ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 480 โลกมันกลมจริงๆ

ตอนที่ 480 โลกมันกลมจริงๆ

“หลังจากที่ได้เรียนนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิ ข้าก็ได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมาก นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมเป็นวิชาฝึกปรืออันอัศจรรย์มิอาจคาดหยั่ง มันเปิดเผยความเป็นไปได้อื่นๆ มากมายในอนาคต!”

ซวีเซิงฮวา ฉินมู่ ลิงยักษ์อสูร และคนอื่นๆ นั่งอยู่ในวิหารหนึ่งบนยอดเขาทองคำและสนทนากันถึงนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมที่ฉินมู่และหลิงอวี้จิวได้คิดค้นขึ้นมา แม้แต่อาคันตุกะจากเหนือฟ้าผู้นี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มด้วยความเริงใจ เขานั้นคึกคักแจ่มใสและปรบมือด้วยความชื่นชม

“นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมได้ผลักดันสิ่งที่สามารถกระทำได้ในขั้นเจ็ดดาวลงมาไปยังขั้นหกดาว ในแง่ว่าจะบ่มเพาะและปลดปล่อยพลานุภาพของจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นหกดาวอย่างไรนั้น ยังคงเป็นกระดาษเปล่าอยู่ มีหลายอย่างที่สามารถกระทำได้ อย่างเช่น สรรค์สร้างทักษะเทวะจิตวิญญาณดั้งเดิมทุกชนิด แต่ละทักษะเทวะที่ถูกรังสรรค์ออกมานั้นก็จะเป็นความก้าวหน้าอันใหญ่หลวงในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ นี่ก็จะส่งผลกระทบต่อไปยังวรยุทธขั้นที่เหนือกว่าทั้งหมด อย่างชาวสวรรค์ เป็นตาย และสะพานเทวะ! และจุดนี้คือประเด็นที่ข้าชื่นชมมากที่สุดในผลงานของจ้าวลัทธิ!”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปด้วยความเลื่อมใส “นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิและองค์หญิงจิว สามารถทำให้พวกเจ้ากลายเป็นอาจารย์ของผู้คนทั้งโลกหล้า! นับว่าสมกับฉายานามกษัตริย์มนุษย์! ข้าเลื่อมใสเจ้า แต่ในขณะเดียวกันก็หวาดผวา เจ้าและข้าล้วนเป็นกายาจ้าวแดนดิน แต่เจ้ากลับสำเร็จเรื่องราวระดับนี้ขึ้นมาได้ เช่นนั้นข้าจะต้องทำอย่างไรถึงจะไม่ถูกเจ้าทิ้งไว้ข้างหลัง”

ซวีเซิงฮวาแย้มยิ้มและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าได้สร้างความเป็นไปได้มากมายนับไม่ถ้วนให้แก่มรรคา วิชา และทักษะเทวะ ดังนั้นข้าจึงเลือกสิ่งที่ท้าทายที่สุด และมันก็คือการหลอมรวมขั้นเจ็ดดาวเข้ากับขั้นหกทิศ”

“หลอมรวมสองขั้นวรยุทธเป็นหนึ่งนั้นเกี่ยวพันกับสิ่งต่างๆ มากมาย เท่ากับว่าทำลายไปหนึ่งเขตขั้น เจ้าทำได้อย่างไร” ฉินมู่ถามอย่างเคร่งขรึม

“สมบัติเทวะมีทั้งหมดเจ็ดชิ้น ทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ เจ็ดดาว ชาวสวรรค์ เป็นตาย และสะพานเทวะ ท่ามกลางสมบัติเทวะเหล่านั้น ทารกวิญญาณได้ปลุกพลังจิตวิญญาณ ทำให้ทารกวิญญาณสามารถก่อรูปขึ้นมาเป็นแกนหลักสำคัญในการเปิดฟ้าและดิน”

“เมื่อทารกวิญญาณถูกตั้งไว้เป็นแกนกลางบนแท่นวิญญาณ ห้าธาตุก็ก่อกำเนิด ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ดาวธาตุทั้งห้าเหล่านี้ก็จะโคจรรอบๆ แท่นวิญญาณ”

“จากนั้นเมื่อมันให้กำเนิดผืนแผ่นดิน ก็จะมีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเบื้องบน และทิศเบื้องล่าง สิริรวมหกทิศ”

“เมื่อทิศทั้งหกมีขึ้นมา ดวงตะวันและดวงจันทร์ก็จะถือกำเนิด อันเพิ่มพูนจำนวนดาวให้เป็นเจ็ด”

“ด้วยดวงดาวเจ็ดดวงและทารกวิญญาณครบสมบูรณ์ พวกมันก็จะกลายเป็นชาวสวรรค์”

“จิตวิญญาณดั้งเดิมของชาวสวรรค์นั้นแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อมต่อความเป็นและความตาย ความตายคือแดนใต้พิภพอันอยู่ใต้เท้าของจิตวิญญาณดั้งเดิม ซ่อนอยู่ภายใต้ผืนแผ่นดินของแท่นวิญญาณ เมื่อแดนใต้พิภพก่อกำเนิด นั่นก็คือขั้นเป็นตาย”

“ความเป็นนั้นจึงหมายถึงสะพานเทวะ อันทอดยาวเหนือจิตวิญญาณดั้งเดิมและนำไปสู่ปราสาทสวรรค์ หลังจากที่เข้าไปในนั้นได้ คนผู้นั้นก็จะหลุดพ้นจากการควบคุมของแดนใต้พิภพ และไม่มีอายุขัยอันจำกัดอีกต่อไป”

ขณะที่ซวีเซิงฮวาอธิบายแง่อัศจรรย์ของเจ็ดขั้นวรยุทธใหญ่ ฉินมู่ก็ผงกหัวหงึกๆ ความเข้าใจของเขาต่อแต่ละขั้นวรยุทธนั้นก็คล้ายคลึงกับของซวีเซิงฮวา หากแต่ว่า มีความแตกต่างกันไปเล็กน้อยในขั้นเจ็ดดาว

ดวงตะวันและดวงจันทร์ในสมบัติเทวะของฉินมู่ได้ก่อตัวขึ้นมาตั้งนานแล้ว ก่อนขั้นเจ็ดดาวเสียอีก จุดนี้ดูจะแตกต่างจากการฝึกปรือโดยทั่วไป แต่ฉินมู่ถือว่ามันคือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกายาจ้าวแดนดินและมิได้เก็บมาใส่ใจ

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าหลอมรวมหกทิศและเจ็ดดาวให้เป็นหนึ่งได้อย่างไร” เขาถามด้วยความจริงใจ

ซวีเซิงฮวาแย้มยิ้มและกล่าว “อนุมานย้อนกลับ”

ฉินมู่ร่างสั่นเทิ้มและระบายลมหายใจขาดห้วง “ฉลาดจริงๆ!”

“ข้าจินตนาการตนเองว่ากำลังยืนอยู่ที่ประตูสวรรค์ทักษิณแห่งปราสาทสวรรค์ มองลงไปยังเจ็ดมหาขั้นวรยุทธข้างล่าง จากมุมสูงระดับนั้น เจ็ดมหาขั้นวรยุทธในที่สุดแล้วก็คือหนึ่งเดียว” ซวีเซิงฮวากล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“เจ็ดมหาสมบัติเทวะก็เป็นเพียงสมบัติเทวะหนึ่งเดียวที่ถูกแยกออกเป็นเจ็ด หากว่าใครแข็งแกร่งมากเพียงพอ พวกเขาก็จะสามารถทำให้สมบัติเทวะทั้งเจ็ดกลายเป็นหนึ่ง เปิดมันทั้งหมดพร้อมๆ กัน โดยการเปิดสมบัติเทวะเพียงครั้งเดียว และเข้าไปในปราสาทสวรรค์ตรงๆ ในอึดใจเดียว! แต่ทว่า ไม่มีใครที่มีพลังอำนาจน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นมาแต่กำเนิด แต่ถึงอย่างไร นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมที่จ้าวลัทธิและองค์หญิงจิวคิดค้นขึ้นมา ก็ทำให้การหลอมรวมขั้นเจ็ดดาวและขั้นหกทิศนั้นเป็นไปได้”

“เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยาก ระหว่างสมบัติเทวะที่แตกต่างกันมีเขตขั้นและม่านคุ้มกันที่กีดขวางแยกพวกมันออก การหลอมรวมสมบัติเทวะเท่ากับการหลอมรวมขั้นวรยุทธและทลายม่านคุ้มกันนั้น แล้วเจ้าทำอย่างไรถึงสามารถทลายม่านคุ้มกันระหว่างสองสมบัติเทวะนี้และทำให้มันกลายเป็นหนึ่งได้” ฉินมู่กล่าว

“ในการหลอมรวมสองมหาสมบัติเทวะให้เป็นหนึ่งและทลายม่านคุ้มกันไว้ล่วงหน้า ผู้ฝึกจะต้องอาศัยทารกวิญญาณของตนเป็นหลักเพื่อบังคับให้มหาสมบัติเทวะทั้งสองหลอมรวมเข้าด้วยกัน ในการนี้ ข้าได้คิดค้นวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศ บนรากฐานของนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิ”

เขาขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมของตน และรัศมีอันเกรี้ยวกราดรุนแรงก็แผ่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ปราณชีวิตของเขาก่อเป็นภาพปรากฏการณ์

ดอกบัวเบ่งบานใต้เท้าของซวีเซิงฮวา และทารกวิญญาณของเขาก็ปรากฏขึ้นมาบนนั้น ดอกบัวคือแท่นวิญญาณ มันหมุนและคลี่กลีบบาน แปรเปลี่ยนเป็นแดนดงบัวในชั่วพริบตา

ในเวลาเดียวกัน ห้าธาตุของเขาก็ลอยออกมา และดวงดาวทั้งห้าก็โคจรไปรอบๆ แดนบัว เทพเจ้าห้าตนยืนอยู่บนดาวห้าดวง และพวกเขาล้วนแต่มีหน้าตาต่างๆ กันไป

ปราณแห่งหยินและหยางก็จึงแปรเปลี่ยนเป็นดวงตะวันและดวงจันทร์อันลอยเลื่อนขึ้นสู่เวหา เมื่อพวกมันเข้าไปรวมกับห้าธาตุ ก็กลายเป็นเจ็ดดาว

ทารกวิญญาณขยายใหญ่ขึ้นทุกทีๆ ขณะที่ยืนตระหง่านอยู่เหนือแดนดงบัว แสงฉัพพรรณรังสีสาดส่องมาจากดอกบัวและเชื่อมต่อกับธาตุทั้งห้าจากดวงดาวทั้งเจ็ด!

ฉินมู่พลันรู้สึกว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขายืนตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าและดิน ด้วยมันเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อ ปราณชีวิตก็เคลื่อนที่ไปในทิศทางอันแปลกพิสดาร และม่านคุ้มกันระหว่างสมบัติเทวะทั้งหลายก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป!

ที่ซวีเซิงฮวากระทำนั้นคือการเปิดการเชื่อมต่อระหว่างฟ้าและดิน!

เจ็ดดาวและหกทิศนั้นเป็นมหาสมบัติเทวะที่แยกออกจากกัน แต่วิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศ ได้เชื่อมต่อสวรรค์และพิภพ ทั้งทำลายม่านคุ้มกันระหว่างฟ้าและดินไปโดยสิ้นเชิง!

ฉินมู่ผุดลุกขึ้น และปราณชีวิตของเขาพลุ่งพล่านพร้อมกับตะโกนออกไป “พี่ซวี มาให้ข้าดูหน่อยว่าวรยุทธของเจ้าเพิ่มพูนไปมากแค่ไหนหลังจากหลอมรวมสองขั้นวรยุทธ!”

เขาซัดกำปั้นท่าสายฟ้าวสันต์ในทะเลบูรพาของเพลงหมัดฟ้าคำรามแปดจู่โจม ทะเลคลั่งและคลื่นกระหน่ำโหม ขณะที่สายฟ้าฤดูใบไม้ผลิก็ฟาดเปรี้ยงลงมาและกึกก้องไปทั่วเทือกเขา

ซวีเซิงฮวายกมือขึ้นต้านรับกระบวนท่านี้ และทั้งคู่ก็ร่างสั่นเทิ้ม ฉินมู่ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยดวงตาเบิกกว้างเพราะความแตกตื่น

ความเข้มข้นปราณชีวิตของซวีเซิงฮวานั้นเคยด้อยกว่าเขาอยู่หนึ่งเส้นด้าย แต่หลังจากหลอมรวมสองมหาขั้นวรยุทธเข้าด้วยกัน เขาก็ถึงกับสูงกว่าฉินมู่หนึ่งเส้นด้าย!

ผู้ที่หลอมรวมสองขั้นวรยุทธ นับว่าเหนือธรรมดาจริงๆ!

ซวีเซิงฮวาสลายภาพปรากฏการณ์และอธิบายวิชาฝึกปรือที่เขาคิดค้น

ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยน วิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศของซวีเซิงฮวานั้น พึ่งพิงทารกวิญญาณเป็นหลัก การหลอมรวมทารกวิญญาณเข้ากับดวงวิญญาณ ก็จะแปรเปลี่ยนมันให้เป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม

จากนั้นจิตวิญญาณดั้งเดิมก็จะกลายเป็นจุดศูนย์กลางของสี่มหาสมบัติเทวะและเชื่อมต่อเจ็ดดาวและหกทิศเข้าด้วยกัน ขับเคลื่อนพลังงานทั้งหมดในสี่มหาสมบัติเทวะ อันจะใช้พลังงานพวกนั้นป่นทำลายม่านคุ้มกันระหว่างฟ้าและดิน หลอมรวมสองขั้นวรยุทธให้เป็นหนึ่ง

ถ้าเช่นนั้น ม่านคุ้มกันระหว่างสมบัติเทวะทั้งหมดก็สามารถถูกทำลายได้สินะ เมื่อมาถึงขั้นสมบัติเทวะสะพานเทวะ เจ็ดมหาสมบัติเทวะก็จะกลายเป็นหนึ่ง…

ฉินมู่เหม่อในภวังค์คิด

นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเป็นจุดเริ่มต้น และวิชาจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศของซวีเซิงฮวานั้นเป็นการก้าวออกมาจากจุดนั้นไปอีกสองสามก้าว ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาต่อไปคือความเป็นไปได้อันไม่รู้จบ ในเมื่อขั้นเจ็ดดาวและขั้นหกทิศมิใช่เพียงแค่กลุ่มขั้นวรยุทธที่หลอมรวมกันได้เพียงเท่านั้น แม้แต่ม่านคุ้มกันระหว่างทารกวิญญาณและห้าธาตุก็สามารถถูกขจัดออกไปได้!

ชาวสวรรค์ เป็นตาย สะพานเทวะ–ม่านคุ้มกันของเขตขั้นเหล่านี้ก็สามารถถูกกำจัด!

หากว่าผู้ใดฝึกปรือถึงขั้นสะพานเทวะ และหลอมรวมขั้นชาวสวรรค์เพื่อสร้างช่องทางไปสู่ขั้นเป็นตาย เจ็ดมหาสมบัติเทวะก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่ง และก็จะไม่มีความแตกต่างระหว่างขั้นวรยุทธต่างๆ อีกต่อไป!

ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็จะนำไปสู่การปฏิวัติครั้งมโหฬาร!

กำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งโลกหล้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นไปอย่างมหาศาล!

และการเปลี่ยนแปลงที่ตามมาหลังจากการเพิ่มพูนกำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

“หากจะทลายม่านคุ้มกันทั้งหมด นั่นอาจจะต้องใช้เวลาหลายสิบหรือหลายร้อยปีในการทุ่มเทค้นคว้า แต่ทว่า บัดนี้พวกเราได้เป็นประจักษ์พยานต่อรุ่งอรุณ พี่ซวี เจ้าได้กระทำสิ่งอันน่าจดจำเหนือธรรมดา…” ฉินมู่พึมพำ

“หากมิใช่เพราะนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิ ข้าก็คงก้าวมาไม่ถึงขั้นนี้ จ้าวลัทธิ เป็นเจ้ากับองค์หญิงจิวต่างหากที่ได้กระทำสิ่งอันน่าจดจำเหนือธรรมดา” ซวีเซิงฮวากล่าวอย่างถ่อมตน

ฉินมู่หัวร่อด้วยเสียงอันดัง ซวีเซิงฮวาไม่รู้เลยสักนิดว่าสาเหตุที่เขาสามารถตรึกตรองคิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมขึ้นมาได้ นั้นก็เพระว่าการพบพานบนเรือสำราญ เมื่อทั้งคู่พบกันเป็นครั้งแรก พวกเขาได้ปะทะกับเพื่อทดสอบความสามารถของอีกฝ่าย ก็ต่อเมื่อจิตใจของเขาพลุ่งพล่านจากการพบพานนั้น ฉินมู่จึงสามารถบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมกับหลิงอวี้จิวได้

จากเรื่องนี้ เท่ากับว่าซวีเซิงฮาก็เป็นผู้มีส่วนโดยอ้อมในการคิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม

ทันใดนั้น เสียงฟ้าคำรามก็ดังมาจากข้างๆ เมื่อร่างกายของลิงยักษ์อสูรขยายออก เขาข่มการเผยร่างที่แท้จริงของตนเอาไว้ไม่ได้ แปรเปลี่ยนเป็นลิงยักษ์ดุสีดำสนิทที่ตัวใหญ่เท่าภูเขาลูกย่อมๆ!

หลังจากที่ซวีเซิงฮวาอธิบายวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศ ลิงยักษ์อสูรก็ได้ขับเคลื่อนจิตวิญญาณดั้งเดิมของตน และโคจรมันไปตามวิชาฝึกปรือนั้น

ทุกคนกระโดดโหยงด้วยความตกใจและรีบถอยออกห่าง เฝ้ามองจิตวิญญาณดั้งเดิมของลิงยักษ์อสูรที่สร้างเสียงครืนครันกัมปนาท วิชาฝึกปรือของซวีเซิงฮวาถูกเขาขับเคลื่อนอย่างราบรื่น และเขาก็กำลังหลอมรวมขั้นหกทิศเข้ากับเจ็ดดาว!

ซวีเซิงฮวาสะท้านใจ และเขามองไปยังฉินมู่ “จ้าวลัทธิ พรสวรรค์ของศิษย์พี่จ้านคงจะไม่ล้ำเลิศไปหน่อยหรอกหรือ”

ฉินมู่ข่มระงับความแตกตื่นใจและเงยศีรษะขึ้นมาดูร่างอันใหญ่เกินธรรมดาของลิงยักษ์อสูร “ความคิดเขาบริสุทธิ์ไร้มลทิน ในอดีตนั้น เขาก็ยังเรียนรู้ฟ้าคำรามแปดจู่โจมแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามได้เร็วกว่าข้ามาก เพราะว่าความคิดของเขาจดจ่อเป็นหนึ่งเดียว ความรุดหน้าในวรยุทธของเขาจึงรวดเร็วและรุนแรง”

“หรือว่าเขาก็เป็นกายาจ้าวแดนดินด้วยเช่นกัน” ซวีเซิงฮวาถามด้วยความสงสัย

กายเนื้อของลิงยักษ์อสูรแข็งแกร่งและพลังวัตรของเขาก็เข้มข้น เมื่อขับเคลื่อนจิตวิญญาณดั้งเดิม เขาก็ดูทั้งห้าวหาญดุดันและเขื่องโขน่าเกรงขามไปพร้อมๆ กัน

เขาได้รับการสั่งสอนจากยูไลเฒ่าผู้ซึ่งสอนพระสูตรมหายานยูไลให้แก่เขา จากนั้นเขาก็ติดตามยูไลน้อยไปฝึกบำเพ็ญ นับว่าได้รับการสอนสั่งจากสองสุดยอดปรมาจารย์แห่งลัทธิพุทธ ดังนั้นรากฐานวรยุทธของเขาจึงลึกล้ำ

แต่ถึงแม้ว่าความคิดของเขาจะบริสุทธิ์ไร้มลทิน แต่ก็ยังด้อยกว่าฉินมู่และซวีเซิงฮวาในด้านการคิดค้นสิ่งใหม่ ความคิดของฉินมู่นั้นซับซ้อนเจือไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย แต่เขาก็สามารถตรึกตรองคิดค้นสิ่งใหม่ๆ โดยการเทียบเคียงสิ่งต่างๆ และค้นพบวิธีการฝึกปรือใหม่ๆ อยู่เสมอ

ซวีเซิงฮวามีความคิดอันหนักแน่นเป็นปึกแผ่นมากกว่า แต่สิ่งที่เขาเรียนนั้นมีเรื่องหลากหลายแตกต่างกันจนเหลือล้น จิตวิญญาณอันไม่ยอมพ่ายแพ้ของเขาก็ถูกฉินมู่รีดเร้นออกมา ดังนั้นเขาจึงสามารถคิดค้นวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนเองจากรากฐานที่ฉินมู่สร้างเอาไว้ได้

ส่วนลิงยักษ์อสูรนั้น เขาไม่มีปฏิภาณคิดค้นแบบนี้ แต่เขาสามารถเรียนรู้วิชาฝึกปรือของผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งสามฝึกปรือบ่มเพาะตนเองในวิถีทางที่แตกต่างกัน

ลิงยักษ์อสูรนั้นเพียงแต่เรียนรู้ไม่เสาะหาความเข้าใจ ตราบใดที่เขาฝึกปรือได้ เขาก็จะฝึกปรือทันที ซวีเซิงฮวาแสวงหาความเข้าใจเพื่อที่จะได้ความเข้าใจในเรื่องเก่าให้มากยิ่งขึ้น ส่วนฉินมู่นั้น เป็นผู้กรุยทาง หากว่าข้างหน้าไม่มีหนทาง เขาก็จะเปิดเส้นทางขึ้นมาใหม่

ฉินมู่เองก็มีจุดอ่อน หลังจากกรุยทางแล้ว เขาก็จะวอกแวกไปทำเรื่องอื่นแทนที่จะบุกต่อไปยังเส้นทางนั้นๆ เพราะอย่างนี้ ผู้ที่คิดค้นวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศจึงเป็นซวีเซิงฮวาและไม่ใช่เขา

วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะที่ฉินมู่และซวีเซิงฮวาคิดค้นขึ้นมา ลิงยักษ์อสูรเรียนรู้ได้เร็วที่สุด ไม่ทันที่ฉินมู่จะเริ่มฝึกปรือวิชาจิตวิญญาณดั้งเดิม จ้านคงก็ได้เริ่มทลายม่านคุ้มกันระหว่างเขตขั้นแล้ว

ฉินมู่รีบละทิ้งความคิดวอกแวก และเพ่งสมาธิกับการฝึกวิชาจิตวิญญาณดั้งเดิม ขวนขวายที่จะทลายม่านคุ้มกันระหว่างขั้นหกทิศและขั้นเจ็ดดาว

สองวันถัดมา เขาก็ทลายม่านคุ้มกันสำเร็จ เมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็เห็นซวีเซิงฮวาและลิงยักษ์อสูรต่อสู้กันท่ามกลางภูเขาด้วยกระบวนท่าอันเกรี้ยวกราดเหนือธรรมดา ข้างๆ พวกเขา มีหลวงจีนปีศาจทั้งสูงเตี้ยใหญ่เล็กยืนล้อมวงดูและโห่ร้องสนับสนุน

ฉินมู่กำลังจะรีบรุดเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากตีนเขา “วัดน้อยฟ้าคำราม บังอาจอะไรอย่างนี้! กล้าดีอย่างไรถึงมาขโมยจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้า ฟังเอาไว้ ไอ้พวกลาหัวโล้นบนภูเขา ส่งจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้าคืนกลับมา มิเช่นนั้นข้าจะทำลายล้างทั้งสำนักพวกเจ้า!”

ฉินมู่มองลงไปและเห็นผานกงสั่วเดินขึ้นมาบนภูเขาด้วยขาที่งอคู้ไปข้างหลัง ท่าเดินครึ่งบิดครึ่งยองของเขานั้นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง

ไอ้เด็กเปรตนี่ ข้าตัดขาเขาไปแค่ข้างเดียวไม่ใช่หรือ ทำไมขาอีกข้างเขาก็เปลี่ยนเหมือนกัน

ฉินมู่ลิงโลดที่ได้เห็นเขา และส่งกระบี่บินออกไปโดยไม่บอกกล่าว มันพุ่งหวีดหวิวข้ามระยะหลายสิบลี้ไปยังเป้าหมาย

ผานกงสั่วเพิ่งจะต่อขากวาง ดังนั้นเขาจะรับมือไม่ทันกาล เมื่อเขาเห็นแสงกระบี่และหมายที่จะหลบเลี่ยง มันก็ช้าไปเสียแล้ว หลังจากวิ่งไปได้สองก้าว เขาก็พบว่าแสงกระบี่ได้มาถึงหลังเขา

เขารีบหันกลับไปมองและเห็นขากวางสองขาวิ่งตะบึงล่วงหน้าเขาไป

“ไอ้เวรเอ๊ย!”

ผานกงสั่วร่างร่วงลงกับพื้น และดูเตี้ยกว่าเดิมไปมาก เขาเงยหน้าขึ้นมองและตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้เด็กแซ่ฉิน เจ้าและข้าไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน!”

“โลกมันกลมจริงๆ!” ฉินมู่เรียกกระบี่ของเขากลับยังยอดเขาทองคำที่เขายืนกอดอกอยู่ เขาหัวเราะร่าและกล่าว “ผู้สูงศักดิ์สุภาพเกินไปแล้ว ถึงกับนำขากวางสองข้างมาเลี้ยงอาหารข้า น้องชายผู้นี้จะหักใจปฏิเสธท่านได้อย่างไร ก็มีแต่ต้องรับเอาไว้!”

ในตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แบกหีบมาก็เดินเข้าทางประตูภูเขา และเงยศีรษะขึ้นมองฉินมู่ที่ยอดเขาทองคำ บนใบหน้าไร้มลทินของเขาประดับด้วยรอยยิ้ม

“ยอดหมอเทวดาฉิน โลกนี้มันกลมจริงๆ นั่นแหละ”

………………………………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท