ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 484 โลกมิติซ้อนทับ

ตอนที่ 484 โลกมิติซ้อนทับ

เสี้ยววินาทีแรกเสียงของซิงอ้านดังมาจากยอดเขาพระสุเมรุ แต่เสี้ยววินาทีถัดมา เสียงของเขาก็ดังต่ำลงมาอีก เขากำลังไล่ล่าตามพวกเขา

เขาไม่สนใจเรื่องว่าจะสังหารศัตรูได้หรือไม่ แต่หีบของเขานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

โทสะในน้ำเสียงของเขาปิดบังเอาไว้ไม่อยู่เมื่อเขาหัวเราะ “เจ้ากล้าดีอย่างไร!”

ข้างใต้หีบ ผานกงสั่วพึมพำเสียงกระซิบ “ไอ้เด็กร้ายกาจนี่มันขวัญกล้าที่สุดแล้วล่ะ…”

“เจ้าถึงกับกล้าสมคบคิดกับผู้แซ่ฉินเพื่อขโมยหีบของข้า! ผู้สูงศักดิ์ เจ้ากล้าดีอย่างไร!”

เสียงของซิงอ้าน บางครั้งก็มาจากทางซ้าย บางครั้งก็มาจากทางขวา เห็นได้ชัดว่าภายใต้การรุกรานของความมืด เขาไม่อาจหาตัวฉินมู่และตำแหน่งของหีบได้ ดังนั้นเขาจึงวิ่งไปทางโน้นและทางนี้ ถึงอย่างไร ด้วยความเร็วของเขา การค้นหาในรัศมีหนึ่งพันลี้นั้นไม่ใช่ปัญหา

ตามหาฉินมู่และหีบใหญ่พบหรือไม่ขึ้นกับเวลาเท่านั้น

“เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรือ เจ้ามันตื้นเขินเกินไป!” เมื่อซิงอ้านเริ่มต้นพูด เสียงของเขาดังมาจากหนึ่งร้อยลี้ทิศตะวันตก แต่เมื่อกล่าวจบ เขาก็มาจากหนึ่งร้อยลี้ทิศใต้

สีหน้าผานกงสั่วเขียวคล้ำ และเขากัดฟันกรอด “นี่จะเป็นความผิดข้าได้อย่างไร ข้าไม่ได้ร่วมมือกับเขาขโมยหีบของเจ้า ข้าแค่ฉวยโอกาสนี้หลบหนีไปด้วยเท่านั้น!”

บนหีบ ฉินมู่ตื่นตระหนก ซิงอ้านสามารถขจัดเทพหมอผีขุยได้เร็วขนาดนี้เชียว? กำลังฝีมือของเขาน่าสะพรึงกลัวสุดๆ!

ข้างใต้หีบ ผานกงสั่วพึมพำกับตนเอง “อาจารย์ของข้านับว่าเฒ่าเพราะอยู่นานแต่ไร้ประโยชน์จริงๆ…แต่ทว่าซิงอ้านจะยังไม่สามารถขจัดจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเพื่อให้กลายเป็นของสะสมได้ในเวลาอันสั้น จ้าวลัทธิฉิน ข้ามีความคิดดีๆ ที่จะกำจัดทั้งอาจารย์ของข้าและซิงอ้านไปได้ในเวลาเดียวกัน!”

ฉินมู่กล่าวมาจากบนยอดหีบ “ข้ารู้ว่าเจ้าหมายถึงอะไร เจ้ากะจะไปที่ภูเขาหยางในทิศใต้ของแดนโบราณวินาศเพื่อคลายผนึกกายเนื้อของเทพหมอผีขุย ซิงอ้านนั้นยังไม่ทันขัดเกลาจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา ดังนั้นข้าคะเนว่าเขาจะต้องแยกทารกวิญญาณออกจากดวงวิญญาณ และสะกดข่มเอาไว้คนละแห่ง”

“ถึงอย่างไรเทพหมอผีขุยก็เป็นเทพเจ้าตนหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเขาได้ร่างเนื้อกลับคืนมา เขาก็อาจจะสามารถเป็นอิสระจากการสะกดข่มของซิงอ้านได้ เทพหมอผีขุยที่มีร่างครบสมบูรณ์คงไม่อ่อนด้อยไปกว่าซิงอ้าน แต่จะแข็งแกร่งกว่า ข้าพูดถูกหรือไม่”

ผานกงสั่วผงกหัวเหมือนไก่จิกข้าวเปลือก ก่อนจะตระหนักว่าฉินมู่มองไม่เห็นกิริยาของเขา

“จ้าวลัทธิฉินสมแล้วกับที่เป็นศัตรูอันยิ่งใหญ่ของข้า!” เขาเอ่ยชม “จ้าวลัทธิ มีศัตรูอย่างเจ้าแม้แต่เวลานอนข้าก็คงจะฝันร้าย”

“จ้าวลัทธิ ข้าว่าเขาด่าทอท่านแน่ะ” กิเลนมังกรบอก

“มันเป็นคำชมใหญ่โตต่างหาก แต่ทว่าหากซิงอ้านไม่อาจต่อสู้กับเทพหมอผีขุยที่มีร่างครบสมบูรณ์ได้ อันตรายที่ทุกคนเผชิญก็จะใหญ่หลวงเกินคะเน และนั่นจะน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขั้ว แต่หากว่า…”

เขาอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล หากซิงอ้านเพิ่มจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยเอาไว้ในของสะสมของเขา นั่นก็จะเป็นมหันตภัยเช่นกัน

หากว่าซิงอ้านสามารถขัดเกลาจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยให้เป็นของตนได้ มิใช่ว่าเขาจะฆ่าใครก็ได้ดั่งใจหรอกหรือ แน่ล่ะ ซิงอ้านก็มีหลักการของเขา เขาไม่แตะต้องผู้คนที่ไม่สะดุดตาเขา อย่างผู้คนที่ไม่มีความเชี่ยวชาญใดๆ เข้าเขตขั้นเทวะ!

ด้วยงานอดิเรกของเขา ยอดฝีมือทั้งหมดที่ไปถึงเขตขั้นเทวะก็คงถูกเขาสักการะดวงวิญญาณจนตายไป เพื่อให้เขาได้ตัดชิ้นส่วนอวัยวะเทพเจ้าออกมาอย่างราบรื่น

นี่ก็จะต้องเป็นภัยพิบัติอย่างแน่นอน และผลกระทบต่อมรรคา วิชา และทักษะเทวะก็คงจะเกินจะคาดหยั่ง

“หากว่าทั้งสองคนนี้สามารถตกตายไปด้วยกันได้ นั่นก็คงดีเยี่ยม…”

ฉินมู่ถอนหายใจและยอมรับแผนการของผานกงสั่ว เขาเร่งให้หีบวิ่งตะบึงไปทางทิศใต้

“พวกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก!”

เสียงของซิงอ้านบางครั้งก็ใกล้ บางครั้งก็ไกล ความมืดของแดนโบราณวินาศยามค่ำคืนนั้นมืดทึบเสียขนาดที่ว่าด้วยกำลังฝีมืออันเลิศล้ำอย่างเขา ก็ยังไม่อาจเสาะหาร่องรอยของคณะหลบหนีได้

ไม่นานนัก ฉินมู่ก็มองเห็นเงาของร่องเหวสวรรค์ตรงหน้าหีบ เสียงน้ำดังซู่ซ่ามาจากความมืด และจากเสียงเหล่านั้น เขาก็คะเนได้ว่ามันมีน้ำตกมากกว่าหนึ่ง

พวกเขาอยู่ตรงหน้าหน้าผาอันตรายร้ายกาจ

“เอ๊ะ นี่มันคือหน้าผาขาดที่แหล่งธารแม่น้ำหย่ง!”

ฉินมู่ให้หีบไปที่ขอบหน้าผาเพื่อให้พวกเขามองลงไปได้ จากที่นั่น เขาเห็นแสงเจิดจ้าส่องออกมาจากผนังผา เขาไม่รู้ว่ามันส่องออกมาจากอะไร

หัวใจของเขาสั่นสะเทือนเล็กน้อย ครั้งล่าสุดที่เขามาที่นี่ เขาได้พาเสียงซีอวี่กับบุตรสาวของนางมาด้วย ในตอนนั้น เขาได้เห็นร่องเหวสวรรค์แยกเขตตะวันออกและตะวันตกของแดนโบราณวินาศออกเป็นสองเสี่ยง ความสูงของหน้าผานั้นสูงกว่าพันห้าร้อยวา

มันเป็นหน้าผาที่ก่อขึ้นมาจากแผ่นดินไหวอันน่าสะพรึงกลัว ที่ได้ฉีกทั้งแดนโบราณวินาศแยกออกจากกัน สร้างรอยร้าวฉานมหึมาที่พาดยาวจากทิศเหนือไปทิศใต้

ต้นธารของแม่น้ำหย่งนั้นเป็นน้ำตกจำนวนมากอันตกลงมาจากหน้าผาขาด น้ำตกพวกนั้นรวบรวมเข้าด้วยกันเพื่อก่อเป็นแม่น้ำอันยิ่งใหญ่ที่เหยียดยาวไปไกลหลายหมื่นลี้ ยาวไปถึงจักรวรรดิสันตินิรันดร์อันเป็นแม่น้ำที่มีกระแสเชี่ยวกรากที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินมู่ก็ได้ประสบเหตุการณ์ประหลาด

เมื่อเขากับเสียงซีอวี่พบกับหมอกบนแม่น้ำ พวกเขาก็มองเห็นทะเลทรายและเทพเจ้ามากมายที่กำลังหลอมสร้างปราสาทราชวังให้กับเทพสูงส่ง พวกเขาล้วนแต่เป็นเทพเจ้าแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ผู้ซึ่งได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิสูงส่งให้เปลี่ยนทะเลทรายกลายเป็นที่ราบลุ่ม หลังจากนั้น พวกเขาก็เห็นทวยเทพแห่งยุคจักรพรรดิสูงส่งกรุยดินสร้างทางเดินแม่น้ำหย่ง

แต่ทว่า ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือเมื่อพวกเขาเห็นจุดจบของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เทพเจ้าอีกกลุ่มจากอีกยุคสมัยก็ก้าวออกมาจากมวลหมอก

พวกเขาคือจักรพรรดิก่อตั้งและข้าราชบริพาร ซึ่งกำลังประสบกับหมอกประหลาดขณะที่พวกเขาสำรวจพื้นที่นี้ และก็ได้ทอดถอนใจต่อการสิ้นสุดของยุคสมัย

นี่นับว่าเป็นประสบการณ์ประหลาดพิสดารที่สุดที่ฉินมู่เคยพบเห็น

เสียงสะท้อนจากประวัติศาสตร์สองช่วงเวลาซ้อนทับกันที่ต้นธารแม่น้ำหย่ง และก่อขึ้นมาเป็นภาพอันยากจะเข้าใจ

ในเวลานั้นฉินมู่ได้อนุมานว่าอาจจะมีทางเข้าไปยังโลกมิติอื่นในบริเวณนี้ และแม้กระทั่งได้เห็นกับตาว่ากาลและอวกาศของห้าโลกมิติกำลังซ้อนทับกันอยู่

ข้าสงสัย จะเกิดสิ่งประหลาดอะไรขึ้นเมื่อยามกลางคืนมาถึงต้นธารแม่น้ำหย่ง

เขานั้นกระสับกระส่าย แต่ในขณะเดียวกันก็นึกอยากรู้อยากเห็น เขาให้หีบของซิงอ้านเดินลงไปจากหน้าผา และผานกงสั่วที่อยู่ใต้หีบก็รีบคว้าจับขาหีบเอาไว้ข้างหนึ่งทันทีเพื่อมิให้ร่วงลงไป

ในเวลาเดียวกันนั้น บนยอดเขาทองคำเขาพระสุเมรุน้อยแห่งวัดน้อยฟ้าคำราม ยูไลน้อยนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิดอกบัวขณะที่หลวงจีนทั้งหมดห้อมล้อมเขาด้วยความเศร้าโศกเปื้อนใบหน้า ลิงยักษ์อสูรคุกเข่าอยู่ด้วยดวงตาอันลืมโพลง ทันใดนั้น น้ำตาก็เริ่มหลั่งไหลจากแก้มของเขาร่วงเปาะๆ ลงกับพื้น

“ข้าได้กบฏและออกมาจากวัดใหญ่ฟ้าคำรามเพราะอาจารย์ของข้าไม่ยุติธรรม เลือกศิษย์พี่ของข้าสืบทอดตำแหน่งยูไลแทนที่จะเป็นข้า ในเมื่อสรรพชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน ทำไมมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่จะได้ยูไล มิใช่ปีศาจ ในเมื่อธรรมะล้วนเท่าเทียมกัน ทำไมยูไลจึงเป็นได้แต่บุรุษ มิใช่สตรี”

รังสีแสงส่องบนใบหน้าของยูไลน้อยเมื่อเขาแย้มยิ้ม “วรยุทธของข้ามิได้ด้อยไปกว่าศิษย์พี่ และข้าก็ไม่ชมชอบธรรมะของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นหนักหนา ดังนั้นข้าจึงแค้นเคือง ข้าต้องการที่จะสร้างแดนศักดิ์สิทธิ์ให้แก่เผ่าปีศาจ ข้าต่อสู้ฆ่าฟันออกมาจากวัดใหญ่ฟ้าคำรามเพื่อก่อตั้งวัดน้อยฟ้าคำราม ฟ้าคำรามใหญ่ ฟ้าคำรามน้อย–ก็ล้วนแต่เสียงสายฟ้า”

“แม้ว่าทั้งสองจะอรรถาอธิบายธรรมะอย่างแตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็เป็นธรรมะ เทพหมอผีขุยได้สักการะดวงวิญญาณข้าจนตาย และข้าไม่มีความสามารถระดับซิงอ้าน ดังนั้นดวงวิญญาณของข้าจึงกำลังจะแตกสลาย จ้านคง นำไม้เท้าขักขระมา”

ลิงยักษ์อสูรคุกเข่าลงด้วยไม้เท้าขักขระที่เขาชูสูงขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง

“ศิษย์พี่ของข้าถ่ายทอดพระสูตรมหายานยูไลให้แก่เจ้าเพราะไม้เท้าขักขระ และเพราะว่าเขา ข้าจึงได้รับเจ้ามาเป็นศิษย์ วัดใหญ่ฟ้าคำราม วัดน้อยฟ้าคำราม เพราะตัวเจ้า ทั้งสองจึงจะเกี่ยวพันกันอีกครั้ง”

ยูไลน้อยยกมือขึ้น และไม้เท้าขักขระก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ “เจ้าเป็นศิษย์น้องของยูไลหม่าแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม หลังจากที่ข้าตายไป จงนำหลวงจีนทั้งหมดบนภูเขาไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำราม ยูไลหม่าจะรับพวกเจ้าเอาไว้ทั้งหมด”

เขาถอดผ้ากาสาวพัสตร์และพระสูตรเล่มหนึ่งออกมา หลังจากที่วางพระสูตรไว้บนกาสาวพัสตร์ เขาก็ยกมันให้แก่ลิงยักษ์อสูร ไม้เท้าพลันร่วงลงมาและทับลงไปบนพระสูตร

“บอกยูไลหม่าเช่นนี้ สรรพชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน ไฉนรูปสลักของเผ่าปีศาจในวิหารจึงเป็นเพียงสัตว์ขี่ของพุทธเจ้าและโพธิสัตว์อยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าเผ่าปีศาจเราก็เท่าเทียมกันหรอกหรือ”

ดวงจิตและดวงวิญญาณของยูไลน้อยเริ่มแตกแยกออกจากกันและล่องลอยออกไป “จากนั้นถามเขา หากว่าเผ่าปีศาจล้วนเท่าเทียม ทำไมธรรมะถึงถูกเขียนโดยมนุษย์เท่านั้น ปีศาจไม่สามารถเขียนธรรมะได้หรือ”

“หลังจากนั้น ถามเขาอีก ช่วยชีวิตมนุษย์เป็นกุศลผลบุญ ดังนั้นการช่วยชีวิตปีศาจไม่นับว่าเป็นกุศลผลบุญเช่นกันหรือ”

“ถามเขา หากกินมนุษย์เป็นการพรากชีวิต แล้วการกินปีศาจนับเป็นการพรากชีวิตเช่นกันหรือไม่ พืชพันธุ์ พฤกษา พวกมันล้วนแต่สามารถกลายเป็นปีศาจ ดังนั้นกินพวกมันไปนับเป็นการพรากชีวิตเช่นกันไหม”

“หากว่าเขาตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ มอบพระสูตรนี้ที่ข้ายูไลปีศาจเป็นผู้เขียนให้แก่เขา เขาก็จะรับพวกเจ้าเข้าไปทั้งหมด”

ยูไลน้อยประนมมือเข้าด้วยกันและกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “หลังจากที่ข้านิพพาน นำเอากายเนื้อนี้ของข้าไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำราม ถามยูไลหม่าว่าข้าสามารถเข้าเจดีย์หมื่นพุทธด้วยได้หรือไม่” เมื่อเขากล่าวจบ ดวงวิญญาณของเขาก็กระจัดกระจายไป

“ปีศาจ อาจารย์!”

ลิงยักษ์อสูรหมอบลงกับพื้น และหลวงจีนทั้งหมดก็ท่องมนตร์มหากรุณาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ยูไลน้อยก่อตั้งวัดน้อยฟ้าคำรามด้วยกำลังของเขาเอง และได้ทำให้มันกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวแห่งเผ่าปีศาจ” ซวีเซิงฮวากล่าวด้วยเสียงเบา “ไม่มีเผ่าปีศาจในธรรมะ แต่กระนั้นเขาก็ทำให้เผ่าปีศาจมีธรรมะเป็นของพวกเขาเองได้ กรอบคิดจิตใจเช่นนี้จะไม่เป็นยูไลได้อย่างไร เอี้ยนจื่อ ข้าอยากจะไปพบเห็นพุทธเจ้าของเผ่ามนุษย์และพุทธเจ้าของเผ่าปีศาจ”

“ข้าจะตามท่านไปวัดใหญ่ฟ้าคำราม ในเมื่อเจ้าตัวใหญ่จะพาหลวงจีนปีศาจทั้งหมดเดินทางข้ามแดนโบราณวินาศ การจาริกของพวกเขาคงเต็มไปด้วยอันตราย พวกเราก็จะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้” จิงเอี้ยนกล่าว

“ในวัดน้อยฟ้าคำรามมียอดฝีมือมากมายเต็มไปหมด ดังนั้นการจาริกข้ามแดนโบราณของพวกเขาคงไม่อันตรายเท่าใดนัก แต่ผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายจริงๆ น่าจะเป็นจ้าวลัทธิฉิน เขาขโมยหีบของซิงอ้านและถึงกับพาผู้สูงศักดิ์ไปด้วย จ้าวลัทธิฉินผู้นี้…”

เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากของเขา ส่วนจิงเอี้ยนนั้นเพียงแค่แย้มยิ้ม “ท่านอิจฉาเขามากๆ ใช่ไหม อิจฉาที่เขาได้ใช้ชีวิตอย่างน่าสนใจ?”

ซวีเซิงฮวาพยักหน้า “แต่ทว่า ข้านั้นไม่เหมือนกับเขา แม้ว่าข้าจะอิจฉาเขา แต่ข้าก็ไม่หวังใจที่จะต้องฟันฝ่าไปในชีวิตแบบนั้น ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะรอดพ้นเรื่องนี้ไปได้”

หีบใหญ่ส่องแสงลางเลือน ขณะที่มีสิ่งเล็กๆ มากมายที่เรืองแสงอยู่บนหน้าผาเช่นกัน ความมืดครอบงำทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในสถานที่นี้กลับมีแสงสว่าง อันทำให้ฉินมู่ต้องเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง

หีบหยุดไต่ลงหน้าผาเมื่อมันมาถึงจุดที่มีแสงส่องออกมา ฉินมู่เพ่งพิศดูอย่างละเอียด และอดไม่ได้ที่จะเผยความตื่นตระหนกออกมาบนใบหน้า

ลูกกลมแสงนี้มิได้เปล่งออกมาจากสิ่งมีชีวิตหรือสมบัติใดๆ สิ่งที่ฉายส่องออกมาจากรอยแยกในหน้าผานั้นกลับเป็นแสงอาทิตย์จริงๆ!

ฉินมู่เอนเข้าไปใกล้รอยแยกและพยายามที่จะส่องเข้าไปข้างใน เขาเห็นที่ราบลุ่มสีเขียวท้องฟ้ากระจ่าง และดวงตะวันอันแรงกล้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ

ผานกงสั่วก็มองไปยังอีกรอยแยกหนึ่งและแตกตื่นอย่างพูดไม่ออก

เมื่อกิเลนมังกรเห็นเช่นนั้น เขาก็ไปมองดูเช่นกัน จากนั้นก็ถามด้วยความงงงวย “มีโลกมิติอื่นซ่อนอยู่ในหน้าผาขาดนี่หรือ”

“ไม่ใช่ว่ามีโลกซ่อนอยู่หรอก แต่รอยแยกในหน้าผาขาดนั่นต่างหากที่เชื่อมต่อไปยังอีกโลกหนึ่ง” ฉินมู่พยายามส่องในมุมต่างๆ กัน แต่ก็ไม่อาจเห็นอะไรเพิ่มเติม “ข้ารู้ว่าสถานที่นี้ต้องพิสดารพันลึก ในเมื่อมีโลกมิติห้าแห่งซ้อนทับกัน…ชู่ว!”

ทันใดนั้น ลำแสงอันหนาใหญ่สองลำก็ยิงตรงลงมาจากยอดผา ส่งเสียงหึ่งฮัมเมื่อเฉียดผ่านพวกเขาไป ลำแสงทั้งสองนั้นไม่สังเกตเห็นพวกเขาที่เกาะอยู่บนผนังผา

ดวงตาของซิงอ้าน!

ฉินมู่ระบายลมหายใจออกมาเมื่อสองลำแสงพลันแยกออกจากกันราวๆ ร้อยลี้ิ ลำแสงนั้นส่องไปบนหน้าผาและค่อยๆ ค้นหาไปที่ละส่วน!

ฉินมู่ตกตะลึง “ซิงอ้านควักดวงตาของเขาออกมา และตอนนี้พวกมันกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าเพื่อค้นหาตำแหน่งของพวกเรา!”

ขนหัวเขาลุกจนหนังหัวชา และเขาก็สั่นเทิ้มเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

“จ้าวลัทธิฉิน ตรงนั้นมีรอยแยกใหญ่!” ผานกงสั่วกล่าว

ฉินมู่รีบเคลื่อนหีบไปยังจุดที่เขาชี้ และพวกเขาก็มุดเข้าไปในรอยแยกใหญ่นั้น

…………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน