ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 462 สุดขีดขั้วแห่งเพลงกระบี่

ตอนที่ 462 สุดขีดขั้วแห่งเพลงกระบี่

“พวกเราจะตามไปห่างๆ และซ่อนตัวให้ดีๆ” ราชครูสันตินิรันดร์เห็นกองทัพสตรีของฉินมู่เคลื่อนพลไปและกล่าวอย่างใจเย็น “รอให้ป้าโก่วและเทพเจ้านั้นลงมือ จ้าวลัทธิฉินจะช่วยพวกเราจัดการเรื่องราวทุกอย่างให้เอง”

เสียงซีอวี่ซึ้งใจอย่างที่สุด ก่อนหน้านี้ที่นางขอความช่วยเหลือจากฉินมู่ในแดนโบราณวินาศ นางไม่คิดว่าเด็กโข่งผู้นี้ที่ได้ช่วยชีวิตพวกนางเอาไว้จะมีความสามารถอันแตกตื่นสะท้านขวัญ เขานั้นสามารถเรียกลมเรียกฝนมหึมาได้ในแผ่นดินตะวันตก

เดิมทีนางคิดว่าเขาเป็นเพียงศิษย์จากตระกูลใหญ่ที่พอมีฝีมือความสามารถบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ทว่ายิ่งนางเข้าใจเขามากเท่าไร นางก็ยิ่งประทับใจในความเลิศล้ำเหนือธรรมดาของเขามากขึ้นเท่านั้น

เมืองต้นไผ่อันใหญ่มหึมาวิ่งตะบึงผ่านดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล ขณะที่ฉินมู่และประมุขตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินตะวันตกทั้งหลายยืนอยู่บนยอดของป้อมปราการเมือง ตระเตรียมกองทัพของพวกเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเหยียบกันขัดกันขึ้นมา

ศิษย์ของตระกูลใหญ่ทั้งหลายในแผ่นดินตะวันตก มิใช่กองกำลังที่ถูกฝึกมือ ดังนั้นจึงต้องอาศัยความพยายามอยู่ไม่น้อยในการจัดระเบียบพวกเขา

โชคดีที่มีเหออีอี ผู้เชี่ยวชาญด้านพยุหะผู้ซึ่งใช้วิชาพยุหะเพื่อจัดแจงศิษย์แห่งตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ด้วยการสนับสนุนของนาง ทุกอย่างจึงค่อยราบรื่นและเรียบง่าย

“อาจารย์กระบี่แห่งแผ่นดินตะวันตก ลัวอิ๋นอวี้ น้อมคารวะจ้าวลัทธิฉินแห่งแผ่นดินภาคกลาง”

ฉินมู่มองไปยังเด็กสาวผมยาวอันเดินตรงมายังเขา และสีหน้าตื่นตระหนกก็เผยขึ้นมา เขารีบคารวะนางกลับไป

แผ่นดินตะวันตกมีอาจารย์สามคน อาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่ อาจารย์พยุหะเหออีอี และอาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้ ฉินมู่นั้นคุ้นเคยกับมู่ยิ่งเสว่และเหออีอีเป็นอย่างยิ่ง ก็มีแต่อาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้ที่แปลกหน้าแปลกตาสำหรับเขา

นางนั้นแตกต่างจากสตรีอื่นๆ แห่งแผ่นดินตะวันตก อันพวกนางล้วนแต่ชอบประดับด้วยเครื่องเงินเครื่องทอง อย่างมงกุฎ สร้อยคอ และกำไลมากมายที่ข้อมือและข้อเท้า แต่บนร่างของอาจารย์กระบี่ ไม่พบเครื่องประดับเลยสักชิ้น

เสื้อผ้าของนางก็เรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง นางสวมเพียงเสื้อคลุมยาวอันเรียบง่ายแต่สง่างาม โดยไม่มีสีสันมากไปกว่านั้น

เรือนผมของนางไร้การประดับประดา มีเพียงเชือกเส้นหนึ่งที่ใช้ในการรวบมัดเอาไว้ เพียงเพื่อมิให้มันยุ่งเหยิงเท่านั้น

เรือนผมดำขลับของนางยาวจนถึงเอวเหมือนกับสตรีคนอื่นๆ และตัดกันอย่างโดดเด่นกับเสื้อผ้าสีขาว

สาเหตุที่นางแต่งกายอย่างเรียบง่ายเช่นนี้ก็เพราะว่านางนั้นเหมือนกับกระบี่อันมิอาจมีมลทินใดเจือปน เครื่องประดับประดาก็ล้วนแต่เป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับนาง

นางคือสตรีที่ไม่รู้รสชาติรื่นรมย์อื่น นอกเสียจากกระบี่ของนาง อันนางคงได้วิวาห์กับมันไปเรียบร้อยแล้ว

เมื่อฉินมู่เห็นนาง เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีกระบี่เล็งมายังเขา เมื่อนางโค้งคารวะ แสงกระบี่ก็สาดส่องอย่างเจิดจ้า มันคมกล้าอย่างยากจะหาใดเปรียบ และแทงตรงมายังจิตเต๋าของเขา!

ฉินมู่โค้งเพื่อคารวะทักทายนางกลับไป พลางป้องกันเจตจำนงกระบี่ของนางได้อย่างง่ายดาย

อาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้ยืดตัวตรงด้วยความรู้สึกพิลึกประหลาดที่ฉายในแววตาของนาง “จ้าวลัทธิฉินก็เป็นยอดฝีมือเชิงกระบี่ด้วยหรือ”

ฉินมู่ค้อมหัวเล็กน้อยด้วยกิริยาอันถ่อมตน “ข้ามิกล้ากล่าวเช่นนั้น มียอดฝีมือเชิงกระบี่อยู่ในโลกนี้ตั้งมากมายเท่าไร ในแง่ของกำลังฝีมือแล้ว มียอดฝีมือมากมายที่เหนือล้ำไปกว่าข้า แต่ทว่าในด้านความสำเร็จเชิงกระบี่ ข้าก็ดูเหมือนว่าจะสามารถจัดในอันดับได้เช่นกัน”

อาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้ยิ่งสนอกสนใจมากยิ่งขึ้น และกล่าว “ข้าอยากจะไปเยี่ยมเยือนแผ่นดินภาคกลางมาตั้งนานแล้ว เพื่อชมดูระดับชั้นของกระบี่ที่นั่น ในเมื่อจ้าวลัทธิฉินเป็นยอดฝีมือกระบี่จากแผ่นดินภาคกลาง ท่านแนะนำข้าได้หรือไม่ว่าผู้ใดที่เหนือล้ำกว่าท่านในเชิงเพลงกระบี่”

ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งและส่ายหัว “”น่าจะมีคนไม่กี่คนที่เหนือล้ำกว่าข้าในเพลงกระบี่ แต่มีบางคนที่ได้เข้าสู่เขตขั้นมรรคาเต๋ากระบี่ไปแล้ว และข้าไม่กล้ายืนยันว่ามีพวกเขาเหล่านั้นกี่คน แต่ทว่า ราชครูสันตินิรันดร์นั้นเหนือกว่าข้าอย่างแน่นอน และยังมีผู้ใหญ่บ้านของครอบครัวข้า เขาสอนเพลงกระบี่ข้าสามกระบวนท่า และความสำเร็จของเขาในเต๋าแห่งกระบี่ก็เลิศล้ำเหนือธรรมดา ส่วนยอดฝีมือคนอื่นๆ ในขั้นเต๋ากระบี่นั้น ข้าไม่รู้เกี่ยวกับพวกเขามากมายนัก จึงมิกล้ากล่าวถึง”

“เต๋ากระบี่แห่งเพลงกระบี่?” ลัวอิ๋นอวี้สีหน้าผิดหวังพลางพึมพำ “มีคนที่ย่างเข้าสู้เขตขั้นมรรคาเต๋ากระบี่ด้วยหรือ ข้าได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อตามล่าสุดสายปลายทางแห่งเพลงกระบี่มาตั้งหลายปี แต่ไม่เคยไปถึงมรรคากระบี่ มีผู้คนที่เข้าถึงเขตขั้นอันมหัศจรรย์ด้วยจริงๆ หรือนี่”

ฉินมู่สามารถเข้าใจความผิดหวังของนางได้ ลัวอิ๋นอวี้นั้นอยู่ในขั้นไล่ติดตามความรู้ไปถึงที่สุด เสาะหาปฏิภาณความเข้าใจอย่างสุดขีดขั้วแห่งเพลงกระบี่ นางนั้นน่าจะสำเร็จขั้นสุดขีดขั้วในเชิงเพลงกระบี่แล้วแต่นางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเต๋ากระบี่ อันทำให้นางมิอาจก้าวเข้าไปในนั้นได้

การที่ฉินมู่บอกนางว่ามียอดฝีมือขั้นเต๋ากระบี่หลายคนในแผ่นดินภาคกลาง ทำให้นางผงะไปอย่างรุนแรง

เพลงกระบี่และเต๋ากระบี่อาจจะผิดแผกกันเพียงคำเดียว แต่ความแตกต่างของทั้งสองอย่างนั้นราวกับสวรรค์และพิภพ

ไม่ว่าเพลงกระบี่ของคนผู้หนึ่งจะวิเศษเพียงใด พวกเขาก็อ่อนแอไร้ค่าเบื้องหน้ายอดฝีมือเต๋ากระบี่

ฉินมู่ฉุกใจสงสัยและเขากล่าว “ข้าไม่เคยเห็นเพลงกระบี่ของแผ่นดินตะวันตกของเจ้ามาก่อนเลย ดังนั้นข้าสงสัยว่ามันจะแตกต่างจากของแผ่นดินภาคกลางของข้าหรือไม่ ก่อนหน้านี้พวกเรามีสิบสี่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน แต่ในภายหลังราชครูสันตินิรันดร์ก็คิดค้นเพิ่มอีกสามท่วงท่า ทำให้จำนวนนับนี้เป็นสิบเจ็ด แต่เมื่อไม่นานมานี้ ข้าก็เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งท่วงท่า ทำให้กลายเป็นสิบแปดท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน แล้วเพลงกระบี่ของแผ่นดินตะวันตกมีกี่ท่วงท่าล่ะ”

ลัวอิ๋นอวี้ดวงตาเบิกกว้างด้วยความแตกตื่น “ในแผ่นดินภาคกลางมีท่วงท่าพื้นฐานถึงสิบแปดท่วงท่าแล้วหรือ แผ่นดินตะวันตกของข้ามีเพียงสิบสี่ท่วงท่า หากแต่ว่า เพลงกระบี่ของพวกเรามีรากฐานบนพรายวิญญาณกระบี่ และมุ่งเน้นพละกำลัง ที่พวกเราใช้อาจจะแตกต่างจากเพลงกระบี่ของพวกเจ้า”

ฉินมู่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาได้ค้นคว้าเกี่ยวกับพรายวิญญาณกระบี่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรนัก เขาคอยแต่รู้สึกว่ามีเรื่องมากมายที่ต้องศึกษาค้นคว้า แต่ไม่มีเวลาเพียงพอ ยากนักที่เขาจะได้พบกับยอดฝีมือเชิงกระบี่อย่างลัวอิ๋นอวี้จากแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นเขาย่อมต้องขอคำชี้แนะจากนาง

ทั้งสองคนปรึกษาปัญหานี้โดยละเอียด และทั้งคู่ต่างก็เก็บเกี่ยวมรรคผลไปอย่างใหญ่หลวง

เพลงกระบี่ของแผ่นดินตะวันใช้พรายวิญญาณเพื่อกวัดแกว่งกระบี่ อันเพิ่มพูนพลานุภาพของมันอย่างมหาศาลแทบจะเป็นสองเท่า ในสายตาของฉินมู่ เพลงกระบี่ของแผ่นดินตะวันตกค่อนข้างขาดพร่องในด้านความตื่นเต้นดุดัน และเพริศแพร้วพิสดารน้อยกว่าพวกในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ แม้แต่ลัวอิ๋นอวี้ ยอดฝีมือกระบี่ ก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับความสำเร็จเชิงกระบี่ของค่ายสำนักมากมายในแผ่นดินภาคกลาง

กระนั้นพรายวิญญาณกระบี่ก็สามารถเพิ่มพูนพลานุภาพของเพลงกระบี่ถึงระดับขั้นที่ยอดฝีมือแห่งแผ่นดินภาคกลางได้แต่มองตาละห้อย เมื่อนางร่ายรำท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน ทุกการเคลื่อนไหวและทุกท่าทางก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลานุภาพอันน่าเกรงขามซึ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอย่างอัศจรรย์ มันมีบรรยากาศของวีรชนที่ทำให้ผู้คนมิกล้าปะทะซึ่งๆ หน้า

ลัวอิ๋นอวี้เห็นจุดสำคัญอันเหนือธรรมดาที่การปฏิรูปในแผ่นดินภาคกลางได้นำมา เพลงกระบี่ที่นั่นกลอกกลิ้งร้ายกาจและเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ทำให้ผู้ใช้สร้างความเป็นไปได้อันไร้สิ้นสุด!

ลัวอิ๋นอวี้ลองใช้ท่วงท่ากระบี่เกลียว ท่วงท่ากระบี่ขด ท่วงท่ากระบี่เจาะ และท่วงท่าที่สิบแปดที่ฉินมู่ค้นพบ นางใคร่ครวญเกี่ยวกับพวกมัน จากนั้นจึงกล่าว “มีอะไรบางอย่างแปลกๆ ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสิบสี่ท่าจากแผ่นดินภาคกลาง นั้นไม่แตกต่างอะไรจากของแผ่นดินตะวันตกข้า แต่ทว่า ที่น่ากังวลเกี่ยวกับกระบวนท่าทั้งสี่อันเพิ่มเข้ามา แม้ว่ามันจะเป็นท่วงท่าพื้นฐานด้วย แต่ยิ่งผู้ฝึกฝึกมันไปไกลเท่าไร ก็ต้องอาศัยพลังวัตรในการขับเคลื่อนมากยิ่งขึ้น มันเห็นได้ชัดอย่างถึงที่สุดเมื่อมาถึงท่วงท่ากระบี่พื้นฐานที่จ้าวลัทธิฉินคิดค้นขึ้นมา ในเมื่อการร่ายรำมันออกไปเพียงครั้งเดียว ก็แทบจะเผาผลาญพลังวัตรของข้าไปครึ่งหนึ่ง! หากว่าคิดค้นท่วงท่าที่สิบเก้าขึ้นมา มิใช่ว่ามันจะเผาผลาญพลังวัตรของผู้ฝึกวิชาเทวะมือกระบี่ไปจนหมดสิ้นหรอกหรือ เมื่อถึงท่วงท่าที่ยี่สิบ จะยังมีผู้คนที่ร่ายรำมันออกมาได้หรือไม่”

ฉินมู่หัวใจสะท้านอย่างรุนแรง และเขาพลันรู้สึกราวกับว่าได้พบกับสหายทางวิญญาณ สายตาของเขาเร่าร้อนขึ้นมาทันที “เจ้าก็รู้สึกได้ถึงท่วงท่าที่สิบเก้าหรือนี่”

ลัวอิ๋นอวี้มองไปที่เขาด้วยความยินดี “เจ้าก็รู้สึกถึงมันเหมือนกัน?”

ทั้งสองคนหันไปมองตากันและเผยยิ้มรู้ความนัย

“หลังจากที่ข้าคิดค้นท่วงท่าที่สิบแปด ข้าก็รู้สึกถึงความปรารถนาที่จะผลักดันมันต่อไป” ฉินมู่รู้สึกถูกรบกวนหัวใจ และเขากล่าวทุกอย่างที่อยู่ในความคิด “ในตอนนั้น ข้ารู้สึกว่ามันยังจะต้องมีท่วงท่าที่สิบเก้าต่อไปอีก แต่ทว่าข้ากำลังต่อสู้อยู่กับพี่สาวอีอี ดังนั้นมิกล้าวอกแวกเสียสมาธิ ข้าจึงมิได้สืบสวนไตร่ตรองลงไปในเชิงลึกถึงรากเหง้าของความรู้สึกดังกล่าว แต่ทว่า ท่วงท่ากระบี่ที่สิบเก้าจะต้องมีอยู่อย่างแน่นอน อันหมายความว่าความรู้สึกของข้านั้นไม่ผิดพลาด”

ลัวอิ๋นอวี้ผงกหัว “ท่วงท่ากระบี่ที่สิบเก้า น่าจะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่จะทำให้พวกเราย่างเข้าสู่เต๋ากระบี่โดยทันที!”

ทั้งสองคนตื่นเต้นขึ้นมา

“จะว่าไปแล้ว จักรวรรดิสันตินิรันดร์อยู่ติดทะเลชัดๆ ทำไมเจ้าถึงเรียกมันว่าแผ่นดินภาคกลางล่ะ” ฉินมู่ไต่ถาม

ลัวอิ๋นอวี้ส่ายหัวของนาง “ข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องราวภายนอกมากเท่าไรเหมือนกัน ในเมื่อเวลาส่วนใหญ่ของข้าอุทิศให้กับการตรึกตรองเข้าใจกระบี่”

ข้างๆ นั้น ประมุขฟางไฉ่ตีแห่งตระกูลฟางแย้มยิ้มและกล่าาว “จ้าวลัทธิฉิน นามแผ่นดินภาคกลางนั้นมีมานานแล้ว มันใช้เรียกหาแดนโบราณวินาศและฝั่งตะวันออกของมัน ทะเลตะวันออกข้างๆ จักรวรรดิสันตินิรันดร์ของท่าน ในตอนนั้นเรียกว่าแผ่นดินตะวันออก”

ทั้งสองหนุ่มสาวอยู่ร่วมกันเพื่อศึกษาค้นคว้าเพลงกระบี่และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากให้มาสังเกตการณ์ ฉินมู่และลัวอิ๋นอวี้เป็นปรมาจารย์ในเพลงกระบี่ และแม้ว่าจะมีผู้คนที่วรยุทธเหนือล้ำกว่าพวกเขา คนเหล่านั้นก็ได้แต่อุทานด้วยความทึ่งอยู่ข้างๆ

ฉินมู่ฟังแล้วก็ฉงนฉงาย “ทะเลตะวันออกไม่มีแผ่นดิน ทำไมมันถึงถูกเรียกว่าแผ่นดินตะวันออกล่ะ”

ฟางไฉ่ตีไม่สามารถเสาะหาความลับเบื้องหลังเรื่องพิสดารนี้เช่นกัน จึงได้แต่ส่ายหัวของนาง “นี่ข้าไม่ทราบ”

“แต่ก่อนนั้นทะเลตะวันออกเคยเป็นแผ่นดิน มันจึงถูกเรียกว่าแผ่นดินตะวันออก” ประมุขฝูอวิ๋นซีแห่งตระกูลฝูกล่าว “ในหนังสือเมฆาของตระกูลฝูพวกข้า พวกข้าได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับแผ่นดินตะวันออกและแผ่นดินภาคกลางเอาไว้ มันบันทึกไว้ว่าแผ่นดินภาคกลางและแผ่นดินตะวันออกมิได้ปักปันแบ่งแยกตามภูมิประเทศปัจจุบัน แต่เป็นไปตามภูมิประเทศเมื่อครั้งโบราณนานกาลมาแล้ว”

ฉินมู่หัวใจเต้นตึกตักอีกหลายครั้ง และเขาพลันนึกถึงวิหารภูเขาบิด มันได้ตั้งอยู่บนขุนเขายิ่งใหญ่ตระการอันจมลึกลงไปใต้ก้นทะเลตะวันออก วิหารนั้นอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลถึงสองพันหกร้อยวา

ที่ตีนเขานั้นก็ยิ่งอยู่ลึกต่ำกว่าระดับน้ำทะเลลงไปอีก

นี่หมายความว่าทะเลตะวันออกแต่เดิมเคยเป็นผืนแผ่นดินใหญ่ อันเป็นที่รู้จักในนามแผ่นดินตะวันออก!

แต่ทว่า ฝูอวิ๋นซีกล่าวว่าแผ่นดินตะวันออกและแผ่นดินภาคกลางแบ่งแยกตามภูมิประเทศเมื่อครั้งโบราณนานกาล นั่นน่าจะเป็นสมัยก่อนยุคจักรพรรดิก่อตั้งด้วยซ้ำ อันคือยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง!

ยุคจักรพรรดิสูงส่งน่าจะตั้งอยู่บนแผ่นดินตะวันออกใช่ไหม ตอนนี้มันกลายเป็นทะเลตะวันออกไปแล้ว กระบวนท่าที่สามของภาพกระบี่คือภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่ง นี่น่าจะเกี่ยวพันกับยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง

ฉินมู่จมลงไปในห้วงคิด ภาพกระบี่มีกระบวนท่าอันคิดค้นขึ้นมาโดยผู้ใหญ่บ้าน และภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่งก็เป็นกระบวนท่าที่สามของภาพกระบี่ ถ้าเช่นนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็น่าจะมีความเข้าใจถึงประวัติศาสตร์บางส่วนของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง

ผู้ใหญ่บ้าน ข้าจะต้องไปช่วยเหลือท่านที่ยมโลกอย่างแน่นอน! เด็กหนุ่มตั้งเป้าหมายอย่างหนักแน่นในใจ

ทันใดนั้น เสียงกึกก้องของเหออีอีก็ดังมาถึงหูเขา “พวกเราเกือบจะถึงตำหนักสวรรค์แท้แล้ว! ทุกคน เตรียมป้องกัน!”

อาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้ลุกขึ้นโดยพลัน และเดินตรงไปยังตระกูลลัว ฝูอวิ๋นซี ฟางไฉ่ตี มู่ยิ่งเสว่ และหลิ่วหรูยินต่างก็กลับไปยังกองทัพของตระกูลพวกนาง

ฉินมู่ยืนบนหอคอยปราการ มองตรงไปข้างหน้าด้วยหัวใจอันสั่นสะท้าน เขาเห็นขุนเขาอลังการที่ตั้งตระหง่านอย่างสลับซับซ้อนราวกับยักษ์เงียบงันที่สูงกว่าร้อยห้าสิบวา อันดำรงอยู่ท่ามกลางฟ้าและดิน

ภูเขาเหล่านั้นคล้ายคลึงกับยักษ์ที่ฉินมู่ประสบพบเจอใกล้ๆ เมืองหอมเบ่งบาน เพียงแต่ใหญ่โตกว่าและอันตรายกว่า ข้างๆ พวกมันก็คือยอดกระบี่ อันก็คือยอดเขาซึ่งคมกล้าดุจกระบี่!

และยังมียอดระฆัง อันเหมือนกับระฆังใหญ่

ยอดหม้อน้ำ ที่รูปลักษณ์เหมือนหม้อน้ำ

ยอดเจดีย์ ที่รูปร่างเหมือนเจดีย์

ยอดเรือนตึก ที่ราวกับตึกอันสูงหลายต่อหลายชั้น

ยอดเขาทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอาวุธวิญญาณที่มีทุกชนิดและขนาด!

ข้างๆ พวกมันนั้น ก็มีแม่น้ำสายยาวที่ใต้ภูเขาอันหลั่งไหลอย่างเชี่ยวกรากผ่านเก้าบิดและแปดโค้ง และยังมีน้ำตกสายรุ้งที่ถั่งโถมลงมาจากที่สูงเป็นหมื่นวา ทะเลเมฆลดหลั่นอยู่ลางเลือนบนอากาศ อันมีทั้งฟ้าแลบฟ้าผ่าแปลบปลาบไปหมด

ในทะเลเมฆ หมู่ปราสาทราชวังปรากฏอยู่ที่นั่น เรืองรองราวกับอาบย้อมด้วยแสงทอง

พวกมันคือตำหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตก!

แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินตะวันตกดูยากจะรับมือยากยิ่งกว่าที่ฉินมู่เคยจินตนาการเอาไว้

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท