ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 469 บุรุษนับหมื่นจนหนทางไปต่อ

ตอนที่ 469 บุรุษนับหมื่นจนหนทางไปต่อ

วิสัยทัศน์เบื้องหน้าราชครูสันตินิรันดร์พลันแปรเปลี่ยนไป เมื่อแสงสว่างกลับมา พวกเขาก็ได้เข้าไปในปราสาทสวรรค์ พวกมันยิ่งใหญ่อลังการ และภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ทอดตัวออกไปในที่ไกลๆ แสงเทวะสาดส่องลงในโลกอันไร้ขอบเขต

“นี่คือโลกในภาพวาดหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์แตกตื่นอย่างสุดขีด หากว่าพวกเขาอยู่ในโลกในภาพวาดจริงๆ นี่มันไม่กว้างใหญ่ไพศาลไปหน่อยหรือ

เขามองไปยังที่ไกลๆ แต่หมู่ปราสาทสวรรค์อันสลับซับซ้อนเหล่านั้น มีมากมายอย่างสุดลูกหูลูกตา!

บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยทวยเทพ บ้างก็น่าเกรงขาม บ้างก็สูงส่งศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็เลิศล้ำเหนือโลก แต่ทว่าเทพส่วนใหญ่เดินไปๆ มาๆ ตามหาและเรียกขานสหายของพวกเขา พลางแลกเปลี่ยนกันชนจอกสุราและร่วมวงดื่มกันเป็นกลุ่มใหญ่

ฉินมู่ได้นำราชครูเข้าไปในภาพวาด และเข้าไปในงานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์ มีโถงทางเดินยาวรอบๆ ตัวพวกเขาอันดูราวกับสะพานยาวเหยียด รุ้งเหินหาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ลอยอยู่เหนือเก๋งศาลา และโคมไฟอันมีปักษาเทวะอัคคีข้างในก็ทำประหนึ่งเป็นเทียนไขที่ส่องสว่างและให้ความอบอุ่น

และยังมีเทพธิดาที่กำลังเล่นเครื่องสายและเครื่องเป่าอันวิลิศมาหรา สตรีบางนางก็กำลังร่ายรำอยู่บนใบบัว ขณะที่ฝนมาลาสวรรค์โปรยปรายลงมารอบๆ กายพวกนาง

เทพบางพวกที่กำลังเมามายก็เซไปซ้ายขวา ยกไหสุราของพวกเขาขึ้นพลางกระเซ้าเย้าเทพนารีที่หลบเลี่ยงพวกเขาด้วยความอาย

ราชครูสันตินิรันดร์ละลานตาจนเกินกว่าจะมองอะไรจนครบถ้วน พวกเขาอยู่ที่ใจกลางงานเลี้ยง อันมีเทพเจ้านับไม่ถ้วนอยู่รอบๆ ในที่ห่างไกล แสงสว่างจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ฉายส่องมา

ภูติบดีอยู่ไม่ห่างไกลจากพวกเขา และบนหัวของเขานั้นคือเขาที่มีเก้าบิด เขานั่งนิ่งไม่ไหวติงโดยมีเพลิงไฟโหมไหม้เป็นรัศมีรอบกายราวกับนรกภูมิ

ยังมีตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวอย่างมหันต์อยู่สูงขึ้นไปอีก ใบหน้าของพวกเขารางเลือน แต่ความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามที่พวกเขาเปล่งออกมานั้นมิใช่เรื่องเล็กน้อย

“ราชครู ตอนนี้เจ้าเหมือนบ้านนอกเข้าเมืองไม่มีผิด เหมือนกับข้าตอนที่เข้าเมืองเขตมังกรเป็นครั้งแรกเลย!”

ฉินมู่หัวร่อฮาๆ และพลันฉวยไหสุราออกมาจากเทพนารีนางหนึ่งข้างๆ เขา เขายกมันขึ้นมากรอกใส่ปากของตนจนสาแก่ใจ

เทพนารีนั้นโกรธเกรี้ยวขึ้นมาและตะโกนออกไป “เด็กต่ำช้านี่มาจากที่ไหน นี่คือสุราศักดิ์สิทธิ์สำหรับเทพสูงส่ง เจ้าจะมาแตะต้องได้หรือ”

“หญิงน่ารำคาญ!”

ฉินมู่ง้างเท้าเตะเทพนารีนั้นออกไป เขาคว้าเอาไหสุราอีกไหที่กระเด็นขึ้นมาจากถาด และยัดใส่มือของราชครูสันตินิรันดร์ จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะหยกตรงหน้าเทพเจ้าอันลอยอยู่สูงส่งขึ้นไป พลางดื่มมันจนสมใจ

เทพเจ้านั้นเดือดดาลและเงื้อฝ่ามือขึ้นฟาดตบเขา แต่ฉินมู่ยกมือเขาขึ้นมาและชักกระบี่ออกมาตัดแขนของอีกฝ่าย

เขาหัวร่อด้วยเสียงอันดัง คว่ำโต๊ะหยกให้ระเนระนาดพลางตะโกน “บทกวีตะวันและจันทรา พร้อมด้วยสุราของผู้อมตะ วีรบุรุษจากแดนไกล เหาะเหินขึ้นไปสวรรค์ชั้นเก้า!”

ฉึก!

ศีรษะของเทพสูงส่งนั้นถูกบั่นออก และฉินมู่ก็บุกเข้าไปในอีกโถง สร้างความโกลาหลขึ้นบนสรวงสวรรค์ เทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนโกรธเกรี้ยวและโจมตีเขา แสงกระบี่พุ่งวูบวาบในมือของฉินมู่ และเขาต่อสู้กับเทพสูงส่งทั้งหลาย เขาตัดศีรษะเทพยดาเหล่านั้นให้กลิ้งหลุนๆ ไปข้างกายภูตบดี

ฉินมู่แขวนห้อยศีรษะเทพไว้บนเขาของภูติบดีและหัวเราะ “เนรเทศจากเกาะเผิงไหลอันสูงส่ง แขวนเสื้อตำแหน่งไว้หน้าโถงหยกแห่งฝางจ่าง!”

ภูติบดีระเบิดโทสะ และร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม แปรเปลี่ยนเป็นร่างเทวะอันสูงเป็นร้อยวา เพลิงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งออกมาจากใต้เท้าของเขา

ฉินมู่ขับเคลื่อนไจกระบี่ของตน และกระบี่ทั้งแปดพันเล่มที่พุ่งไปรอบๆ ภูติบดี พวกมันหมุนเป็นเกลียววนเพื่อเชื่อมต่อกันเป็นท่วงท่ากระบี่เกลียว อันเฉือนตัดเทพสูงส่งผู้นี้ให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฉินมู่เช็ดมือของเขา และกระบี่บินก็กวาดล้างออกไปทั่วสารทิศราวกับมังกรยาวเหยียด ความตื่นเต้นของเขาพลุ่งพล่านเมื่อเขาเข่นฆ่าและเอื้อนโคลงกลอน “พบพานมังกรยาวพันวา ยังคงแบหลาในชั้นขนหงส์ไฟ!”

เทพเจ้ามากมายโถมพุ่งเข้าใส่เขาราวกับน้ำหลากที่คุกคามหมายจะกลบกลืน

แสงเทวะสาดส่องถึงยอดฟ้า และฉินมู่ก็พุ่งออกมาจากทะเลของแขนขาที่ถูกเฉือนบั่น เขาดีดนิ้วเคาะกระบี่และขับร้อง ปลดปล่อยความนำพาทั้งหมด “บุรุษนับหมื่นจนหนทางไปต่อ ทวยเทพต้องระย่อกับพลังท้าทายสวรรค์! ราชครู ให้ข้าทุบทำลายเทพในหัวใจเจ้า!”

ราชครูสันตินิรันดร์หัวร่อฮาๆ ความระทดท้อใจเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง จิตวิญญาณแจ่มจ้าขึ้นเป็นร้อยเท่า เขากล่าวด้วยเสียงอันดัง “เทพเจ้าในหัวใจข้า ไยต้องลำบากเจ้ามาทำลายให้”

เขาก้าวเท้าออกไป ในมือแสงกระบี่วูบวาบ พละกำลังเขาเหนือล้ำกว่าฉินมู่ ไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใด ทวยเทพก็ล้มตายเป็นผักปลา

ที่ตำหนักชิดฟ้า เทพและมารจำนวนไร้ประมาณโถมพุ่งบุกโจมตีพวกเขา

ฉินมู่และราชครูสันตินิรันดร์ยืนเคียงข้างกัน เข่นฆ่าทุกผู้คนที่อยู่หน้าประตูสวรรค์

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ซากศพของเทพและมารก็ก่ายกองเต็มภูเขา กระนั้นก็ยังคงมีเทพเจ้ามากมายนับไม่ถ้วนไหลบ่ามายังพวกเขาตะโกนฆ่า ตะโกนฟัน

“พวกเรายังต้องสังหารพวกเขาอีกมากเท่าไร” ราชครูสันตินิรันดร์ถามด้วยเสียงตะโกน “ป้องกันประตูเอาไว้ ข้าจะเข้าไปสังหารจักรพรรดิสวรรค์!”

ราชครูสันตินิรันดร์พุ่งเข้าไปในตำหนักชิดฟ้า อันซากศพของเทพเจ้าเกลื่อนกล่นอยู่เต็มพื้น

ตูม!

ราชครูสันตินิรันดร์กระเด็นถอยหลัง ฟาดเข้าใส่ผนังราชวังข้างหลังฉินมู่ และเด็กหนุ่มก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ เทพเจ้ารอบๆ นั้นมีแต่อ่อนฝีมือชัดๆ ดังนั้นจิตรกรที่วาดพวกเขาย่อมต้องมีฝีมือขาดพร่อง ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ฉินมู่สามารถฆ่าล้างทวยเทพพวกนี้ได้

แต่ทว่าราชครูสันตินิรันดร์ถึงกับกระเด็นออกมาจากจักรพรรดิสวรรค์!

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และตระหนักทันทีว่าสถานการณ์ของพวกเขาย่ำแย่ จิตรกรคนนี้จะต้องประจบสอพลออย่างแน่นอน เขาใช้ฝีไม้ลายมือที่ดีที่สุดในการวาดจักรพรรดิสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงแข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งกว่าทวยเทพอื่นๆ ในภาพ

ฉินมู่กระจ่างแก่ใจว่าภาพวาดสามารถแข็งแกร่งได้มากแค่ไหน ในเมื่อเขาได้เรียนรู้มาจากเฒ่าหนวก

พลังอำนาจของภาพวาดมิได้มาจากฝีมือของจิตรกรเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับว่ามันถูกทุ่มเทใช้ตรงไหนก็จะมีพลังอำนาจสูงสุดตรงนั้น

ยิ่งฝีมือเชิงวิจิตรศิลป์แข็งแกร่งมากแค่ไหน ภาพวาดก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น แน่ล่ะ นี่ก็ขึ้นกับความอุตสาหะของจิตรกรด้วย

ผู้ที่วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ได้วาดเทพและมารคนอื่นๆ อย่างไม่พิถีพิถัน ไม่ทุ่มเทความพยายามลงไปกับพวกมัน ดังนั้นพวกเทพและมารเหล่านั้นจึงไม่แข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ตัวตนระดับภูติบดีก็ยังมีฝีมืองั้นๆ

แต่ประเด็นสำคัญคือ ภาพวาดนี้มีเป้าหมายวาดใคร

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเฒ่าหนวกวาดภาพผู้ใหญ่บ้านตอนหนุ่มๆ ภาพของกระบี่เทวะแบกกระบี่ของเขากลับอันแน่นไปด้วยพลานุภาพอันน่าแตกตื่น!

เมื่อจิตรกรวาดภาพฝาผนังได้วาดจักรพรรดิสวรรค์ เขาคงจะต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมดที่จะจับเอาความสง่างามของจักรพรรดิสวรรค์ลงไปในภาพ ดังนั้นมันจึงแข็งแกร่งถึงขนาดที่เป่าราชครูสันตินิรันดร์กระเด็นกลับมา!

ฉินมู่กังวล เขาได้พาราชครูสันตินิรันดร์เข้ามาในภาพวาด เพื่อทำลายความหวาดกลัวของเขา แต่หากว่าแม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ในภาพวาด เขาก็ยังเอาชนะไม่ได้ มันอาจจะกลายเป็นทำลายความมั่นใจของเขาอย่างย่อยยับแทน!

สักครู่หนึ่ง ราชครูสันตินิรันดร์ก็กระเด็นกลับมาอีกครั้ง ฉินมู่ส่งกระบี่แปดพันเล่มของเขาก็ออกไปเพื่อฆ่าล้างทวยเทพอันโถมพุ่งเข้ามา และมองไปยังราชครูอันอยู่บนกำแพง เขาเห็นใบหน้าของราชครูทั้งบวมช้ำและเลอะเลือด

เออะ นี่มันแย่จริงๆ พลังอำนาจของจักรพรรดิสวรรค์ในภาพวาดอาจจะสูงล้ำกว่าเทพเจ้าธรรมดานอกภาพวาดเสียอีก…

ขณะที่เขาคิดอยู่เช่นนั้น ราชครูสันตินิรันดร์ก็โถมพุ่งเข้าไปใหม่

ปัง

ราชครูสันตินิรันดร์กระเด็นกลับมาอีกครั้ง

นี่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

ตรงหน้าตำหนักชิดฟ้าคือประตูสวรรค์ ซากศพของเทพและมารก่ายกองเป็นภูเขา กระนั้นราชครูสันตินิรันดร์ก็ยังบุกตะลุยเข้าไปยังจักรพรรดิสวรรค์ที่ประทับอยู่บนยอดตำหนักชิดฟ้า เขาถูกทุบตีกลับมานับครั้งไม่ถ้วน หน้าตาของเขายิ่งเละเทะดูไม่ได้ทุกครั้งที่กระเด็นมา

ฉินมู่ประกายตาวูบไหวขณะที่เขาตระเตรียมหม้อห้าอสุนีบาตพลางครุ่นคิดในใจ ต่อให้ข้าต้องเสี่ยงทำลายสถานที่แห่งนี้ ข้าก็ไม่อาจยอมให้จักรพรรดิสวรรค์ในภาพวาดยัดเยียดความปราชัยให้กับราชครูอย่างสิ้นเชิงได้…

ราชครูสันตินิรันดร์พุ่งทะยานเข้าไปอีกครั้ง และทันใดนั้นเสียงตะโกนให้ฆ่าฟันก็หยุดชะงัก สีหน้าของทวยเทพทั้งหลายนอกตำหนักชิดฟ้าก็เต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว และพวกเขาก็หันกายหนีกระจายพล่านไปหมด

ฉินมู่ตกตะลึง เขาหันกลับไปมองและเห็นราชครูสันตินิรันดร์ยืนข้างหลังเขาพร้อมด้วยเศียรของจักรพรรดิสวรรค์

แม้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่รอยยิ้มของเขาในตอนนั้นบริสุทธิ์จริงใจเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งสองคนมองตากันแล้วหัวเราะด้วยเสียงอันดัง

ราชครูสันตินิรันดร์ยกมือขึ้น และโยนหัวจักรพรรดิสวรรค์ออกไปจากตำหนักชิดฟ้า “เสยมีดจากที่ลับ หิ้วศีรษะกษัตริยามาในมือ ดาบสวรรค์นี่ช่างมีใจห้าวหาญทะยานจิต ข้าพลันตรึกตรองเข้าใจมโนทัศน์ของเพลงมีดและเต๋ามีดของเขา!”

ฉินมู่นั้นปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว แต่ก็เดินออกมาจากโถงตำหนักด้วยรอยยิ้ม “เจ้านี่มันอัจฉริยะปีศาจจริงๆ และปฏิภาณความเข้าใจก็ใหญ่เกินคน ท่านปู่คนแล่เนื้อสอนข้ามาหลายต่อหลายปี กว่าข้าจะเข้าใจแง่อัศจรรย์ของเพลงมีดของเขาได้ เจ้าเดินไปตามมรรคาเต๋ากระบี่ แต่กระนั้นก็ยังสามารถคว้าจับความเข้าใจในมโนทัศน์ของเต๋ามีดของเขา ปฏิภาณของข้าด้อยกว่าเจ้า”

ราชครูสันตินิรันดร์หันกลับไปและกล่าวอย่างจริงจัง “ปฏิภาณความเข้าใจของผู้คน จะเพิ่มพูนขึ้นก็ต่อเมื่อวิสัยทัศน์ขอบฟ้าและประสบการณ์เติบโตขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับปัญญาญาณ เมื่อเจ้ามาถึงเขตขั้นของข้า เจ้าก็จะสามารถมองเห็นความลึกล้ำทั้งหมดได้เอง ในอนาคต เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่ด้อยไปกว่าข้า ทั้งยังจะเหนือล้ำกว่าอีก เจ้าสามารถคิดถึงวิธีการใช้งานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์เพื่อทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจของข้า เพื่อให้ข้าสามารถไตร่ตรองได้จนปรุโปร่ง แต่ข้ากลับคิดวิธีนี้ไม่ได้ ไฉนจ้าวลัทธิถึงจะต้องถ่อมตนด้วย”

ฉินมู่มายังบัลลังก์ของจักรพรรดิสวรรค์และผลักร่างไร้ศีรษะของเขาไปข้างๆ ก่อนที่จะนั่งลงบนบัลลังก์ “ราชครูเชื่อว่าข้าจะเหนือล้ำกว่าเจ้าได้หรือ เส้นตรงอย่างเจ้าเนี่ยนะ?”

“เจ้าคือชนรุ่นต่อไป หากว่าเจ้าไม่อาจเหนือล้ำกว่าชนรุ่นก่อน โลกนี้จะไม่น่าเศร้าไปหน่อยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังเป็นกายาจ้าวแดนดินอีกด้วย”

ฉินมู่เต็มไปด้วยความมั่นใจและพยักหน้า “นั่นสินะ ข้าเป็นกายาจ้าวแดนดิน ดังนั้นข้าย่อมแข็งแกร่งกว่าเจ้า”

ราชครูสันตินิรันดร์สีหน้ามืดดำทันที

ฉินมู่กระเถิบไปเว้นที่ว่างบนอาสน์

“มาสิ มาลองนั่งบนที่ที่มีแต่จักรพรรดิสวรรค์จะนั่งได้สิ”

ราชครูสันตินิรันดร์ลังเลย “นี่…คงไม่ดีหรอกกระมัง ใช่ไหม”

“มาเถอะ แค่นั่งลง ทิวทัศน์จากตรงนี้ดีเยี่ยมมากๆ!”

“ก็ได้” ราชครูสันตินิรันดร์ขึ้นมานั่งข้างๆ และพวกเขาสองคนก็มองออกไปยังททิวทัศน์นอกตำหนักชิดฟ้า ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ราชครูก็กล่าว “โลกกว้างใหญ่อยู่ภายใต้สายตาพวกเรา บนตำแหน่งนี้ ผู้ที่นั่งอยู่ครอบครองสิทธิราชย์อันไร้ประมาณ ความตายของโลกหล้าและชีวิตใดๆ ก็เป็นไปเพียงแค่ใจคิด จ้าวลัทธิ เจ้าเคยปรารถนาถึงอำนาจเช่นนี้หรือไม่”

ฉินมู่มองไปที่เขาและถามด้วยท่าทีสบายๆ “หากข้าตอบว่าใช่ เจ้าจะกำจัดข้าทันทีเพื่อมิให้เป็นเภทภัยในอนาคตต่อจักรพรรดิหรือเปล่าล่ะ”

สายตาของพวกเขามาประสานกัน และราชครูสันตินิรันดร์ก็เบือนสายตาออกไป “ข้าไม่ทำเช่นนั้น ข้าเพียงแต่จะคอยระวังป้องกันเจ้าเท่านั้น”

เขายืนขึ้นและมีท่วงทีอันเยือกเย็นอีกครั้ง มันไม่ยินดียินร้ายถึงขั้นที่ไม่มีอะไรโยกคลอนเขาได้อีกต่อไป และฉินมู่รู้ดีว่า หลังจากประสบพบพานงานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์ จิตเต๋าของราชครูก็ได้เข้าสู่เขตขั้นอันแม้แต่ภูตเทพก็มิอาจคาดเดา

จิตเต๋าของเขากลายเป็นแข็งแกร่งไม่อาจถูกทำลาย

ราชครูสันตินิรันดร์ไม่มีช่องโหว่ในจิตเต๋าของเขาอีกต่อไป

ฉินมู่ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากภาพวาด ดูราวกับว่าจะได้มรรคผลของตนเองด้วยเช่นกัน มีก็แต่ทำลายความสิ้นหวังในหัวใจของตนเองเท่านั้น ถึงจะสามารถรุ่มร้อนไปด้วยความหวังและจิตหาญสู้อันแข็งกล้ากว่าเดิม

ทั้งสองคนเดินออกมาจากจิตรกรรมฝาผนังและเหยียบลงบนพื้นแข็งข้างนอก

ราชครูสันตินิรันดร์มองไปภาพจิตรกรรมและพบว่าปราสาทราชวังต่างๆ ยังคงตั้งตระหง่าน แต่ทว่ามีซากศพของเทพและมารก่ายกองไปทั่วทุกหนแห่ง มีกระทั่งเทพและมารบางตนที่ตัวสั่นงันงกซุกหลบอยู่ในซอกหลืบด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ฉินมู่ก้าวเข้าไปและลบรอยพู่กันจำนวนหนึ่งที่เขาวาดเอาไว้ และภาพจิตรกรรมนี้ก็กลับเป็นปกติ

เขาเกาผ้าโพกหัวของตนเองและกล่าวด้วยความฉงน “จิตรกรที่วาดภาพนี้มีความสำเร็จอันสูงล้ำ แต่ทว่าทำไมภาพวาดของเขาถึงแหว่งหายไปมุมหนึ่ง ด้วยความสำเร็จของเขา เขาน่าจะสามารถมอบชีวิตให้แก่ผู้คนในภาพเขียน และทำให้ผู้คนในงานเลี้ยงสามารถเคลื่อนไหวไปมาและสนทนาโต้ตอบได้ แต่ทว่า เมื่อหายไปมุมหนึ่ง โลกข้างในก็ตายไร้ชีวิต”

“มันน่าจะถูกแงะออกไป” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวพลางเดินออกจากโถงวัง “การต่อสู้ข้างนอกน่าจะสิ้นสุดลงแล้วสินะ? ได้เวลาที่จะให้เสียงซีอวี่ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าตำหนักใหม่อีกครั้ง และให้แผ่นดินตะวันตกมาอยู่ภายใต้ปีกของจักรวรรดิสันตินิรันดร์”

ฉินมู่เดินตามเขาไปด้วยรอยยิ้ม “หากว่าเจ้ามีโองการของจักรพรรดิติดตัวมาด้วย และเอาออกมาอ่านในจังหวะนี้ ประกาศมอบตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ให้แก่เสียงซีอวี่ ผลลัพธ์ก็จะยอดเยี่ยมกว่าเดิมมาก”

ราชครูสันตินิรันดร์นำม้วนราชโองการออกมาและกล่าว “ก่อนข้าจะออกเดินทางมา ข้าก็ขอให้จักรพรรดิเขียนราชโองการมาแล้ว”

“จักรพรรดิก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าอีกตัว” ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน

หลังจากที่ทั้งคู่ออกไปจากโถงใหญ่ เทพนารีนางหนึ่งก็พลันขยับในภาพวาด นางมองไปรอบๆ และเมื่อนางพบว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้วจริงๆ นางก็ลอบวิ่งออกมาจากภาพจิตรกรรม

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน