ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 472 ท่วมท้น

ตอนที่ 472 ท่วมท้น

ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่ซากโบราณ ดูราวกับกำลังกังวลความปลอดภัยของฉินมู่ ความวิตกของเขาทำให้เขาเสียกระบวน และเผยช่องโหว่ออกมาในที่สุด

ช่องโหว่ที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เสาะหามานานอยู่ตรงหน้านางนี่เอง!

“อี้ย้าาาาา—”

เสียงหวีดร้องประหลาดดังออกมาจากปากมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ มันทั้งแหลมคม ยาวนาน และบาดหู พลังวัตรพวยพุ่งออกจากร่างกายของนาง และกล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างก็ปูดพองขึ้นมา ในพริบตานั้น ผิวหนังของนางปริแตกจนหมด

กล้ามเนื้อของนางขยายออกมาข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง และมันเผยให้เห็นว่าร่างเนื้อของเถียนซืออวี่มิใช่ร่างดั้งเดิมของนางเลยแม้แต่น้อย เมื่อนางปลดปล่อยพลังวัตรทั้งหมดออกมา รัศมีเทวะของนางก็แผ่พุ่งออกไป และฉีกทึ้งร่างกายที่นางสิงสู่อยู่เป็นชิ้นๆ

ในเวลาเดียวกันนั้น ทะเลทรายเพลิงโหมก็เหมือนกับจะมีชีวิตขึ้น เม็ดทรายไหลเข้ามาจากรัศมีร้อยลี้ ทรายใต้เท้าราชครูสันตินิรันดร์หมุนเป็นเกลียววนต่อขึ้นมาเป็นปากใหญ่มหึมาที่พยายามจะฮุบกลืนเขา!

ปากใหญ่นั้นเหมือนกับเหวลึกอันมีพลังดูดน่าสะพรึงกลัว ทรายก่อขึ้นมาเป็นเส้น แล้วก็กลายเป็นกระบี่อันแทงเข้าใส่ราชครูสันตินิรันดร์ผู้ถูกทรายดูดเข้าไป

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ยังกรีดร้องไม่หยุดเมื่อร่างเนื้อของนางขยายใหญ่ไปถึงหนึ่งร้อยห้าสิบวา ราวกับว่านางคือยักษ์อสูรเกรียงไกรผู้พวยพุ่งไปด้วยรัศมีเทวะ

นางได้เตรียมการลอบโจมตีนี้มาเนิ่นนานแล้ว และการลงมือของนางก็ท่วมท้นไปด้วยความเกรี้ยวกราดดุดัน นางดูแตกต่างไปคนละขั้วจากเถียนซืออวี่ผู้อ่อนโยนนุ่มนวล และดูแลปรนนิบัติคณะตลอดการเดินทาง

ความเกรี้ยวกราดดุดันมักจะเป็นคุณศัพท์ที่ใช้บรรยายบุรุษ แต่ในแผ่นดินตะวันตก สตรีเป็นผู้ถือครองอำนาจ ดังนั้นใช้บรรยายพวกนั้นย่อมถูกต้องเหมาะสมกว่า

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ยกมือของนางขึ้น และทะเลทรายรอบตัวนางก็กระเพื่อมโยนตัวขึ้นมา ก่อเป็นกำแพงหนาสองชั้นอันตบเข้าไปหาราชครูสันตินิรันดร์!

“ตายเสีย!”

ขณะที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ตวาดออกมานั่นเอง แสงกระบี่ก็ทะลวงทะลุท้ายทอยและโผล่ออกไปทางหว่างคิ้วของนาง

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ตกตะลึง และทะเลทรายอันกระเพื่อมรอบตัวก็พลันแน่นิ่ง กำแพงทรายหนาหนักที่สูงหลายร้อยวาก็พังทลายลงมา แปรเปลี่ยนเป็นมวลทรายไหลรี่อันโถมท่วมราวกับน้ำหลาก

ข้างใต้เท้าของราชครูสันตินิรันดร์ ปากใหญ่อันอ้าปากก็หยุดหมุนเกลียวและกลายเป็นพื้นทรายนิ่งสงบ กระบี่ทรายรอบๆ ตัวเขาก็ร่วงลงจากท้องฟ้า

“เด็กต่ำช้านี่มาจากที่ไหน นี่คือสุราศักดิ์สิทธิ์สำหรับเทพสูงส่ง เจ้าจะมาแตะต้องได้หรือ” ราชครูสันตินิรันดร์เบือนหน้ากลับมาและมองไปยังมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ผู้ยิ่งยง เสียงของเขากล่าวอย่างนุ่มนวล “ในภาพจิตรกรรม เทพนารีที่ถูกฉินมู่เตะได้กล่าวประโยคนี้อันมีทั้งหมดยี่สิบคำ”

“ตลอดการเดินทาง จ้าวลัทธิฉินได้สนทนาคำเหล่านี้อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง เขานั้นชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ว่าหากเขาบอกให้เจ้าพูดประโยคนี้ทั้งประโยค เจ้าก็จะต้องเปลี่ยนน้ำเสียงและวิธีการพูดทันที แต่ทว่าหากเขาแยกคำทั้งยี่สิบคำนี้ออกไปไว้ในประโยคต่างๆ มากมาย เจ้าก็จะไม่ทันระวังตัว”

“ที่แท้พวกเจ้าก็ไม่ได้เชื่อข้ามาตั้งแต่แรก?” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า

ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่นางด้วยสายตาแปลกประหลาดพลางส่ายหัว “จ้าวลัทธิฉินนั้นบ้าดีเดือด ถึงกับวางลูกแก้วเต่าดำไว้ในมือเจ้า ข้าเองก็ตื่นตระหนก หากว่าเจ้าโจมตีในตอนนั้นและขับเคลื่อนพลานุภาพของลูกแก้วเต่าดำ ข้าก็อาจจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ เขาประเมินความสามารถของข้าสูงเกินไป และข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเสแสร้งเป็นปกติธรรมดา แต่นี่เป็นเพราะไอ้เด็กเปรตทำตามอำเภอใจ หัวใจข้าแทบจะหยุดเต้นในตอนนั้น เจ้าพลาดโอกาสไปหลายครั้ง”

“เด็กต่ำช้านี่อีกแล้ว…” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ถอนหายใจ และรอยแผลกระบี่ที่หว่างคิ้วนางก็พลันพวยพุ่งออกมาด้วยโลหิต นางแย้มยิ้มและกล่าว “แต่ทว่า หากเจ้าคิดว่าจะสามารถจัดการกับข้าได้ด้วยเพียงเท่านี้ เจ้านั้นตื้นเขินจนเกินไป…”

สีหน้าราชครูสันตินิรันดร์แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ที่ไหลออกมาจากหว่างคิ้วของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ มิใช่โลหิตแต่เป็นทราย

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้แย้มยิ้ม และรอยแผลนั้นก็ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทรายไหลออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง นางหัวเราะคิกคัก “เจ้าไม่รู้หรือว่า วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ ข้าเป็นผู้สร้างขึ้นมา ทะเลทรายนี้ข้าก็เป็นคนสร้าง พยายามสังหารข้าในสถานที่อันเป็นงานรังสรรค์ของข้า? ฝันเฟื่อง!”

ร่างของนางถล่มลงไป และเสียงของนางพลันกึกก้องมาจากทั่วทิศทาง “ข้าได้ต่อสู้กับเรือตะวันและเรือจันทราเป็นสิบๆ ลำที่นี่ สังหารผู้พิทักษ์ตะวันและผู้พิทักษ์จันทรามากมาย เจ้าคิดว่าชื่อเสียงของข้าได้มาโดยเปล่างั้นหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และวิ่งตะบึงตรงไปยังเรือตะวันอันตะแคงกระเทเร่อยู่บนทะเลทราย ด้วยมือของเขาแตะกระบี่ แสงกระบี่ของเขาก็ราวกับรัตติกาลอันนิรมล เมื่อใครมองเห็นเงา พวกเขาก็มิอาจมองเห็นแสง เมื่อใครมองเห็นแสง พวกเขาก็มิอาจมองเห็นรูปลักษณ์!

ด้วยมีเงา จึงปราศจากแสง ด้วยมีแสง จึงปราศจากรูปลักษณ์!

ไม่ทันที่เขาจะไปถึงเรือตะวัน มันก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ยกเหยียดขายืนขึ้น โซ่ดังโกร่งกร่าง และดวงอาทิตย์สีดำก็ถึงกับลอยขึ้นไปข้างบน ทรายอันคลุมกลบมันอยู่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า

ดวงอาทิตย์สีดำกลิ้งไปบนนภากาศและสร้างเสียงกัมปนาทสะท้านพิภพระหว่างที่มันบีบอัดห้วงมิติรอบๆ เปลวอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงปร้างไปทั่วทิศทางในทะเลทราย!

เรือตะวันพุ่งไปยังราชครูสันตินิรันดร์ เมื่อสิ่งมหึมานี้แล่นตะบึงผ่านทะเลทรายอันรกร้าง มันก็ให้ความรู้สึกไม่น่าเชื่อและพิลึกกึกกือ

“นี่คือผลงานชิ้นเอกของกระทรวงวิศวกรรมในสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง! พวกเขารังสรรค์อาวุธที่มีพลานุภาพเทียบเท่าเทพสวรรค์ด้วยน้ำมือของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ปุถุชนสามารถยืนหยัดทัดเทียมกับเทพเจ้าได้!”

ที่ใจกลางเรือตะวัน ระหว่างเสาทั้งสี่ สตรีนางหนึ่งอันประดุจดั่งเทพสวรรค์ลุกขึ้นมา แขนสี่ข้างของนางยื่นเหยียดไปจับเสาทั้งหลาย นางหัวเราะอย่างลำพองใจ “แต่กระนั้น ก็กลายเป็นว่าสร้างอาวุธมามอบให้ข้า! พวกมันถูกกวาดล้างไปทั้งหมด ตายจนสิ้นซากในน้ำมือของข้า!”

พึ่บบบ

งูเหินหาวอันก่อขึ้นมาจากทราย ผงาดขึ้นมาในทะเลทราย ด้วยร่างอันหนาใหญ่ไร้ใดเปรียบของพวกมัน มันก็ชอนไชไปทั่วทิศทางในทะเลทราย พุ่งไปยังราชครูสันตินิรันดร์!

“เจ้าสัมผัสได้ไหมล่ะ เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังวัตรของข้ากำลังพุ่งทะยานขึ้น” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สั่งให้เรือวิ่งตะบึงไปข้างหน้าอย่างดุเดือด และเหวี่ยงดวงอาทิตย์ดำฟาดลงใส่ราชครูสันตินิรันดร์พลางหัวเราะ “ให้ข้าเผยให้เจ้าเห็นว่าความสิ้นหวังหน้าตาเป็นอย่างไร! อี๊ย้าาาาาาา—”

เสียงหวีดร้องแหลมบาดหูก้องสะท้อนไปในทะเลทราย ที่ตามมาก็คือเรือเคลื่อนที่อันใหญ่มโหฬารซึ่งกวัดแกว่งดวงอาทิตย์สีดำ และงูตัวหนาใหญ่อันเข้าห้อมล้อมมนุษย์ตัวเล็กๆ

ภาพนี้น่าแตกตื่นสะท้านขวัญ

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้นั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ร่างกายของนางใหญ่มหึมา ใหญ่เสียยิ่งกว่าเรือตะวัน เมื่อเทียบกันแล้ว ราชครูสันตินิรันดร์ดูเล็กราวมดปลวก มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เลือกที่จะใช้เรือตะวันเพื่อท่วมท้นเขา แต่ละการโจมตีของนางนั้นเกินจินตนาการ การจู่โจมของนางแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดยั้ง และมหาสมุทรแห่งเม็ดทรายก็เดือดพล่าน ทั้งทะเลทรายคือร่างกายของนาง อาวุธของนาง!

ราชครูสันตินิรันดร์ล่าถอยไปอย่างต่อเนื่อง ทำลายการโจมตีของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่าเขาจะถอยกรูด แต่ระยะห่างระหว่างเขาและเรือตะวันกลับยิ่งร่นสั้นเข้าไปทุกที

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เริ่มว้าวุ้น แม้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะดูเหมือนเสียเปรียบ และเรือตะวันที่ทะยานเข้าไปใกล้เขาก็ดูเหมือนจะได้เปรียบ แต่จริงๆ แล้วมิได้เป็นเช่นนั้น นางไม่ได้ชัยเหนือกว่าเขาเลยสักนิด และสัมผัสได้ถึงภยันตรายใหญ่หลวงตรงหน้า

หากว่านางและราชครูสันตินิรันดร์เข้าไปใกล้กันมากขึ้นทุกที ที่รอนางอยู่เมื่อพวกเขาเข้าไปยังระยะห่างที่แน่นอนระยะหนึ่งก็คือการโจมตีอันเกรี้ยวกราดที่สุดของชายกลางคนผู้นี้ เข้าไปหาตัวเขานั้นจะต้องนำไปสู่ความตายของนางอย่างแน่นอน!

แต่ว่าจะหยุดแค่กลางคันนั้นก็เป็นไปไม่ได้ มีก็แต่หยิบยืมพลานุภาพของเรือตะวันเท่านั้น นางจึงจะมีพลังวัตรมาพอที่จะสยบเขา แต่การณ์นี้ก็มีข้อเสียเปรียบอยู่ อันก็คือนางจะต้องยืนอยู่ระหว่างเสาทั้งสี่และจับมันเอาไว้ตลอดเวลา

มันจำกัดการเคลื่อนไหวร่างกายของนาง หากว่าราชครูสันตินิรันดร์พุ่งเข้ามาใกล้ นางก็คงได้แต่ต้องถวายหัว

แต่หากว่านางมิได้หยิบยืมพลังวัตรจากเรือและลูกแก้ววิญญาณทั้งสี่ พลังการต่อสู้ของนางก็จะด้อยกว่าราชครูสันตินิรันดร์

นี่หมายความว่านางจะต้องรักษาระยะห่างจากราชครูสันตินิรันดร์ และสังหารเขาก่อนที่เขาจะเข้ามาถึงตัว!

ยิ่งระยะสั้นเท่าไร นางก็ยิ่งใกล้ความตายมากเท่านั้น

พลังวัตรของมารดาเฒ่าสวรรค์ยิ่งเดือดพล่านมากขึ้นทุกที และการโจมตีของนางก็ยิ่งถี่ยิบ นางเข้าไปประชิดทีละก้าวๆ ส่วนราชครูสันตินิรันดร์นั้นถูกบีบให้ล่าถอยต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ไกลพอ ทุกเส้นยาแดงที่เฉียดผ่านก็คือความเฉียดใกล้มรณะ

เสียงกรีดร้องของมารดาเฒ่าสวรรค์ยิ่งดังอึงอลมากขึ้นทุกที ขณะที่หยาดเหงื่อหลั่งไหลมาโซมหลังเต็มไปหมด

เรือตะวันและราชครูสันตินิรันดร์ออกไปจากซากโบราณ ปล่อยฉินมู่และผานกงสั่วยืนอยู่ตรงข้ามคนละฝั่งของโถงวังอันพังภินท์

เมื่อครู่ที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้โผล่ขึ้นมาลอบโจมตี และราชครูสันตินิรันดร์ก็ได้สังหารนางในกระบี่เดียว ได้สร้างความปั่นป่วนโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง และทำให้ผานกงสั่วหวาดกลัวจนขวัญบิน เกือบจะทำให้เขาหนีเตลิดไปอีกครั้งหนึ่ง

ราชครูสันตินิรันดร์แข็งแกร่งแค่ไหน?

การต่อสู้ที่ตำหนักสวรรค์แท้ได้ทำให้ผานกงสั่วลืมเลือนไปจนหมดสิ้นถึงแผนการที่จะต่อสู้ช่วงชิงกับเหล่าวีรบุรุษแห่งปัจจุบันสมัย ตอนนี้เขาอยากแต่จะแค่บ่มเพาะสะพานเทวะของตน และสังหารผู้คนอื่นๆ ด้วยวิชาสักการะ

แต่ทว่า เมื่อเขาเห็นมารดาเฒ่าสวรรค์แท้หนีไปได้ และที่ราชครูสันตินิรันดร์แทงเข้าไปนั้นเป็นเพียงยักษ์ทราย เขาก็ระบายลมหายใจโล่งอก และโยนความคิดที่จะหนีเตลิดทิ้งไป

เมื่อเขาเห็นมารดาเฒ่าสวรรค์แท้เข้าไปยึดครองเรือตะวันและสะกดข่มราชครูสันตินิรันดร์เอาไว้ เขาก็ลิงโลดใจ

ผานกงสั่วแย้มยิ้มแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “การคิดคำนวณของจ้าวลัทธิฉินอันยอดเยี่ยมเสียจริง เจ้าได้ช่วงใช้ทั้งราชครูและมารดาเฒ่าสวรรค์มาตามหาข้า ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร ไม่ต่างจากเขวี้ยงหินหนึ่งก้อนได้นกสองตัว ราชครูสันตินิรันดร์จะลอบโจมตีและสังหารมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ ส่วนเจ้าก็จะใช้โอกาสที่ข้ากำลังตื่นตระหนกเพื่อสังหารข้า เป็นแผนการที่เหนือชั้นสุดๆ แต่แผนการคนหรือจะสู้ลิขิตสวรรค์ เจ้าคงไม่คาดคิดว่ากำลังฝีมือของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้จะแข็งแกร่งขนาดนี้สินะ นี่คือความผิดพลาดแรกของเจ้า”

เขายืนไพล่หลังและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ความผิดพลาดประการที่สองของเจ้าก็คือประเมินข้าต่ำเกินไป เจ้าคิดว่าข้าเหมือนกับผู้ฝึกวิชาเทวะทั่วๆ ไปสินะ และนั่นคือข้อผิดพลาดอันร้ายแรงที่สุดของเจ้า ข้าได้ผ่านการกลับชาติมาเกิดมากกว่าสิบหน และความเร็วในการฝึกปรือของข้าก็เกินเจ้าจะคิดฝัน ความเร็วที่ข้าพัฒนาไป นั้นเกินเจ้าจะจินตนาการ!”

รัศมีเขาแผ่พุ่งออกมา และปราณชีวิตก็บิดเบี้ยวอากาศโดยรอบ ก่อขึ้นมาเป็นพายุหมุนในโถงวังอันทรุดโทรม พวกมันหอบเอาก้อนอิฐและแม้กระทั่งกวาดซัดเสาหนาใหญ่ขึ้นไป ภาพที่เห็นนั้นน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ!

“เจ้าจะมีปัญญามาเผชิญหน้ากับข้าได้อย่างไร” ผานกงสั่วถามด้วยเสียงตะโกน พลังอำนาจของพลังวัตรเขาเพิ่มพูนอย่างน่าสะพรึงกลัวเมื่อเทียบกับที่เคยพบกันครั้งก่อนนี้ในทะเลทราย เรียกได้ว่าเขารุดหน้าไปด้วยความเร็วประหนึ่งเทพยดา!

ผานกงสั่วก้าวอาดๆ ไปข้างหน้า และภาพเงาของเทพก็ปรากฏเบื้องหลังเขา ก่อขึ้นมาเป็นชั้นสรวงสวรรค์มากมาย ร่างกายของเขาเป็นทองดำประดุจดั่งพุทธรูปเมื่อเขาขับเคลื่อนพระสูตรมหายานยูไลและบรรลุถึงสวรรค์ชั้นสุรัสวดี!

ผานกงสั่วยกมือของเขาขึ้นเพื่อปลุกเร้าพายุลมและสายฟ้า อย่างหลังนั้นคำรามกัมปนาทเมื่อฝ่ามือซัดลงมายังฉินมู่ราวกับห่าฝนมาลาสวรรค์!

ตูม!

โถงพังไปครึ่งหนึ่ง และผานกงสั่วเดินลงมาพร้อมกับชิ้นส่วนแตกหักของโถงวังอันถล่มร่วงกับพื้น

ฉินมู่กระทืบเท้า โถงครึ่งที่เหลือก็พังตามไป และหลุมใหญ่ปรากฏขึ้นข้างใต้เขา ผานกงสั่วโดนกระทืบลึกเข้าไปในทราย

ฉินมู่เอียงคอเล็กน้อยและเอ่ยถาม “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

……………………………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน