ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 477 ทุกเขตขั้นรวมเป็นหนึ่ง

ตอนที่ 477 ทุกเขตขั้นรวมเป็นหนึ่ง

“ซิงอ้าน!” ผานกงสั่วตัวสั่นเทิ้มและเค้นรอยยิ้มออกมา “พี่ที่นับถือซิงอ้าน ไม่ได้พบกันนานเลยนะ พวกเราล้วนแต่เป็นสหายเก่า และครั้งสุดท้ายที่ท่านถามถึงตำแหน่งที่อยู่ของฉินมู่ ข้าก็ถึงกับวาดภาพให้ท่าน มันดีมากเลยใช่ไหมล่ะ ด้วยมิตรภาพของพวกเรา ข้าเชื่อว่าท่านคงไม่มีเจตนาร้ายต่อข้าใช่ไหม”

ซิงอ้านนั่งลงบนหีบของเขาและยิ้มหยัน “ฉินมู่! ฉินมู่อีกแล้ว!”

เขากัดฟันกรอด และจิตสังหารก็พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งซากโบราณ ทำให้สัตว์พิสดารทั้งหลายหวาดผวาจนซุกหัวหมอบกับพื้น

ผานกงสั่วหัวใจไหวสะท้านอย่างรุนแรง “พี่ซิงอ้านเองก็โดนเขาเล่นงานมาเหมือนกันหรือ”

“โดนเล่นงาน?” ซิงอ้านหัวเราะ “ข้าจะโดนเขาเล่นงานได้อย่างไร เขามีผู้อาวุโสที่บ้านมากเกินไป ข้าคำนวณผิดพลาด และลงเอยด้วยการถูกล้อมกลุ้มรุม ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะล่าถอยและหลบเลี่ยงการเข้าชนกับน้ำเชี่ยว”

ผานกงสั่วเหลือกตา เห็นได้ชัดว่าซิงอ้านก็เพลี่ยงพล้ำเสียที เขาถูกผู้อาวุโสทั้งหลายของฉินมู่ไล่มา และไม่มีทางอื่นนอกจากหลบหนีเข้ามาซ่อนตัวในสถานที่ใกล้ๆ กับแผ่นดินตะวันตก ไม่กล้าเผยตัวตนในยุทธจักร

เขาไม่รู้ว่าซิงอ้านมิได้อ่อนแออย่างที่เขาจินตนาการ อีกฝ่ายนั้นมีฝีมือแข็งแกร่งไร้ต่อต้าน และได้ทำให้เฒ่าบอด เฒ่าหนวก เฒ่าเป๋ ยายเฒ่าซี จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และยอดฝีมือคนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้คนมากกว่าสิบที่เป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิบาดเจ็บอย่างรุนแรงจากเพียงกระบวนท่าเดียวของเขา หากว่ามิใช่เพราะฉินมู่วางยาพิษ พวกเขาทั้งหมดก็คงถูกสังหารไปสิ้น!

แม้แต่เมื่อเขาต้องพิษและได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ยังสามารถหลบหนีมาจากคนแล่เนื้อ เตลิดมาตลอดทางจากสันตินิรันดร์จนถึงที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ ความทนทายาดของเขานั้นเหนือล้ำเสียยิ่งกว่าเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้า!

“ส่วนชิ้นส่วนร่างผู้สูงศักดิ์ ข้าไม่มีความสนใจ” ซิงอ้านมองเขาแวบหนึ่งแล้วส่ายหัว “ไว้เจ้าฝึกปรือกายเนื้อหรือจิตวิญญาณดั้งเดิมจนถึงเขตขั้นเทวะ ข้าอาจจะสนใจเจ้าบ้างนิดหน่อย ถึงอย่างไรเจ้าและข้าก็เป็นสหายกัน และเจ้ายังเคยมอบแขนให้ข้าสองข้างเป็นของกำนัลมาก่อน ข้าไม่แตะต้องเจ้าหรอก เกิดอะไรขึ้นกับขาของเจ้า แผลกระบี่นี้…”

เขาพลันคว้าจับขาของผานกงสั่ว และบิดมันเบาๆ ขากวางที่เพิ่งเชื่อมต่อเข้าไปก็ถูกปลิดออกมา

ผานกงสั่วกัดฟันกลั้นความเจ็บ ไม่กล้าปริปากประท้วง

ซิงอ้านมองดูอย่างระมัดระวัง “แผลกระบี่นี้เกิดจากเพลงกระบี่ของฉินมู่นั่น! เจ้าจะต้องได้พบกับยอดหมอเทวดาฉินมู่ และถูกเขาตัดขามาสินะ”

เม็ดเหงื่อหยาดหยดลงจากหน้าผากของผานกงสั่ว และเขาก็เค้นรอยยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าถูกฉินมู่และราชครูสันตินิรันดร์ไล่ล่ามา ตอนที่ข้าไม่ทันระวัง ไอ้เด็กแซ่ฉินก็มาเฉือนตัดขาข้าไปครึ่งหนึ่ง พี่ที่นับถือซิงอ้าน หากว่าท่านต้องการจะแก้แค้นไอ้เด็กแซ่ฉิน ข้ามีโอกาสดีๆ เสนอให้ท่าน”

“แก้แค้นกับเจ้านั่น ข้าต้องใช้เจ้าด้วยหรือ” ซิงอ้านส่ายหัว “หากว่าข้าต้องการฆ่าเขา ก็ไม่มีใครในโลกที่ปกป้องเขาได้! เขาอยู่ที่ไหน ข้าได้ยินว่าราชครูสันตินิรันดร์ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ดังนั้นข้าก็จะสามารถเอาของสักสองสามอย่างจากร่างกายเขาได้ด้วยเช่นกัน”

ผานกงสั่วแย้มยิ้ม “ข้าไม่รู้ว่าไอ้เด็กแซ่ฉินอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ แต่ข้ารู้ว่าเขากำลังไปที่ไหน เขาวางแผนว่าจะไปภูเขาหยินเพื่อตามหาจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้า ราชครูสันตินิรันดร์ก็ตามเขาไปติดๆ ดังนั้นก็คงจะมาด้วยเช่นกัน”

ซิงอ้านสนใจขึ้นมาทันที “จิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์เจ้า? ครั้งหนึ่งเจ้าเคยสักการะดวงวิญญาณข้าและเกือบปลิดชีวิตข้าไปได้ รูปเงาของเทพเจ้านั่นคือจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์เจ้าอย่างนั้นหรือ”

ผานกงสั่วหัวใจบีบรัด และเขารีบกล่าว “ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือก เหมือนกับภาษิตที่ว่า ‘หากไม่ต่อยตี ก็คงไม่รู้จักกัน’ หากว่าข้ามิได้ต่อสู้กับพี่ที่นับถือซิงอ้านสักครั้ง ข้าจะมีโอกาสรู้จักพี่ท่านได้อย่างไร”

ซิงอ้านแย้มยิ้ม “จิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์เจ้า ข้าอยากเก็บสะสมยิ่งนัก”

ผานกงสั่วกำลังคิดที่จะล่อเขาเข้าสู่อันตราย และให้เขาต่อสู้กับราชครูสันตินิรันดร์ เพื่อที่ทั้งคู่จะได้บาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่าย “หากว่าพี่ที่นับถือซิงอ้านชมชอบมัน ก็เชิญเอามันไปได้ เพียงแต่ว่า…พี่ที่นับถือ ขานี้ของข้า ไม่ทราบว่าท่าน…”

ซิงอ้านกระโดดเข้าไปในหีบของเขา “ยอดหมอเทวดาฉินได้แย่งชิงของสะสมข้าไปค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงเหลืออยู่ไม่เยอะ ตอนนี้เจ้าใช้ขากวางไปก่อน เมื่อข้าสังหารหมอเทวดาฉินและราชครูแล้ว จะให้ขาเทวะเจ้าสักข้างก็คงไม่มีปัญหา”

ผานกงสั่วได้แต่หยิบขากวางขึ้นมาและต่อมันเข้าไปใหม่ คราวนี้เขากระทำอย่างพิถีพิถันเพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการบาดเจ็บแฝงเร้น ซิงอ้านนั้นขี้เหนียวใจแคบ และอาจจะไม่ยอมยกขาเทวะให้ข้าเมื่อเวลามาถึง แต่ทว่า หากเขาและราชครูต่อสู้กัน ของสะสมของเขาก็จะเป็นของข้า!

กิเลนมังกรแบกฉินมู่กลับมายังแดนโบราณวินาศด้วยความเร็วปานสายฟ้า หลังจากสองวัน พวกเขาก็เห็นสัตว์พิสดารในบริเวณรอบๆ ค่อยๆ บางตาลง ในทางกลับกันมีหมู่บ้านและหลวงจีนที่เดินทางไปมาปรากฏมากขึ้น

เมื่อพวกเขาเห็นฉินมู่ขี่กิเลนมังกรวิ่งเข้ามา พวกเขาก็ล้วนหยุดชะงักและมองไปด้วยสายตาแปลกประหลาด

“จ้าวลัทธิ ทำไมพวกเขามองมาที่พวกเราแบบนี้ล่ะ” กิเลนมังกรฉงนใจ

วงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของฉินมู่เมื่อเขามองลงไปยังหลวงจีนเหล่านั้น พวกนี้จะยังเป็นหลวงจีนอีกหรือ ในสายตาฉินมู่ พวกเขาเป็นปีศาจใหญ่ท่าทางน่ากลัวชัดๆ!

เขามองไปยังหมู่บ้านที่ข้างเส้นทาง หมู่บ้านเหล่านั้นมีประชากรหนาตา และก็ยังคงเป็นปีศาจใหญ่ทุกชนิดทุกรูปแบบ

ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ได้ยินเสียงระฆังดังมาจากไกลๆ มันมีเสียงไพเราะเสนาะหู

ฉินมู่หัวใจเคลื่อนไหวทันที “พวกเราอยู่ใกล้วัดน้อยฟ้าคำราม”

เขากระโดดลงจากหลังกิเลนมังกร และเริ่มเดินด้วยเท้าของตนเอง พวกหลวงจีนที่จ้องเขาอย่างไม่วางตาเมื่อครู่ จึงถอนสายตาออกไป

กิเลนมังกรสงสัยหนักกว่าเดิม “จ้าวลัทธิ ทำไมพวกเขาไม่มองพวกเราแล้วล่ะ”

“ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน” ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงเบา

กิเลนมังกรก็ยังฉงน “ข้าแบกจ้าวลัทธิเป็นการทำงานแลกอาหาร หากว่าทุกชีวิตเท่าเทียมกัน แล้วใครจะมาหลอมปรุงยาวิญญาณให้ข้ากินล่ะ”

ฉินมู่หัวเราะพรืด ผ่านไปสักพัก พวกเขาก็มาถึงใกล้ๆ วัดน้อยฟ้าคำราม และฉินมู่ก็อุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ

วัดน้อยฟ้าคำรามนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยยูไลน้อยผู้ซึ่งเป็นหลวงจีนปีศาจจากวัดใหญ่ฟ้าคำราม เป็นศิษย์ยูไลในสมัยนั้น ขั้นวรยุทธของเขานั้นสูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง และกำลังฝีมือก็เลิศล้ำไม่ธรรมดา แต่เขาก็มิได้ขึ้นเป็นยูไลแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม เขาขุ่นเคืองใจและได้บุกตะลุยออกมาเพื่อก่อตั้งวัดน้อยฟ้าคำรามของเขาในแดนโบราณวินาศ

ความหรูหราของวัดน้อยฟ้าคำรามนั้นไม่ด้อยไปกว่าวัดใหญ่ฟ้าคำรามเลย และอันที่จริงแล้ว อาจจะเหนือล้ำกว่าเสียด้วยซ้ำ มันมียอดเขาแปลกประหลาดและเทือกเขาสูงส่งเสียดฟ้ากับหน้าผาตั้งชันราวมีดถาก บนยอดเขาทั้งหลาย มีรูปสลักหินมากมายตั้งอยู่และแปะไว้ด้วยทองคำเปลว วิหารและอุโบสถมากมายทุกขนาดเต็มไปด้วยธูปเทียนเซ่นไหว้ และก็มีศาสนิกชนชาวพุทธที่เดินทางมากราบไหว้พุทธรูปจากทั่วทุกแหล่ง

ควันของธูปเทียนลอยกรุ่นอยู่ในท่ามกลางภูเขา เต็มท้องฟ้าด้วยก้อนเมฆควันธูป

ฉินมู่มาที่นี่เป็นครั้งแรก และเขารู้ตัวดีว่าครั้งหนึ่งเขาเคยผลักพุทธรูปของยูไลน้อยตกน้ำ ดังนั้นเขาจึงกะที่จะเดินอ้อมที่นี่ไป แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยร้องออกมาด้วยความแตกตื่น “ไฉนจ้าวลัทธิฉินถึงอยู่ที่นี่เล่า”

ฉินมู่มองไปยังผู้พูดและตกตะลึงอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาแย้มยิ้ม “พี่ซวีก็อยู่ที่นี่เช่นกันหรือ บังเอิญอะไรอย่างนี้!”

ซวีเซิงฮวาและจิงเอี้ยนต่างก็แบกสัมภาระหลังและเดินตามหลวงจีนร่างอ้วนใหญ่มา ฉินมู่ตื่นตระหนก ร่างกายของหลวงจีนอ้วนนั้นสูงใหญ่อย่างผิดธรรมดา เขามิใช่ใครอื่นนอกเสียจากยูไลน้อยแห่งวัดน้อยฟ้าคำราม!

เขาเคยพบเห็นยูไลน้อยครั้งหนึ่งในหมู่บ้านแห่งแดนโบราณวินาศ ตอนที่ยูไลน้อยได้เชื้อเชิญนักพรตหลิ่งจิงไปต่อสู้ พวกเขาประมือกันอย่างดุเดือดในยามราตรี และฉินมู่ก็อยู่ข้างๆ พวกเขาในตอนนั้น!

ยูไลน้อยมีใบหน้าอ้วนกลมและหูใหญ่ยาน รูปลักษณ์ของเขาเหนือธรรมดา และเขานั้นสุภาพเป็นอย่างยิ่งต่อซวีเซิงฮวา เขานั้นได้เชื้อเชิญคนทั้งสองให้มาเป็นอาคันตุกะ และเมื่อเขามองไปยังฉินมู่ ฉินมู่ก็รู้สึกแต่แสงอันขาวโพลนราวหิมะ ซึ่งก็คือสายตาของยูไลน้อย

“ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน” เสียงของยูไลเฒ่ากึกก้องราวฟ้าลั่น “ท่านเป็นอาคันตุกะจากแดนไกล ดังนั้นแม้ว่าจ้าวลัทธิฉินกับข้าจะมีความบาดหมางระหว่างกัน แต่ข้าก็ยังจะต้องเอื้ออารีกับท่าน จ้าวลัทธิ เชิญขึ้นมาสนทนากันบนภูเขา”

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ศิษย์พี่สุภาพเกินไปแล้ว ข้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องกระทำ ดังนั้นข้าจะต้องเดินทางไปยังภูเขาหยิน…”

จิงเอี้ยนแย้มยิ้ม “คุณชายฉินก็จะไปที่ภูเขาหยินเช่นกันหรือ พวกเราเพิ่งกลับมาจากที่นั่น คุณชายของข้าและไต้ซือท่านนี้ได้พบกันในภูเขาหยิน ทั้งยังได้เก็บเกี่ยวมรรคผลอันยิ่งใหญ่อีกด้วย”

ฉินมู่ตกตะลึงและมองไปทางซวีเซิงฮวา เด็กหนุ่มพยักหน้าและกล่าว “เอี้ยนจื่อและข้าท่องเที่ยวไปทั่วจนกระทั่งพวกเรามาถึงภูเขาหยิน พวกเราเห็นไต้ซือท่านนี้กำลังกำราบจิตวิญญาณดั้งเดิมของมารเทวะตนหนึ่ง เขานั้นตกอยู่ในสภาวะติดพันคับขัน และข้าจึงก้าวเข้าไปช่วยเหลือและกำราบมันได้โดยบังเอิญ ไฉนจ้าวลัทธิฉินถึงจะไปยังภูเขาหยินล่ะ”

ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง และเขาก็ร้องออกมา “พวกเจ้ากำราบจิตวิญญาณดั้งเดิมของมารเทวะในภูเขาหยินอย่างนั้นหรือ จิตวิญญาณดั้งเดิมนี้เรียกตัวมันเองว่าเทพหมอผีขุยหรือไม่”

ยูไลน้อยตะลึงไป “แผนสวรรค์ยุทธศาสตร์เทพยดาของจ้าวลัทธิฉินเลิศล้ำถึงขนาดนี้แล้วหรือ หลวงจีนเฒ่าผู้นี้ได้พบกับมารร้ายอันถูกกักขังไว้ในภูเขาหยิน เมื่อข้าเห็นดวงวิญญาณไม่ได้ผุดเกิดจำนวนไร้ประมาณที่พัวพันรอบๆ ตัวเขา ข้าก็รู้ว่านี่คือภารกิจของข้า และจิตตรัสรู้ของข้าก็เคลื่อนขึ้นมาทันที ดังนั้นข้าจึงได้ลงมือ แต่หารู้ไม่ว่า แม้มารร้ายตนนี้จะถูกใครบางคนปิดผนึกเอาไว้อยู่ แต่เขาก็ยังคงมีกำลังฝีมืออันเหนือธรรมดา แทบจะดูดกลืนข้าเข้าไปตั้งหลายหน โชคยังดีที่คุณชายซวีผ่านทางมาและใช้เวทมนตร์แห่งเหนือฟ้ามาช่วยเหลือข้า”

ฉินมู่พลันหัวร่อฮาๆ ด้วยเสียงอันดัง “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ไม่ต้องไปภูเขาหยินล่ะ พูดกันตามตรงแล้ว ข้าก็วางแผนจะไปปราบจิตวิญญาณดั้งเดิมของมารเทวะตนนั้น ในเมื่อยูไลเชื้อเชิญข้า ข้าก็จะไปเป็นอาคันตุกะ ขออภัยที่รบกวนท่าน!”

ยูไลน้อยมองไปที่เขาและถาม “ทุกๆ คนเรียกข้าว่ายูไลน้อย ไฉนจ้าวลัทธิฉินไม่เติมคำว่าน้อยเข้าไปล่ะ”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “ยูไลคือเขตขั้น เมื่อท่านบรรลุไปถึง ก็ไม่แบ่งแยกใหญ่หรือน้อย”

ไต้ซือผู้นี้พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง “จ้าวลัทธิมีจิตพุทธะ หากว่าท่านเปลี่ยนมานับถือพุทธ ท่านก็จะสำเร็จเป็นยูไลในอนาคตอย่างแน่นอน เชิญ”

ฉินมู่ตามพวกเขาขึ้นไปบนภูเขา มองไปที่ซวีเซิงฮวาและจิงเอี้ยน เขาแย้มยิ้มและกล่าว “สามีภรรยาคู่นี้นับว่ารู้จักใช้ชีวิต เดินทางท่องโลกชมวิวทัศน์ตระการตา ไม่เหมือนกับข้า ใช้ชีวิตทำงานหนักราวกับวัวควาย วิ่งไปซ้าย วิ่งไปขวา ไม่ทราบว่าทั้งสองได้ฝึกปรือนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมหรือยัง”

จิงเอี้ยนสีหน้าแดงเรื่อ และนางผงกหัวเล็กน้อย

ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง

“นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม จ้าวลัทธิเป็นผู้คิดค้นใช่ไหม มันช่วยให้ข้ารุดหน้าไปอย่างน่าตื่นตระหนกจริงๆ จากนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม ข้าได้ค้นพบวิชาฝึกปรือขั้นหกทิศอันครบสมบูรณ์ และรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง บัดนี้ข้าได้กรุยทางระหว่างขั้นหกทิศและขั้นเจ็ดดาว มหาสมบัติเทวะทั้งสองนี้ แปรเปลี่ยนพวกมันให้เป็นสมบัติเทวะเดียวกัน” ซวีเซิงฮวากล่าวอย่างไม่รีบร้อน

ฉินมู่หัวใจสะท้านอย่างรุนแรง และเขามองไปที่ซวีเซิงฮวา ผ่านไปสักพัก เขาก็ระบายลมหายใจขาดห้วง และกล่าวชม “สมแล้วกับที่เป็นกายาจ้าวแดนดินปลอม เจ้านั้นด้อยกว่าข้าแค่นิดเดียวเท่านั้น”

ซวีเซิงฮวาแย้มยิ้ม “ความเปลี่ยนแปลงในเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดินจากการหลอมรวมสมบัติเทวะเจ็ดดาวและหกทิศเข้าด้วยกันคงไม่ด้อยไปกว่านำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมนั่นหรอกใช่ไหม จ้าวลัทธิ กายาจ้าวแดนดินของเจ้าอาจจะเป็นแค่ตัวสำรอง”

ฉินมู่ยิ้มที่มุมปาก และกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “แม้ว่าข้าจะไม่ได้หลอมรวมสองมหาสมบัติเทวะเข้าด้วยกัน แต่ข้าก็ได้รังสรรค์ท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดขึ้นมาในระหว่างช่วงเวลานี้”

ซวีเซิงฮวาม่านตาหรี่แคบทันใด

ยูไลน้อยมองไปที่บุรุษทั้งสอง และจิตของเขาก็สะท้านสะเทือน “ไม่นานมานี้ หลวงจีนเฒ่าได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดินสองครั้ง หรือว่าจะเป็นเพราะประสกทั้งสอง”

ในภูเขาหยิน แสงกระบี่พุ่งวาบ และผานกงสั่วก็ร่วงลงกับพื้น เขากุมขาซ้ายของเขาและกลิ้งไปรอบๆ ด้วยความเจ็บปวดขณะที่เหงื่อก็ร่วงพราวจากคิ้วของเขาราวห่าฝน

“นี่คือราคาที่เจ้าโกหกข้า” ซิงอ้านกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “จิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ไปหาขากวางอีกข้างมาต่อ แล้วจงเดินคุดคู้แบบนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป!”

ผานกงสั่วส่งเสียงลอดไรฟันพลางสะกดกลั้นความเจ็บ “จิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้าถูกคนอื่นแย่งชิงไป! แต่ทว่า มันคงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ตราบเท่าที่ข้าร่ายเวทมนตร์หมอผี ข้าก็จะสามารถสัมผัสถึงทิศทางของมันได้!”

……………………………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน