“หลังจากที่ได้เรียนนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิ ข้าก็ได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมาก นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมเป็นวิชาฝึกปรืออันอัศจรรย์มิอาจคาดหยั่ง มันเปิดเผยความเป็นไปได้อื่นๆ มากมายในอนาคต!”
ซวีเซิงฮวา ฉินมู่ ลิงยักษ์อสูร และคนอื่นๆ นั่งอยู่ในวิหารหนึ่งบนยอดเขาทองคำและสนทนากันถึงนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมที่ฉินมู่และหลิงอวี้จิวได้คิดค้นขึ้นมา แม้แต่อาคันตุกะจากเหนือฟ้าผู้นี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มด้วยความเริงใจ เขานั้นคึกคักแจ่มใสและปรบมือด้วยความชื่นชม
“นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมได้ผลักดันสิ่งที่สามารถกระทำได้ในขั้นเจ็ดดาวลงมาไปยังขั้นหกดาว ในแง่ว่าจะบ่มเพาะและปลดปล่อยพลานุภาพของจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นหกดาวอย่างไรนั้น ยังคงเป็นกระดาษเปล่าอยู่ มีหลายอย่างที่สามารถกระทำได้ อย่างเช่น สรรค์สร้างทักษะเทวะจิตวิญญาณดั้งเดิมทุกชนิด แต่ละทักษะเทวะที่ถูกรังสรรค์ออกมานั้นก็จะเป็นความก้าวหน้าอันใหญ่หลวงในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ นี่ก็จะส่งผลกระทบต่อไปยังวรยุทธขั้นที่เหนือกว่าทั้งหมด อย่างชาวสวรรค์ เป็นตาย และสะพานเทวะ! และจุดนี้คือประเด็นที่ข้าชื่นชมมากที่สุดในผลงานของจ้าวลัทธิ!”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปด้วยความเลื่อมใส “นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิและองค์หญิงจิว สามารถทำให้พวกเจ้ากลายเป็นอาจารย์ของผู้คนทั้งโลกหล้า! นับว่าสมกับฉายานามกษัตริย์มนุษย์! ข้าเลื่อมใสเจ้า แต่ในขณะเดียวกันก็หวาดผวา เจ้าและข้าล้วนเป็นกายาจ้าวแดนดิน แต่เจ้ากลับสำเร็จเรื่องราวระดับนี้ขึ้นมาได้ เช่นนั้นข้าจะต้องทำอย่างไรถึงจะไม่ถูกเจ้าทิ้งไว้ข้างหลัง”
ซวีเซิงฮวาแย้มยิ้มและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าได้สร้างความเป็นไปได้มากมายนับไม่ถ้วนให้แก่มรรคา วิชา และทักษะเทวะ ดังนั้นข้าจึงเลือกสิ่งที่ท้าทายที่สุด และมันก็คือการหลอมรวมขั้นเจ็ดดาวเข้ากับขั้นหกทิศ”
“หลอมรวมสองขั้นวรยุทธเป็นหนึ่งนั้นเกี่ยวพันกับสิ่งต่างๆ มากมาย เท่ากับว่าทำลายไปหนึ่งเขตขั้น เจ้าทำได้อย่างไร” ฉินมู่ถามอย่างเคร่งขรึม
“สมบัติเทวะมีทั้งหมดเจ็ดชิ้น ทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ เจ็ดดาว ชาวสวรรค์ เป็นตาย และสะพานเทวะ ท่ามกลางสมบัติเทวะเหล่านั้น ทารกวิญญาณได้ปลุกพลังจิตวิญญาณ ทำให้ทารกวิญญาณสามารถก่อรูปขึ้นมาเป็นแกนหลักสำคัญในการเปิดฟ้าและดิน”
“เมื่อทารกวิญญาณถูกตั้งไว้เป็นแกนกลางบนแท่นวิญญาณ ห้าธาตุก็ก่อกำเนิด ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ดาวธาตุทั้งห้าเหล่านี้ก็จะโคจรรอบๆ แท่นวิญญาณ”
“จากนั้นเมื่อมันให้กำเนิดผืนแผ่นดิน ก็จะมีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเบื้องบน และทิศเบื้องล่าง สิริรวมหกทิศ”
“เมื่อทิศทั้งหกมีขึ้นมา ดวงตะวันและดวงจันทร์ก็จะถือกำเนิด อันเพิ่มพูนจำนวนดาวให้เป็นเจ็ด”
“ด้วยดวงดาวเจ็ดดวงและทารกวิญญาณครบสมบูรณ์ พวกมันก็จะกลายเป็นชาวสวรรค์”
“จิตวิญญาณดั้งเดิมของชาวสวรรค์นั้นแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อมต่อความเป็นและความตาย ความตายคือแดนใต้พิภพอันอยู่ใต้เท้าของจิตวิญญาณดั้งเดิม ซ่อนอยู่ภายใต้ผืนแผ่นดินของแท่นวิญญาณ เมื่อแดนใต้พิภพก่อกำเนิด นั่นก็คือขั้นเป็นตาย”
“ความเป็นนั้นจึงหมายถึงสะพานเทวะ อันทอดยาวเหนือจิตวิญญาณดั้งเดิมและนำไปสู่ปราสาทสวรรค์ หลังจากที่เข้าไปในนั้นได้ คนผู้นั้นก็จะหลุดพ้นจากการควบคุมของแดนใต้พิภพ และไม่มีอายุขัยอันจำกัดอีกต่อไป”
ขณะที่ซวีเซิงฮวาอธิบายแง่อัศจรรย์ของเจ็ดขั้นวรยุทธใหญ่ ฉินมู่ก็ผงกหัวหงึกๆ ความเข้าใจของเขาต่อแต่ละขั้นวรยุทธนั้นก็คล้ายคลึงกับของซวีเซิงฮวา หากแต่ว่า มีความแตกต่างกันไปเล็กน้อยในขั้นเจ็ดดาว
ดวงตะวันและดวงจันทร์ในสมบัติเทวะของฉินมู่ได้ก่อตัวขึ้นมาตั้งนานแล้ว ก่อนขั้นเจ็ดดาวเสียอีก จุดนี้ดูจะแตกต่างจากการฝึกปรือโดยทั่วไป แต่ฉินมู่ถือว่ามันคือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกายาจ้าวแดนดินและมิได้เก็บมาใส่ใจ
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าหลอมรวมหกทิศและเจ็ดดาวให้เป็นหนึ่งได้อย่างไร” เขาถามด้วยความจริงใจ
ซวีเซิงฮวาแย้มยิ้มและกล่าว “อนุมานย้อนกลับ”
ฉินมู่ร่างสั่นเทิ้มและระบายลมหายใจขาดห้วง “ฉลาดจริงๆ!”
“ข้าจินตนาการตนเองว่ากำลังยืนอยู่ที่ประตูสวรรค์ทักษิณแห่งปราสาทสวรรค์ มองลงไปยังเจ็ดมหาขั้นวรยุทธข้างล่าง จากมุมสูงระดับนั้น เจ็ดมหาขั้นวรยุทธในที่สุดแล้วก็คือหนึ่งเดียว” ซวีเซิงฮวากล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“เจ็ดมหาสมบัติเทวะก็เป็นเพียงสมบัติเทวะหนึ่งเดียวที่ถูกแยกออกเป็นเจ็ด หากว่าใครแข็งแกร่งมากเพียงพอ พวกเขาก็จะสามารถทำให้สมบัติเทวะทั้งเจ็ดกลายเป็นหนึ่ง เปิดมันทั้งหมดพร้อมๆ กัน โดยการเปิดสมบัติเทวะเพียงครั้งเดียว และเข้าไปในปราสาทสวรรค์ตรงๆ ในอึดใจเดียว! แต่ทว่า ไม่มีใครที่มีพลังอำนาจน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นมาแต่กำเนิด แต่ถึงอย่างไร นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมที่จ้าวลัทธิและองค์หญิงจิวคิดค้นขึ้นมา ก็ทำให้การหลอมรวมขั้นเจ็ดดาวและขั้นหกทิศนั้นเป็นไปได้”
“เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยาก ระหว่างสมบัติเทวะที่แตกต่างกันมีเขตขั้นและม่านคุ้มกันที่กีดขวางแยกพวกมันออก การหลอมรวมสมบัติเทวะเท่ากับการหลอมรวมขั้นวรยุทธและทลายม่านคุ้มกันนั้น แล้วเจ้าทำอย่างไรถึงสามารถทลายม่านคุ้มกันระหว่างสองสมบัติเทวะนี้และทำให้มันกลายเป็นหนึ่งได้” ฉินมู่กล่าว
“ในการหลอมรวมสองมหาสมบัติเทวะให้เป็นหนึ่งและทลายม่านคุ้มกันไว้ล่วงหน้า ผู้ฝึกจะต้องอาศัยทารกวิญญาณของตนเป็นหลักเพื่อบังคับให้มหาสมบัติเทวะทั้งสองหลอมรวมเข้าด้วยกัน ในการนี้ ข้าได้คิดค้นวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศ บนรากฐานของนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิ”
เขาขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมของตน และรัศมีอันเกรี้ยวกราดรุนแรงก็แผ่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ปราณชีวิตของเขาก่อเป็นภาพปรากฏการณ์
ดอกบัวเบ่งบานใต้เท้าของซวีเซิงฮวา และทารกวิญญาณของเขาก็ปรากฏขึ้นมาบนนั้น ดอกบัวคือแท่นวิญญาณ มันหมุนและคลี่กลีบบาน แปรเปลี่ยนเป็นแดนดงบัวในชั่วพริบตา
ในเวลาเดียวกัน ห้าธาตุของเขาก็ลอยออกมา และดวงดาวทั้งห้าก็โคจรไปรอบๆ แดนบัว เทพเจ้าห้าตนยืนอยู่บนดาวห้าดวง และพวกเขาล้วนแต่มีหน้าตาต่างๆ กันไป
ปราณแห่งหยินและหยางก็จึงแปรเปลี่ยนเป็นดวงตะวันและดวงจันทร์อันลอยเลื่อนขึ้นสู่เวหา เมื่อพวกมันเข้าไปรวมกับห้าธาตุ ก็กลายเป็นเจ็ดดาว
ทารกวิญญาณขยายใหญ่ขึ้นทุกทีๆ ขณะที่ยืนตระหง่านอยู่เหนือแดนดงบัว แสงฉัพพรรณรังสีสาดส่องมาจากดอกบัวและเชื่อมต่อกับธาตุทั้งห้าจากดวงดาวทั้งเจ็ด!
ฉินมู่พลันรู้สึกว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขายืนตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าและดิน ด้วยมันเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อ ปราณชีวิตก็เคลื่อนที่ไปในทิศทางอันแปลกพิสดาร และม่านคุ้มกันระหว่างสมบัติเทวะทั้งหลายก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป!
ที่ซวีเซิงฮวากระทำนั้นคือการเปิดการเชื่อมต่อระหว่างฟ้าและดิน!
เจ็ดดาวและหกทิศนั้นเป็นมหาสมบัติเทวะที่แยกออกจากกัน แต่วิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศ ได้เชื่อมต่อสวรรค์และพิภพ ทั้งทำลายม่านคุ้มกันระหว่างฟ้าและดินไปโดยสิ้นเชิง!
ฉินมู่ผุดลุกขึ้น และปราณชีวิตของเขาพลุ่งพล่านพร้อมกับตะโกนออกไป “พี่ซวี มาให้ข้าดูหน่อยว่าวรยุทธของเจ้าเพิ่มพูนไปมากแค่ไหนหลังจากหลอมรวมสองขั้นวรยุทธ!”
เขาซัดกำปั้นท่าสายฟ้าวสันต์ในทะเลบูรพาของเพลงหมัดฟ้าคำรามแปดจู่โจม ทะเลคลั่งและคลื่นกระหน่ำโหม ขณะที่สายฟ้าฤดูใบไม้ผลิก็ฟาดเปรี้ยงลงมาและกึกก้องไปทั่วเทือกเขา
ซวีเซิงฮวายกมือขึ้นต้านรับกระบวนท่านี้ และทั้งคู่ก็ร่างสั่นเทิ้ม ฉินมู่ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยดวงตาเบิกกว้างเพราะความแตกตื่น
ความเข้มข้นปราณชีวิตของซวีเซิงฮวานั้นเคยด้อยกว่าเขาอยู่หนึ่งเส้นด้าย แต่หลังจากหลอมรวมสองมหาขั้นวรยุทธเข้าด้วยกัน เขาก็ถึงกับสูงกว่าฉินมู่หนึ่งเส้นด้าย!
ผู้ที่หลอมรวมสองขั้นวรยุทธ นับว่าเหนือธรรมดาจริงๆ!
ซวีเซิงฮวาสลายภาพปรากฏการณ์และอธิบายวิชาฝึกปรือที่เขาคิดค้น
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยน วิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศของซวีเซิงฮวานั้น พึ่งพิงทารกวิญญาณเป็นหลัก การหลอมรวมทารกวิญญาณเข้ากับดวงวิญญาณ ก็จะแปรเปลี่ยนมันให้เป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม
จากนั้นจิตวิญญาณดั้งเดิมก็จะกลายเป็นจุดศูนย์กลางของสี่มหาสมบัติเทวะและเชื่อมต่อเจ็ดดาวและหกทิศเข้าด้วยกัน ขับเคลื่อนพลังงานทั้งหมดในสี่มหาสมบัติเทวะ อันจะใช้พลังงานพวกนั้นป่นทำลายม่านคุ้มกันระหว่างฟ้าและดิน หลอมรวมสองขั้นวรยุทธให้เป็นหนึ่ง
ถ้าเช่นนั้น ม่านคุ้มกันระหว่างสมบัติเทวะทั้งหมดก็สามารถถูกทำลายได้สินะ เมื่อมาถึงขั้นสมบัติเทวะสะพานเทวะ เจ็ดมหาสมบัติเทวะก็จะกลายเป็นหนึ่ง…
ฉินมู่เหม่อในภวังค์คิด
นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเป็นจุดเริ่มต้น และวิชาจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศของซวีเซิงฮวานั้นเป็นการก้าวออกมาจากจุดนั้นไปอีกสองสามก้าว ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาต่อไปคือความเป็นไปได้อันไม่รู้จบ ในเมื่อขั้นเจ็ดดาวและขั้นหกทิศมิใช่เพียงแค่กลุ่มขั้นวรยุทธที่หลอมรวมกันได้เพียงเท่านั้น แม้แต่ม่านคุ้มกันระหว่างทารกวิญญาณและห้าธาตุก็สามารถถูกขจัดออกไปได้!
ชาวสวรรค์ เป็นตาย สะพานเทวะ–ม่านคุ้มกันของเขตขั้นเหล่านี้ก็สามารถถูกกำจัด!
หากว่าผู้ใดฝึกปรือถึงขั้นสะพานเทวะ และหลอมรวมขั้นชาวสวรรค์เพื่อสร้างช่องทางไปสู่ขั้นเป็นตาย เจ็ดมหาสมบัติเทวะก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่ง และก็จะไม่มีความแตกต่างระหว่างขั้นวรยุทธต่างๆ อีกต่อไป!
ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็จะนำไปสู่การปฏิวัติครั้งมโหฬาร!
กำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งโลกหล้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นไปอย่างมหาศาล!
และการเปลี่ยนแปลงที่ตามมาหลังจากการเพิ่มพูนกำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
“หากจะทลายม่านคุ้มกันทั้งหมด นั่นอาจจะต้องใช้เวลาหลายสิบหรือหลายร้อยปีในการทุ่มเทค้นคว้า แต่ทว่า บัดนี้พวกเราได้เป็นประจักษ์พยานต่อรุ่งอรุณ พี่ซวี เจ้าได้กระทำสิ่งอันน่าจดจำเหนือธรรมดา…” ฉินมู่พึมพำ
“หากมิใช่เพราะนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิ ข้าก็คงก้าวมาไม่ถึงขั้นนี้ จ้าวลัทธิ เป็นเจ้ากับองค์หญิงจิวต่างหากที่ได้กระทำสิ่งอันน่าจดจำเหนือธรรมดา” ซวีเซิงฮวากล่าวอย่างถ่อมตน
ฉินมู่หัวร่อด้วยเสียงอันดัง ซวีเซิงฮวาไม่รู้เลยสักนิดว่าสาเหตุที่เขาสามารถตรึกตรองคิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมขึ้นมาได้ นั้นก็เพระว่าการพบพานบนเรือสำราญ เมื่อทั้งคู่พบกันเป็นครั้งแรก พวกเขาได้ปะทะกับเพื่อทดสอบความสามารถของอีกฝ่าย ก็ต่อเมื่อจิตใจของเขาพลุ่งพล่านจากการพบพานนั้น ฉินมู่จึงสามารถบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมกับหลิงอวี้จิวได้
จากเรื่องนี้ เท่ากับว่าซวีเซิงฮาก็เป็นผู้มีส่วนโดยอ้อมในการคิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม
ทันใดนั้น เสียงฟ้าคำรามก็ดังมาจากข้างๆ เมื่อร่างกายของลิงยักษ์อสูรขยายออก เขาข่มการเผยร่างที่แท้จริงของตนเอาไว้ไม่ได้ แปรเปลี่ยนเป็นลิงยักษ์ดุสีดำสนิทที่ตัวใหญ่เท่าภูเขาลูกย่อมๆ!
หลังจากที่ซวีเซิงฮวาอธิบายวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศ ลิงยักษ์อสูรก็ได้ขับเคลื่อนจิตวิญญาณดั้งเดิมของตน และโคจรมันไปตามวิชาฝึกปรือนั้น
ทุกคนกระโดดโหยงด้วยความตกใจและรีบถอยออกห่าง เฝ้ามองจิตวิญญาณดั้งเดิมของลิงยักษ์อสูรที่สร้างเสียงครืนครันกัมปนาท วิชาฝึกปรือของซวีเซิงฮวาถูกเขาขับเคลื่อนอย่างราบรื่น และเขาก็กำลังหลอมรวมขั้นหกทิศเข้ากับเจ็ดดาว!
ซวีเซิงฮวาสะท้านใจ และเขามองไปยังฉินมู่ “จ้าวลัทธิ พรสวรรค์ของศิษย์พี่จ้านคงจะไม่ล้ำเลิศไปหน่อยหรอกหรือ”
ฉินมู่ข่มระงับความแตกตื่นใจและเงยศีรษะขึ้นมาดูร่างอันใหญ่เกินธรรมดาของลิงยักษ์อสูร “ความคิดเขาบริสุทธิ์ไร้มลทิน ในอดีตนั้น เขาก็ยังเรียนรู้ฟ้าคำรามแปดจู่โจมแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามได้เร็วกว่าข้ามาก เพราะว่าความคิดของเขาจดจ่อเป็นหนึ่งเดียว ความรุดหน้าในวรยุทธของเขาจึงรวดเร็วและรุนแรง”
“หรือว่าเขาก็เป็นกายาจ้าวแดนดินด้วยเช่นกัน” ซวีเซิงฮวาถามด้วยความสงสัย
กายเนื้อของลิงยักษ์อสูรแข็งแกร่งและพลังวัตรของเขาก็เข้มข้น เมื่อขับเคลื่อนจิตวิญญาณดั้งเดิม เขาก็ดูทั้งห้าวหาญดุดันและเขื่องโขน่าเกรงขามไปพร้อมๆ กัน
เขาได้รับการสั่งสอนจากยูไลเฒ่าผู้ซึ่งสอนพระสูตรมหายานยูไลให้แก่เขา จากนั้นเขาก็ติดตามยูไลน้อยไปฝึกบำเพ็ญ นับว่าได้รับการสอนสั่งจากสองสุดยอดปรมาจารย์แห่งลัทธิพุทธ ดังนั้นรากฐานวรยุทธของเขาจึงลึกล้ำ
แต่ถึงแม้ว่าความคิดของเขาจะบริสุทธิ์ไร้มลทิน แต่ก็ยังด้อยกว่าฉินมู่และซวีเซิงฮวาในด้านการคิดค้นสิ่งใหม่ ความคิดของฉินมู่นั้นซับซ้อนเจือไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย แต่เขาก็สามารถตรึกตรองคิดค้นสิ่งใหม่ๆ โดยการเทียบเคียงสิ่งต่างๆ และค้นพบวิธีการฝึกปรือใหม่ๆ อยู่เสมอ
ซวีเซิงฮวามีความคิดอันหนักแน่นเป็นปึกแผ่นมากกว่า แต่สิ่งที่เขาเรียนนั้นมีเรื่องหลากหลายแตกต่างกันจนเหลือล้น จิตวิญญาณอันไม่ยอมพ่ายแพ้ของเขาก็ถูกฉินมู่รีดเร้นออกมา ดังนั้นเขาจึงสามารถคิดค้นวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนเองจากรากฐานที่ฉินมู่สร้างเอาไว้ได้
ส่วนลิงยักษ์อสูรนั้น เขาไม่มีปฏิภาณคิดค้นแบบนี้ แต่เขาสามารถเรียนรู้วิชาฝึกปรือของผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งสามฝึกปรือบ่มเพาะตนเองในวิถีทางที่แตกต่างกัน
ลิงยักษ์อสูรนั้นเพียงแต่เรียนรู้ไม่เสาะหาความเข้าใจ ตราบใดที่เขาฝึกปรือได้ เขาก็จะฝึกปรือทันที ซวีเซิงฮวาแสวงหาความเข้าใจเพื่อที่จะได้ความเข้าใจในเรื่องเก่าให้มากยิ่งขึ้น ส่วนฉินมู่นั้น เป็นผู้กรุยทาง หากว่าข้างหน้าไม่มีหนทาง เขาก็จะเปิดเส้นทางขึ้นมาใหม่
ฉินมู่เองก็มีจุดอ่อน หลังจากกรุยทางแล้ว เขาก็จะวอกแวกไปทำเรื่องอื่นแทนที่จะบุกต่อไปยังเส้นทางนั้นๆ เพราะอย่างนี้ ผู้ที่คิดค้นวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศจึงเป็นซวีเซิงฮวาและไม่ใช่เขา
วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะที่ฉินมู่และซวีเซิงฮวาคิดค้นขึ้นมา ลิงยักษ์อสูรเรียนรู้ได้เร็วที่สุด ไม่ทันที่ฉินมู่จะเริ่มฝึกปรือวิชาจิตวิญญาณดั้งเดิม จ้านคงก็ได้เริ่มทลายม่านคุ้มกันระหว่างเขตขั้นแล้ว
ฉินมู่รีบละทิ้งความคิดวอกแวก และเพ่งสมาธิกับการฝึกวิชาจิตวิญญาณดั้งเดิม ขวนขวายที่จะทลายม่านคุ้มกันระหว่างขั้นหกทิศและขั้นเจ็ดดาว
สองวันถัดมา เขาก็ทลายม่านคุ้มกันสำเร็จ เมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็เห็นซวีเซิงฮวาและลิงยักษ์อสูรต่อสู้กันท่ามกลางภูเขาด้วยกระบวนท่าอันเกรี้ยวกราดเหนือธรรมดา ข้างๆ พวกเขา มีหลวงจีนปีศาจทั้งสูงเตี้ยใหญ่เล็กยืนล้อมวงดูและโห่ร้องสนับสนุน
ฉินมู่กำลังจะรีบรุดเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากตีนเขา “วัดน้อยฟ้าคำราม บังอาจอะไรอย่างนี้! กล้าดีอย่างไรถึงมาขโมยจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้า ฟังเอาไว้ ไอ้พวกลาหัวโล้นบนภูเขา ส่งจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้าคืนกลับมา มิเช่นนั้นข้าจะทำลายล้างทั้งสำนักพวกเจ้า!”
ฉินมู่มองลงไปและเห็นผานกงสั่วเดินขึ้นมาบนภูเขาด้วยขาที่งอคู้ไปข้างหลัง ท่าเดินครึ่งบิดครึ่งยองของเขานั้นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
ไอ้เด็กเปรตนี่ ข้าตัดขาเขาไปแค่ข้างเดียวไม่ใช่หรือ ทำไมขาอีกข้างเขาก็เปลี่ยนเหมือนกัน
ฉินมู่ลิงโลดที่ได้เห็นเขา และส่งกระบี่บินออกไปโดยไม่บอกกล่าว มันพุ่งหวีดหวิวข้ามระยะหลายสิบลี้ไปยังเป้าหมาย
ผานกงสั่วเพิ่งจะต่อขากวาง ดังนั้นเขาจะรับมือไม่ทันกาล เมื่อเขาเห็นแสงกระบี่และหมายที่จะหลบเลี่ยง มันก็ช้าไปเสียแล้ว หลังจากวิ่งไปได้สองก้าว เขาก็พบว่าแสงกระบี่ได้มาถึงหลังเขา
เขารีบหันกลับไปมองและเห็นขากวางสองขาวิ่งตะบึงล่วงหน้าเขาไป
“ไอ้เวรเอ๊ย!”
ผานกงสั่วร่างร่วงลงกับพื้น และดูเตี้ยกว่าเดิมไปมาก เขาเงยหน้าขึ้นมองและตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้เด็กแซ่ฉิน เจ้าและข้าไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน!”
“โลกมันกลมจริงๆ!” ฉินมู่เรียกกระบี่ของเขากลับยังยอดเขาทองคำที่เขายืนกอดอกอยู่ เขาหัวเราะร่าและกล่าว “ผู้สูงศักดิ์สุภาพเกินไปแล้ว ถึงกับนำขากวางสองข้างมาเลี้ยงอาหารข้า น้องชายผู้นี้จะหักใจปฏิเสธท่านได้อย่างไร ก็มีแต่ต้องรับเอาไว้!”
ในตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แบกหีบมาก็เดินเข้าทางประตูภูเขา และเงยศีรษะขึ้นมองฉินมู่ที่ยอดเขาทองคำ บนใบหน้าไร้มลทินของเขาประดับด้วยรอยยิ้ม
“ยอดหมอเทวดาฉิน โลกนี้มันกลมจริงๆ นั่นแหละ”
………………………………….