ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 468 งานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์

ตอนที่ 468 งานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์

ฉินมู่มีความรู้สึกหวาดสยองขึ้นมา หากว่ามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ยังคงซ่อนตัวอยู่ในตำหนักสวรรค์แท้จริงๆ ก็แปลว่านางอยู่ในที่มืดและพวกเขาอยู่ในที่สว่าง หากว่ามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ลอบโจมตีพวกเขา ใครจะขัดขวางนางได้

ฉินมู่ไม่รู้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะสามารถป้องกันนางได้หรือไม่ แต่ตัวเขาเองกระทำมิได้แน่นอน!

ต่อให้มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สังหารราชครูไม่สำเร็จ แต่ต้องสังหารเขาสำเร็จอย่างแน่นอน

เป้าหมายของนางคือเขาหรือว่าข้า?

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ ราชครูเป็นภัยคุกคามมากกว่าเดิมเมื่อเขาได้ฝึกปรือบ่มเพาะสะพานเทวะแล้ว เขาได้กำจัดป้าโก่วและร่างปลอมของนาง ตามหลักเหตุผล เขาน่าจะเป็นเป้าหมายของนาง

แต่ในทะเลทรายเพลิงโหม มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้ลงมือกับฉินมู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งไปกว่านั้น การรุกรานตำหนักสวรรค์แท้ก็เป็นฝีมือของเขาเสียมาก เมื่อเทียบกับราชครูแล้ว ความเกลียดชังที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีต่อเขาน่าจะลึกล้ำกว่า!

ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะต้องอยู่ข้างๆ ราชครูเอาไว้ ถอยห่างจากเขาก้าวเดียวก็ไม่ได้เด็ดขาด!

ราชครูสันตินิรันดร์ยื่นมือออกไป และวาดไปข้างๆ หญิงสาวมากมายบนกำแพงก็เลื่อนไปข้างๆ ด้วยและเผยภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพที่สี่

มันบันทึกการต่อสู้ระหว่างมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ เรือตะวัน และเรือจันทรา

การต่อสู้นั้นเริ่มขึ้นโดยมารดาเฒ่าสวรรค์แท้เข้าไปโจมตีแดนโบราณวินาศ มันได้ดึงดูดเรือตะวันและเรือจันทรามา จากนั้นนางก็ถอยกลับเข้าไปในทะเลทรายเพลิงโหม อันเป็นสถานที่ที่นางทำลายกองเรือเหล่านั้น

ภาพการต่อสู้บนจิตรกรรมฝาผนังนั้นยิ่งใหญ่อลังการ เรือแผ่นดินขนาดมหึมาลากเอาดวงตะวันและจันทรามาในนภากาศ ผู้พิทักษ์ตะวันและผู้พิทักษ์จันทรายืนอยู่บนเรือใหญ่ด้วยร่างอันสูงตระหง่าน แต่ใบหน้าของพวกเขาแสยะบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกคนชั่ว

กระนั้นก็ไม่ได้มีเพียงแต่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ต่อสู้กับพวกเขา มันยังมีเทพเจ้าอื่นๆ บนท้องฟ้าอีก แต่ทว่าบนจิตรกรรมฝาผนัง เทพเหล่านั้นถูกวาดไว้เล็กจิ๋ว ขณะที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ทั้งดูฮึกหาญและแข็งแกร่ง ด้วยจิตวิญญาณอันเกริกไกร เทพเจ้าอื่นๆ เป็นเพียงได้เพียงแค่ทารกต่อหน้านาง!

“มารดาเฒ่าสวรรค์แท้แข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ” ฉินมู่อดสงสัยไม่ได้เมื่อเขาเห็น

“ให้ข้าเล่าสักเรื่อง เผื่อเจ้าจะได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วมารดาเฒ่าสวรรค์แท้มิได้แข็งแกร่งเลย วันหนึ่ง จักรพรรดิได้พาข้าและขุนนางคนอื่นๆ ออกไปล่าสัตว์ เมื่อพวกเราจับเหยื่อได้ จักรพรรดิก็สั่งให้จิตรกรวาดภาพขึ้นมา และจิตรกรผู้นั้นก็ได้วาดภาพจักรพรรดิใหญ่ขนาดนี้แหละ” ราชครูกล่าว

เขายกมือซ้ายขึ้นคีบนิ้วชี้และนิ้วโป้งห่างสักหน่อยเพื่อแสดงขนาดของเขาในภาพวาด “และข้าก็เล็กแค่นี้ จักรพรรดินั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกร ส่วนข้ากับขุนนางทั้งหลายเล็กจิ๋ว ท่ามกลางพวกเขาทุกคน ตัวข้านั้นเล็กที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจิตรกรวาดภาพข้า เขาก็วาดหน้าข้าให้บิดเบี้ยวดุดัน ด้วยสีหน้าอันกลอกกลิ้งและชั่วร้าย จักรพรรดิไม่พึงพอใจจึงสั่งให้จิตรกรวาดขึ้นมาใหม่ แต่มันก็ลงเอยแบบเดิม ดังนั้นจักรพรรดิจึงไล่เขาออกและให้เขาไสหัวกลับบ้านเกิด”

ฉินมู่เข้าใจความหมายของเขาและแย้มยิ้ม “บุคคลที่วาดจิตรกรรมนี้ คงจะประจบสอพลอมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ นางไม่น่าที่จะแข็งแกร่งไปกว่าท่าน มิเช่นนั้นนางคงไม่ใช้ร่างปลอมไปโจมตีท่าน”

“กำลังฝีมือของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้น่าจะแข็งแกร่งมาก แต่วิชาของนางน่าจะมีจุดอ่อนอันใหญ่หลวง พลังวัตรของนางแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่เวทมนตร์ของนางยังอยู่ในเต๋าแห่งทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ หากว่านางไม่เผยตนออกมา ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่หากว่านางโผล่ออกมา นางจะต้องตาย”

ราชครูสันตินิรันดร์เต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ทันใดเขาก็เปลี่ยนเรื่อง เขากล่าวในเชิงบอกเตือนฉินมู่ “ข้างกายจักรพรรดิมีพวกประจบสอพลอ เช่นนั้นผู้มีอำนาจอื่นๆ จะขาดคนพวกนี้ได้อย่างไร แต่ทว่าผู้คนเหล่านี้มิได้น่ากลัว ความคิดของพวกเขาต่างหากที่น่ากลัว”

“จิตรกรวาดภาพข้าและขุนนางอื่นๆ ให้ตัวเล็กจิ๋วนั้นก็พอเข้าใจได้ แต่เขาไม่ควรวาดภาพข้าให้ดูชั่วร้ายกลอกกลิ้ง เพราะนั่นคือการเจือปนความเกลียดชังส่วนตัวเข้าไป เขาหมายที่จะใช้โอกาสนี้ในการสอพลอจักรพรรดิ และโน้มนำมุมมองของจักรพรรดิที่มีต่อข้า ให้จักรพรรดิคิดว่าข้านั้นทั้งกลอกกลิ้งและชั่วร้าย เขาหมายจะใช้มันเพื่อกำจัดข้าและหยุดยั้งการปฏิรูป การรวมทั้งประจบสอพลอเข้ากับการแทงข้างหลังนั้นมันมากเกินไป”

เขามองไปที่ฉินมู่ด้วยรอยยิ้มอันมิเชิงยิ้ม “จ้าวลัทธิมีตำแหน่งอันสำคัญและแม้แต่จักรพรรดิก็มีอาญาสิทธิ์ไม่ทัดเทียมกับเจ้าในบางกรณี เจ้าจะต้องระวังผู้คนที่ซ่อนดาบไว้หลังผายลมของพวกมัน”

ฉินมู่ก้ำกึ่งระหว่างหัวเราะกับร่ำไห้ ซ่อนดาบไว้หลังผายลม…ราชครูทั้งมากวรรณศิลป์และหยาบคายในเวลาเดียวกัน

เมื่อเขามีวรรณศิลป์ เขาสามารถร่วมเสวนากับเฒ่าหนวกและคนแล่เนื้อได้ แต่เมื่อเขาหยาบคาย เขาก็สามารถกล่าวประโยคอย่างซ่อนดาบหลังผายลม

แต่ทว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ยากเลยที่ชีวิตหนึ่งจะได้พบกับผู้ที่แทงข้างหลังคู่ต่อสู้ด้วยคำยกยอปอปั้นระหว่างที่ซุกซ่อนเจตนาอื่นเอาไว้ข้างหลัง คำเตือนของราชครูสันตินิรันดร์ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง

“บนภาพวาด มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีเทพเจ้าอื่นๆ สนับสนุน แต่ว่าพวกเขามาจากที่ไหน”

ฉินมู่ตรวจตราดูภาพวาดและพิจารณาเทพตนอื่นๆ ในนั้น พยายายามที่จะจำแนกแยะแยะใบหน้า เขาพลันมองเห็นบุคคลผู้หนึ่งที่ดูคุ้นตา “นั่นเทพครองแดนหยก! หรือว่าคนอื่นๆ ก็เป็นเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้า ไม่สิ พวกเขาไม่น่าจะเป็นเทพแห่งเหนือฟ้าเสียทั้งหมด!”

เขาจดจำอีกใบหน้าได้

เขานำเอาม้วนภาพออกมาจากถุงเต๋าตี้และคลี่มันออกมาอย่างแผ่วเบา เขาทาบมันไว้ข้างๆ เพื่อเปรียบเทียบ และตรวจดูเทพเจ้าในจิตรกรรมอีกครั้ง

ราชครูสันตินิรันดร์อึ้งไปเล็กน้อย “นี่คือภาพวาดการสักการะดวงวิญญาณที่จ้าวลัทธิวาดมิใช่หรือ”

“ใช่แล้ว” ฉินมู่เงยหน้าขึ้นเพ่งมองภาพจิตรกรรม “ทักษะเทวะสักการะดวงวิญญาณที่ผานกงสั่วใช้นั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง รูปเงาของเทพเจ้าปรากฏอยู่เบื้องหลังเขา ข้าวาดมันไว้ตรงนี้ ราชครู โปรดช่วยดูให้ที เทพในภาพวาดของข้าเหมือนกับเทพในจิตรกรรมไหม”

ราชครูสันตินิรันดร์มองสลับไปมาอยู่หลายครั้งก่อนจะผงกหัว

ความฉงนปรากฏบนใบหน้าของฉินมู่ และเขาก็จ่อมจมลงไปในความคิด “เทพเจ้าของผานกงสั่วครั้งหนึ่งเคยปรากฏในโลกแห่งนี้ และเป็นพวกเดียวกับมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ หนึ่งนั้นก่อตั้งตำหนักสวรรค์แท้ และอีกหนึ่งก่อตั้งวังทองโหรวหลัน ถ้าอย่างนั้น เขายังอยู่ในโลกนี้หรือไม่ หากว่าเขายังมีชีวิตอยู่…”

ความหนาวยะเยือนแล่นไปทั่วแผ่นหลังของเขาแม้ว่าอากาศจะไม่หนาวเหน็บ

ทักษะเทวะของผานกงสั่ว สังหารผู้ใดก็ตามที่เขาสักการะ หากว่าเทพเจ้าตนนั้นช่วงใช้วิชาเองล่ะ ใครจะไปต้านทานการสักการะของเขาได้

“จิตรกรรมฝาผนังที่นี่บันทึกไว้เพียงแต่ประวัติศาสตร์ของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ และมิใช่สิ่งที่ข้าต้องการ” ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัว และเดินออกไปจากโถงจำหนัก “หากว่าตำหนักสวรรค์แท้เป็นส่วนหนึ่งของสภาสวรรค์จริงๆ มันก็น่าจะมีประวัติศาสตร์อันดึกดำบรรพ์กว่านี้ที่บันทึกเอาไว้บนบนภาพจิตรกรรม อันมิใช่เพียงแค่ประวัติศาสตร์ของตำหนักสวรรค์แท้! มันจะต้องมีโถงวังที่บันทึกประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่านี้!”

ฉินมู่ตามเขาออกไป และตอนนั้นพวกสตรีตระกูลอวี้ถึงค่อยร่วงลงกับพื้น สามารถขยับเขยื้อนได้

การต่อสู้ข้างนอกยังคงดำเนินไป และสถานการณ์ก็วุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง ตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่อสู้กับลูกแก้วหงส์แดง พวกนางต่างขัดแข้งขัดขาซึ่งกันและกัน เล่นสกปรกต่างๆ

พลานุภาพของลูกแก้งหงส์แดงนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง และมิได้ด้อยไปกว่าลูกแก้วมังกรเขียวเลย มันเป็นหนึ่งในสี่มหาสมบัติวิญญาณแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ดังนั้นมันจึงกระตุ้นเร้าให้ผู้คนต่อสู้แย่งชิงมัน

แม้ว่าหญิงสาวจะเป็นผู้ถือกุมอำนาจในแผ่นดินตะวันตก แต่ความขัดแย้งภายในและการดิ้นรนชิงอำนาจของพวกนางก็มิได้ด้อยไปกว่าสันตินิรันดร์

ฉินมู่ตามราชครูสันตินิรันดร์ไปยังโถงหลักแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และพบว่าจิตรกรรมฝาผนังที่นั่นแตกต่างไปจากราชวังอื่นๆ

ราชครูสันตินิรันดร์ยืนอยู่ตรงหน้าภาพจิตรกรรมหนึ่งและมองไปที่มันอย่างเยือกเย็น ทันใดนั้นหางตาของเขาก็กระตุก และความหวาดกลัวก็แผ่ไปทั่วสีหน้าของเขา

ฉินมู่มองไปที่ภาพจิตรกรรมและเห็นสภาสวรรค์อันยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีบุคคลอันแต่งกายคล้ายจักรพรรดิสวรรค์กำลังเชื้อเชิญทวยเทพทั้งหลายให้มาเข้าร่วมงานเลี้ยง และมีเทพเจ้ามากมายที่เข้ามาร่วมงาน!

“ภูติบดี!”

หัวใจฉินมู่สะท้านอย่างรุนแรงเมื่อเขาเห็นภูติบดีผู้ซึ่งมีเขาคู่อยู่บนศีรษะท่ามกลางเทพเจ้าทั้งหลาย!

ในภาพจิตรกรรมนี้ ตำแหน่งของภูติบดีสูงเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นใบหน้าของเขาก็ลางเลือนไม่ชัดเจน และมิใช่เขาคนเดียวที่เป็นเช่นนั้น!

นี่หมายความว่า ยังมีตัวตนอีกมากมายที่ศักดิ์ฐานะทัดเทียมกับภูติบดี

ในภาพวาด เทพเจ้าทั้งหลายยืนค้างอยู่ในท่วงท่าต่างๆ กัน ภาพจิตรกรรมนี้แจ่มชัดเป็นอย่างยิ่ง จนดูราวกับว่าพวกเขาจะก้าวออกมาและมีชีวิตได้ นี่แสดงว่าจิตรกรที่วาดภาพนี้ฝีมือล้ำเลิศไม่ใช่น้อย

สายตาของฉินมู่กวาดผ่านทวยเทพทั้งหลาย แต่เขาไม่พบวี่แววของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้หรือแม้แต่ป้าโก่ว “หรือว่าในกาลครั้งนั้น มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็ยังไม่เกิด”

หางตาของราชครูสันตินิรันดร์ยังคงสั่นกระตุก ขณะที่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นี่คือปราสาทสวรรค์ที่แท้จริง สภาสวรรค์ที่แท้จริง…มิน่าล่ะ มิน่าล่ะว่าทำไมแม้แต่จักรพรรดิก่อตั้งก็ยังถูกทำลายล้าง…”

ฉินมู่จับมือของเขา และพบว่ามันสั่นเทิ้มอยู่ ความกลัวและลังเลใจปรากฏอยู่ในห้วงลึกของดวงตาอันว่างเปล่าของชายกลางคนผู้นี้!

“ราชครูกลัวกับแค่ภาพวาดอย่างนั้นหรือ” ฉินมู่หัวเราะ

ราชครูสันตินิรันดร์ดิ้นรนดึงมือที่ถูกยุดเอาไว้ออก แต่เสียงของเขาก็ยังคงแหบพร่า “เจ้าไม่กลัวหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีเทพเจ้ามากมายแค่ไหนที่อยู่ในสภาสวรรค์แห่งนี้ เจ้าไม่เข้าใจหรือว่าความพินาศของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งเกิดขึ้นมาจากทวยเทพในสภาสวรรค์แห่งนี้”

ความสิ้นหวังฉายอยู่บนใบหน้าของเขาขณะที่เขาหัวเราะขื่น “ข้าเคยคิดว่าข้าจะสามารถกำจัดคนชั่วช้าและสามารถเปลี่ยนโลกหล้าให้เป็นฟ้าและดินอันกระจ่างสดใส ข้าหมายที่จะป้องกันมิให้ผู้คนถูกหลอกลวงอีกต่อไป และทำลายเทพเจ้าทั้งหลายในวิหารและในหัวใจของพวกเขา เพื่อให้พวกเขามีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับสรวงสวรรค์ แต่นี่มิใช่เพียงแค่เรื่องตลกหรอกหรือ จ้าวลัทธิฉิน เจ้าไม่เข้าใจอะไรสักนิด! หากว่าข้ายังคงปฏิรูปอีกต่อไป จักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จะมีจุดจบแบบเดียวกัน ปฏิรูป เหอเหอ…”

เขานั้นถอดใจอย่างถึงที่สุด และจมลงไปในความเหม่อลอย เขาโบกมือไปมาพลางกล่าว “ข้าไม่ไปเหนือฟ้าอีกต่อไปแล้ว เมื่อข้ากลับไปที่สันตินิรันดร์ ข้าจะพาฮูหยินของข้าไปซ่อนตัวเร้นกาย จ้าวลัทธิ เจ้า… จงเป็นจ้าวลัทธิต่อไปเถอะ ส่วนเรื่องการปฏิรูป อย่าได้แตะมันอีกต่อไป”

เขาหันกายเพื่อเดินออกไปจากโถงวังด้วยสีหน้าอันแห้งแล้ง เขาสูญเสียความกล้าหาญในการต่อสู้ไปจนหมดสิ้น

“เทวราช เจ้าถามข้าว่าข้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่ ให้ข้าตอบเจ้าสักคำ!”

ราชครูสันตินิรันดร์ชะงักเท้า

“ข้ารู้” รอยยิ้มของฉินมู่แจ่มจ้ากว่าที่เคย “ข้านั้นยังพัวพันลึกล้ำยิ่งกว่าเจ้า จักรพรรดิก่อตั้งนั้นก็มีแซ่ฉิน และเด็กกำพร้าแห่งจักรวรรดิจักรพรรดิก่อตั้งที่ถูกทำลายล้างไปก็ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า”

ราชครูสันตินิรันดร์ตัวสั่นเทิ้ม เขาหันกลับมามองยังเด็กหนุ่มคำพูดของเขาตะกุกตะกัก “เจ้า–เจ้า…”

ฉินมู่ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน “ชื่อของข้าอาจจะเป็นชื่อไม่จริง แต่แซ่ของข้านั้นมิใช่เทียมเท็จ ฉินของจักรพรรดิก่อตั้งคือฉินของข้า หากว่าข้ายังไม่กลัว แล้วเจ้าจะกลัวไปทำไม เทวราช ข้านึกอะไรดีๆ ออก ช่วยข้าฝนหมึกหน่อย”

ราชครูสันตินิรันดร์ยังคงแตกตื่นจากคำพูดของเขา และไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร

ฉินมู่นำพู่กันออกมาและโยนแท่นฝนหมึกให้กับเขา เขามองไปยังภาพจิตรกรรมอันได้สั่นคลอนราชครูอย่างรุนแรงด้วยความสนอกสนใจ ผ่านไปสักครู่ ประกายตาเขาก็ลุกวาบเมื่อเขาพบประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ เขาถามด้วยรอยยิ้ม “หมึกเตรียมพร้อมหรือยัง”

ราชครูสันตินิรันดร์นิ่งงัน แทบจะรับแท่นหมึกไม่ทัน ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าวอีกครั้ง “เทวราช นี่ไม่สมเป็นท่านเลย อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีหายไปไหนแล้ว”

ราชครูสันตินิรันดร์สูดลมหายใจลึก โยนความคิดทุกอย่างทิ้งไป และเพ่งสมาธิกับการฝนหมึก

ฉินมู่จุ่มพู่กันให้ดูดน้ำหมึกเข้าไปอย่างเต็มที่ และตวัดวาดสองสามเส้นไปที่มุมขวาของภาพจิตรกรรม หลังจากที่เขาทำเสร็จ เขาก็แย้มยิ้มแล้วกล่าว “ช่วยข้าล้างพู่กันหน่อย”

“เจ้า!” ราชครูสันตินิรันดร์แทบจะกลั้นโทสะไว้ไม่อยู่ “ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งสิ้นสุดไปเมื่อสองหมื่นปีแล้ว และทายาทรุ่นที่ร้อยๆ ของจักรพรรดิก่อตั้งก็อาจจะไม่ได้สูงส่งไปกว่าชาวนา! หากว่าเจ้าเล่นตลกกับข้า ข้าจะจัดการเจ้าแบบที่เจ้าจะต้องจดจำไปจนวันตาย”

ฉินมู่หัวร่อฮาๆ แล้วกล่าว “พวกเราค่อยกลับไปหลังจากที่เจ้าล้างพู่กันแล้ว”

ราชครูสันตินิรันดร์ล้างพู่กันด้วยความพิถีพิถัน เขานั้นจริงจังในทุกๆ เรื่องที่เขาทำ และไม่เคยเลินเล่อ

ฉินมู่เก็บพู่กันและแท่นฝนหมึกของตนเอง ก็จะคว้ามือของชายกลางคนผู้นี้ เขาลากอีกฝ่ายตรงไปยังภาพจิตรกรรมด้วยรอยยิ้ม “ให้ข้าพาเจ้าไปพบปะสังสรรค์ งานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์!”

ทั้งสองคนโยนตัวเองเข้าไปใส่ภาพจิตรกรรม และหายวับเมื่อพวกเขาหลุดเข้าไปในนั้น

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน