุ่งทะลวงผ่าอากาศ และดูเหมือนมันจะเหยียดยาวไปยังสถานที่อันไกลสุดหยั่ง แสงเทวะอันไร้ประมาณราวกับว่าสาดส่องมาจากจุดสิ้นสุดแห่งกาลและอวกาศและเติมเต็มสรวงสวรรค์ทั้งเก้าชั้น ที่ปลายสุดสะพานคือหมู่ปราสาทราชวังสวรรค์ที่มองเห็นอยู่รางเลือน

จิตวิญญาณดั้งเดิมของราชครูสันตินิรันดร์พุ่งออกมาจากปราสาทสวรรค์อันเลือนรางนั้น และก้าวขึ้นมาเหยียบบนสะพานเทวะ กระบี่ของเขาพุ่งออกไป ราวกับไม่สนใจอวกาศและระยะทาง แสงกระบี่พวยพุ่งผ่านกาลเวลา และในพริบตาที่เทวรูปนี้คว้าจับลูกแก้วมังกรเขียวเอาไว้ได้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของราชครูก็ทะลวงทะลุหว่างคิ้วของมัน คมกระบี่แทงไปโผล่ที่ท้ายทอย

โลหิตหลั่งไหลลงจากหน้าผากของ ‘เทวรูป’ และมันมีเลือดกับเศษสมองที่ไหลออกมาจากข้างหลังศีรษะด้วยเช่นกัน การเสียหายที่เกิดขึ้นดูเหมือนไม่ใช่เกิดกับเทวรูป แต่เกิดกับสิ่งมีชีวิต!

ใบหน้าอันไร้อารมณ์ของราชครูคลี่คลายออกมาเป็นรอยยิ้มในที่สุดเมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเหาะเหินกลับไปขึ้นไปบนอากาศ เขายืนไพล่หลังข้างหนึ่งและอีกมือก็ถือกระบี่ เดินอ้อมป้าโก่วไป “เจ้าไม่เคยใช่เป้าหมายของข้าเลย”

ฉึก ฉึก ฉึก!

เขากับจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาโจมตีประสานกันจากสองฝั่ง และแสงกระบี่ก็พุ่งวาบไปเมื่อมันเฉือนตัดแขนขาของป้าโก่ว จากนั้นเขาก็ยกกระบี่ขึ้นเพื่อบั่นศีรษะของคู่ต่อสู้

“สะพานเทวะ!” ฉินมู่ร้องออกมาอย่างแตกตื่น และความกระวนกระวายใจของเขาก็สงบราบคาบในที่สุด

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมราชครูสันตินิรันดร์จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี เพียงผ่านไปครึ่งปีหลังจากที่ฉินมู่และคณะได้ก่อตั้งตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติของสะพานเทวะ แต่เขากลับสามารถบ่มเพาะสะพานเทวะออกมาได้ในที่สุด!

เพทุบายเฒ่า เจ้าซ่อมแซมสะพานเทวะเสร็จและเข้าไปในปราสาทสวรรค์ ดังนั้นจึงกลายเป็นเทพเจ้าไปแล้ว แต่กระนั้นก็ยังซ่อนในมุมมืดและคอยวางแผนร้ายเป่าอุบายใส่ผู้คน…

ฉินมู่ลอบด่าทอเขาในใจ ขณะที่ข้างหลังเขาคือเสียงตะโกนของสตรีจำนวนมาก ภายใต้การนำของประมุขตระกูลต่างๆ ทั้งหลาย ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลใหญ่ก็โจมตีตำหนักสวรรค์แท้

มู่ยิ่งเสว่เดินผ่านมาทางฉินมู่และกล่าวด้วยเสียงเบา “หนุ่มน้อย หากว่าราชครูสันตินิรันดร์ยังมีชีวิตอยู่ อย่าก่อกบฏเด็ดขาด เล่ห์เหลี่ยมเจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก!”

เหออีอีก็เข้ามาอีกข้างและกระซิบที่หู “หากว่าเจ้าก่อกบฏ เจ้าจะตายอย่างไม่รู้ตัว! ราชครูสันตินิรันดร์นั้นกลอกกลิ้งเกินไป!”

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ พลางคิดในใจ ข้าไม่เคยคิดเรื่องก่อกบฏเลยสักนิด แต่ทว่า ราชครู หมอนี่มันเจ้าเล่ห์เพทุบายเสียเหลือเกิน…

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน