ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 478 เทพหมอผีขุยสักการะดวงวิญญาณ

ตอนที่ 478 เทพหมอผีขุยสักการะดวงวิญญาณ

ฉินมู่มองไปรอบๆ ในวัดน้อยฟ้าคำรามและพบว่าการประดับประดาส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับวัดใหญ่ฟ้าคำราม เพราะถึงอย่างไรวัดน้อยฟ้าคำรามก็เพิ่งก่อตั้งมาได้ไม่กี่ร้อยปี โดยปราศจากรากฐาน พวกเขาก็ได้แต่ต้องลอกเลียนแบบ

แต่ถึงอย่างไร ก็มีหลวงจีนปีศาจอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก และพวกเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าหลวงจีนแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม วัดน้อยฟ้าคำรามนี้อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวในแดนโบราณวินาศ เมื่อปราศจากคู่แข่งและมีจำนวนสัตว์พิสดารมากมายอย่างยิ่ง วัดน้อยนี้ก็รุ่งเรืองยิ่งนัก

หลวงจีนปีศาจมากมายเดินไปมาขวักไขว่ พวกเขานุ่งห่มอย่างเรียบร้อยและสุภาพ ฉินมู่เห็นแม้กระทั่งมังกรไร้เขาที่ขดตัวอยู่ในวิหาร ถ่ายทอดปิฎกและคำเทศนาแก่สัตว์ปีศาจที่ยังไม่สามารถแปลงร่างได้ ในวิหารอื่นๆ ก็มีหลวงจีนชั้นสูงเผ่าปีศาจที่เทศนาแสดงธรรมแก่หลวงจีนปีศาจมากมาย สอนทักษะเทวะให้แก่พวกเขา และแม้กระทั่งถ่ายทอดวิชาหลอมสร้างสมบัติวิเศษด้วย

“สถานที่นี้ดูเหมือนเป็นแหล่งอารยธรรมของเผ่าปีศาจ”

ฉินมู่ชื่นชมที่นี่ หากไม่นับพฤติกรรมส่วนตัวของยูไลน้อยแล้วล่ะก็ วัดน้อยฟ้าคำรามอันพัฒนามาได้ถึงระดับนี้นับว่าควรแก่การนับถือ

ยูไลน้อยและยูไลเฒ่าเป็นศิษย์น้องศิษย์พี่กัน อายุของพวกเขาเกือบจะเท่าๆ กัน แต่อายุขัยของยูไลเฒ่ามาถึงจุดจบ และเขาได้สละชีวิตไปในการต่อสู้บนเทือกเขาเทพทำลาย แต่ทว่ายูไลน้อยนั้นเป็นจอมปีศาจที่สำเร็จเต๋า ดังนั้นอายุขัยของเขาจึงยาวนานเป็นอย่างยิ่ง

มีเขาอยู่ วัดน้อยฟ้าคำรามก็จะยิ่งเจริญรุ่งเรืองเข้าไปอีก

ทันใดนั้น จอมปีศาจสองตนก็พุ่งทะยานมาราวกับเหินบินระหว่างที่ต่อสู้กันไปมา บางครั้งพวกเขาก็เหาะขึ้นไปบนเมฆ และบางครั้งก็มุดเข้าไปในหุบเขา การโจมตีของพวกเขารวดเร็วอย่างยิ่งยวด กระบวนท่าก็เกรี้ยวกราดดุดัน ทั้งคู่แข็งแกร่งอย่างสุดขั้ว

“กำลังฝีมือของศิษย์พี่ทั้งสองนี้ไม่เบาเลย” ซวีเซิงฮวากล่าวด้วยความตื่นตกใจเมื่อเขาเงยศีรษะขึ้นมองดู

“เจ้าตัวใหญ่!” ฉินมู่ตะโกนออกไปด้วยความยินดี

หนึ่งในจอมปีศาจนั้นคือหลวงจีนปีศาจร่างกำยำล่ำสันที่มีเส้นขนสีดำบนใบหน้าและฝ่ามือ เขาควงไม้เท้าพระในการต่อสู้ เมื่อเขาได้ยินฉินมู่ เขาก็รีบซัดคู่ต่อสู้กระเด็นไป จากนั้นก็ร่วงลงมาเหยียบพื้นด้วยเสียงตึง เขากล่าวด้วยความตกใจ “เจ้าตัวจ้อย! หัวล้าน ที่ไหน”

คำพูดนั้นถามยูไลน้อยซึ่งโกรธจนโลดเต้นและตบหัวเขาฉาดหนึ่ง “ใครมันเรียกอาจารย์ของตนเองว่าลาหัวล้านกันหา ข้าไม่ใช่ลาที่บรรลุเต๋า”

ลิงยักษ์อสูรจ้านคงรีบคลำหัวป้อยๆ แล้วพึมพำ “น้อย ที่ไหน”

ยูไลน้อยไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “ข้าพบเขาที่ตีนเขา ดังนั้นจึงเชิญเขาขึ้นมาด้วย”

ลิงยักษ์อสูรยิ้มกริ่มและหมายที่จะเข้าไปกอดฉินมู่ แต่เขาพบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ตัวเตี้ยจนเกินไป ฉินมู่ได้โตขึ้นมาสักหน่อยแล้ว และมีความสูงพอๆ กับคนแล่เนื้อ เพียงแต่เตี้ยกว่านักปรุงยาอยู่หน่อย แต่ร่างกายของลิงยักษ์อสูรนั้นสูงตระหง่านจนเกินไป ในอดีต เมื่อเขายังไม่โตเต็มที่ เขาก็สูงเท่ายอดไม้ไปแล้ว

บัดนี้เมื่อเขาเติบโต หากว่าเขาเผยร่างที่แท้จริงออกมา ก็คงไม่เล็กไปกว่ากิเลนมังกรสักเท่าไร

ขนาดว่าเขาแปลงร่างเป็นมนุษย์ ความสูงของเขาก็ยังเกือบยี่สิบคืบ

ปีศาจใหญ่ที่เขาต่อสู้ด้วยกระโจนเข้ามา หมายที่จะประลองฝีมือต่อ เขาร่ำร้อง “ศิษย์พี่จ้านคง มาสู้กันเถอะ!”

ลิงยักษ์อสูรเดือดดาล และยื่นมือออกไปคว้าคอของหลวงจีนปีศาจตนนั้น ชายผู้นั้นหายหัวร้อนในทันที และแขนขาของเขาก็ห้อยตกลงมาอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หางอันโผล่มาจากก้นก็ลู่ตกและกวัดแกว่งไปมาราวกับจะประจบ

ลิงยักษ์อสูรวางเขาลงตรงหน้าฉินมู่ พลางกล่าวด้วยเสียงอันดัง “เนื้อ แขก!”

ฉินมู่มองตรงไปยังหลวงจีนปีศาจหัวล้านผู้ซึ่งยืนตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น เขารีบส่ายหัวทันที “ในเมื่อเขาเป็นศิษย์น้องของเจ้า ข้าย่อมไม่อาจกินเขาได้ ต่อให้เจ้ายกให้ข้าก็ตาม”

ลิงยักษ์อสูรเกาหัวแกรกๆ และมองไปที่ยูไลน้อยซึ่งอยู่ข้างๆ เขา ไขมันบนใบหน้าของยูไลน้อยบิดเบี้ยวไปมาระหว่างที่กัดฟันข่มโทสะ “ศิษย์ข้า นี่เจ้ากะจะใช้อาจารย์ของเจ้ามาเป็นอาหารเย็นให้เพื่อนแสนดีของเจ้าแล้วหรือ”

ลิงยักษ์อสูรรีบส่ายหัวไปมา

ฉินมู่แย้มยิ้มแล้วกล่าว “พวกเราไม่ได้เจอกันนาน แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดจะเลี้ยงเนื้อแก่ข้าหรอก เมื่อเข้าถิ่นไหน ข้าก็จะทำตามธรรมเนียมถิ่นนั้น ข้าจะกินเจก็แล้วกัน เพราะข้าคงกินผู้ที่แข็งแกร่งขนาดยูไลไม่ได้หรอก”

ลิงยักษ์อสูรลิงโลดดีใจ “กินเจ แข็งแกร่ง!”

“ทำไมศิษย์พี่จ้านคงถึงรวบรัดคำเวลาพูด” จิงเอี้ยนถามอย่างสงสัย

“จ้านคงมีสันดานพุทธอันยิ่งใหญ่ และถนอมคำพูดของตนราวกับทองพันชั่ง แต่ละคำล้วนมีความหมายลึกล้ำ เมื่อข้าเห็นคุณสมบัตินี้ในตัวเขา ข้าก็รับเขามาเป็นศิษย์” ยูไลน้อยกล่าว

จิงเอี้ยนฉงนใจ นางเห็นได้ว่าเขาถนอมคำพูดดั่งทองพันชั่ง แต่นางก็มองไม่เห็นสันดานพุทธในตัวเขา

สันดานพุทธแบบไหนกันที่ทำให้คนผู้นี้คิดจะจับเอาศิษย์น้องของตนเองไปแล่เนื้อมาทำอาหารให้แขกเหรื่อ

ลิงยักษ์อสูรตามพวกเขาขึ้นไปบนภูเขา เมื่อคณะทั้งหลายเดินมาถึงยอดเขา ฉินมู่ก็มองลงไปและพบว่าสถานที่นี้คล้ายคลึงกับยอดเขาทองคำแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม แต่ทว่า ที่นี่มีรูปสลักหินเยอะกว่ามากนัก อันคงจะถูกใช้เพื่อป้องกันพื้นที่นี้จากความมืด

มีเจดีย์พุทธหลายเจดีย์และหลวงจีนที่ฝึกปรืออยู่บนนั้นก็มากมายบนยอดเขา พวกเขาส่วนใหญ่มีศีรษะของสัตว์ป่า และสวมใส่ผ้ากาสาวพัตรสีเหลือง สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึมและเคารพนบนอบ

หลวงจีนเหล่านี้น่าจะเป็นจอมปีศาจที่ได้บรรลุเต๋าในแดนโบราณวินาศ ในเมื่อพวกเขาฝึกปรือมาจนถึงระดับนี้ ศักดิ์ฐานะของพวกเขาจะต้องไม่ธรรมดา

หางตาของฉินมู่กระตุก วรยุทธของจอมปีศาจพวกนี้ล้วนแต่แข็งแกร่งอย่างสุดขั้ว และปราณปีศาจรอบกายพวกเขาก็หนาแน่นอย่างสุดๆ เขาค่อนข้างตื่นตระหนกเมื่อพบว่าหลวงจีนปีศาจบางตนนั้นถึงกับเป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิ!

ทั้งยังมีแสงโลหิตฉายส่องออกมาจากปราณปีศาจ อันหมายความว่าผู้คนเหล่านี้ได้เข่นฆ่ามามากมายในอดีต!

“ข้าทนไม่ไหวแล้ว! ห้ามกินเนื้อแถมยังต้องมาสวดภาวนาถึงพุทธเจ้าทุกวัน นี่มันมีประโยชน์มารดามันอะไร เมื่อไหร่มันจะจบสิ้น”

ทันใดนั้น หลวงจีนหัวนกก็กระโดดขึ้นมาและฉีกจีวรเหลืองของเขาออก เมื่อเขากวัดแกว่งหัว ขนนกสีทองก็งอกเงยออกจากคอเขาอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของเขาขยายออกไป และหัวนกอีกหลายหัวก็ผุดขึ้นมาจากในขนนก รวมแล้วได้เก้าหัวพอดี เมื่อเขาสยายปีกออกไป มันก็กินพื้นที่เกือบไร่!

“ในแดนโบราณวินาศ ข้าทำอะไรได้ตามใจและกินทั้งคนและสัตว์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ตัวข้าพัวพันไปด้วยบาปกรรมมาตั้งนานแล้ว เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไรที่ข้าจะต้องมางดกินเนื้อและสวดภาวนาถึงพุทธองค์แบบนี้” นกเก้าหัวอันดูเหมือนนกยูงกระพือปีกของเขาเพื่อเหินทะยานขึ้นไป “บาปของข้าอย่างไรก็ล้างไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปกินให้เปรมปรีดิ์ดีกว่า”

หลวงจีนตนอื่นๆ รีบเหาะขึ้นตามไปบนท้องฟ้า และฉินมู่เห็นว่าบางคนก็เป็นมนุษย์ พวกเขาร่วมมือกันสยบกำราบนกยูงเก้าหัวเอาไว้พลางกล่าว “ศิษย์พี่หมิง ท่านถูกมารจิตเข้าควบคุมอีกแล้ว ได้สติเร็วเข้า!”

“อย่าปล่อยให้การฝึกบำเพ็ญกว่าพันปีของท่านไร้ประโยชน์ด้วยก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว!”

หลวงจีนทั้งหลายร่วมมือกันจนกระทั่งพวกเขาสยบนกยูงเก้าหัวนั่นได้ในที่สุด แต่ทว่ามันยังคงจองหองและดื้อรั้น ร่ำร้องแต่ว่าจะเข่นฆ่าผู้คน

ยูไลน้อยเดินไปข้างหน้าและพลันเลิกจีวรของตนขึ้น เขานำมีดเล่มหนึ่งออกมาและเฉือนเนื้อก้อนหนึ่งออกจากพุงของเขา แล้วโยนไปให้นกยูงเก้าหัวนั้น “เจ้าอยากจะกินเนื้อหรือ กินสิ!”

นกยูงเก้าหัวแผ่รัศมีอันเกรี้ยวกราดออกมา และอ้าปากงับเนื้อของยูไลน้อย กลืนมันเข้าไป หัวอีกแปดจึงเริ่มร้องระเบ็ง “ยูไล เจ้าจะต้องตอบสนองความปรารถนาของพวกเราทุกๆ หัว เนื้อแค่ก้อนเดียวจะไปพออะไร อีกแปดปากท้องยังไม่ได้กินและยังคงหิวโหยอยู่!”

ยูไลน้อยจึงเฉือนเนื้อของตนเพิ่มอีกแปดชิ้นและโยนมันไป หัวทั้งแปดแต่ละหัวก็อ้าปากงับชิ้นหนึ่ง และกลืนมันลงคอ

ลิงยักษ์อสูรเผยสีหน้าลิงโลดและกล่าวด้วยเสียงเบา “น้อย เนื้อ แขก!”

ยูไลน้อยถลึงตาจ้องเขา และลิงยักษ์อสูรก็เกาหัวแกรกๆ

แม้ว่านกยูงเก้าหัวจะได้กินเนื้อไปเก้าชิ้น แต่มันก็ไม่อาจย่อยเนื้อเหล่านี้ได้เและเริ่มต้นไอ ผ่านไปสักพัก มันก็อ้าปากไอนกยูงตัวเล็กออกมา จากนั้นก็สำรอกอีกตัวออกมา

นกยูงเก้าหัวไอเก้าครั้งติดๆ กัน และนกยูงเก้าตัวก็มุดออกมาจากท้องของเขา พวกมันเริ่มปีนไต่เตาะแตะไปทั่ว ทันใดนั้น พวกมันก็เข้ามารวมกันและกัน แปลงกายเป็นนกยูงเก้าหัว เมื่อมันนั่งลง ขนที่ปลายก้นของมันก็แผ่ออกมาราวกับพัด

นกยูงเก้าหัวมองไปที่นกยูงตัวเล็กบนพื้น และหัวใจของมันก็สะท้านอย่างข่มไม่อยู่ สันดานมารของมันจางหายไปในทันที และมันก็แปลงกายกลับเป็นหลวงจีนหัวนกอีกครั้ง เมื่อเขานั่งลงในท่าขัดสมาธิดอกบัว แสงพุทธธรรมก็สาดส่องออกมาจากใบหน้าของเขา “วันนี้ข้าถึงเพิ่งได้เรียนรู้ว่าทุกชีวิตก็เหมือนกับข้า ศิษย์พี่ยูไล ขอบคุณมาก”

“ยอดเยี่ยม” ยูไลน้อยปิดจีวรของเขาและกล่าว “ศิษย์พี่หมิง นั่งแต่บนภูเขาไม่เป็นประโยชน์ต่อการฝึกบำเพ็ญ ดังนั้นนำบุตรชายของเจ้าลงจากภูเขาและเข้าไปฝึกปรือในโลกหล้าเถอะ”

นกยูงเก้าหัวยืนขึ้น และนำนกยูงน้อยลงจากภูเขา

ฉินมู่เห็นพ่อลูกคู่นี้เดินจากไป และส่ายหัวไปมาด้วยความงุนงง

ยูไลน้อยได้เฉือนเนื้อของตนเพื่อป้อนนกยูงเก้าหัว แต่ทำไมเขาถึงสำลักไอเอานกยูงน้อยเก้าตัวออกมา ทำไมมันถึงเป็นบุตรชายของเขา

หรือว่านี่คือวิชาเสกสรร

หรือว่าเป็นเวทมนตร์ทักษะเทวะแบบอื่นๆ

ซวีเซิงฮวาและจิงเอี้ยนเองก็งงงัน ซวีเซิงฮวาจากนั้นกล่าวด้วยเสียงเบา “วิชาฝึกปรือของวัดน้อยฟ้าคำรามดูแตกต่างจากวัดใหญ่ฟ้าคำราม ดูท่าว่าพวกเขาคงจะดูดซับเอาวิชาฝึกปรือประหลาดพิสดารจากแดนโบราณวินาศเข้ามา”

ฉินมู่พยักหน้า เวทมนตร์พิสดารเช่นนี้ไม่มีในวัดใหญ่ฟ้าคำราม ยิ่งไปกว่านั้น หลวงจีนแห่งวัดน้อยฟ้าคำรามโดยส่วนใหญ่ก็เป็นสัตว์พิสดารที่เกิดมีสติปัญญาขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาย่อมมีความสามารถอันผิดธรรมดา

สัตว์พิสดารบางตนถึงกับประสบโชควาสนาและได้ฝึกวิชาประหลาดจากแดนโบราณวินาศ หลังจากพวกเขาเข้าร่วมวัดน้อยฟ้าคำรามพร้อมกับวิชาประหลาดของตน พวกเขาก็ทำให้วิชาฝึกปรือของวัดน้อยฟ้าคำรามประหลาดพิสดารไปด้วย และทำให้เกิดการแปรเปลี่ยนแตกแขนงวิชามากไปกว่าในวัดใหญ่ฟ้าคำราม

“เชิญพวกท่านทั้งสามนั่งลงและชมดูพวกข้าแสดงธรรมแก่มารเทวะตนนี้เพื่อที่พวกเราจะได้บรรลุเป็นพุทธะจากความเพียรและปัญญาญาณ”

บนยอดเขาทองคำ ยูไลเฒ่าเชิญพวกเขาทั้งสามนั่งบนอาสนะ หลวงจีนจีวรเหลืองมากมายก็นั่งบนอาสนะของตนเอง ส่วนยูไลเฒ่านำบาตรทองคำออกมา เขาแกว่งมันไปมาเบาๆ และบาตรทองก็ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ที่ใจกลางบาตรนั้นคือแท่นสังเวยอันกักขังจิตวิญญาณดั้งเดิมของมารเทวะตนหนึ่งเอาไว้อยู่ มันกำลังดิ้นรนและตะโกนไปมา เขย่าโซ่แสงพุทธธรรมให้ดังโกร่งกร่าง

มารเทวะบนแท่นสังเวยเป็นสีแดงโลหิตราวกับว่าเขาคือทะเลเลือดอันมีวิญญาณมิได้ผุดเกิดพัวพันไปมารอบๆ ตัวเขา

หลวงจีนจีวรเหลืองทั้งหลายเริ่มสวดภาวนาพระสูตรด้วยเสียงกึกก้อง และเสียงพุทธก็ก้องสะท้อนไปทั่วเมื่อพวกเขาตระเตรียมที่จะเปิดดวงตาเห็นธรรมให้แก่มารเทวะ

“สัตว์เถื่อนกินเลือดอย่างพวกเจ้าก็ยังกล้าคิดจะชำระล้างข้างั้นหรือ” มารเทวะนี้มิใช่ใครอื่น นอกเสียจากเทพหมอผีขุย และเขานั้นไม่สะทกสะท้านจากเสียงพุทธเลยแม้แต่น้อย เขาดิ้นรนไปมาต่อไป พยายามจะที่สลัดหลุดจากโซ่ พลางแย้มยิ้ม “เมื่อข้าหลุดออกไปได้ พวกเจ้าทุกคนจะกลายเป็นอาหารของข้า!”

ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยและลุกขึ้นเพื่อบอกเตือนหลวงจีนทั้งหลายอย่างเร่งรีบ “ยูไล มารเทวะตนนี้มาจากเผ่าภูตผี ดังนั้นดวงวิญญาณของเขาจึงแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เขานั้นเป็นมารเทพอันมากฤทธิ์เดช ดังนั้นพวกท่านไม่มีทางเปิดดวงตาเห็นธรรมให้เขาได้! เขายืมมือพวกท่านในการชำระล้างแมลงวิญญาณในร่างเพื่อที่จะเป็นอิสระจากเวทปิดผนึกอันหลงเหลือไว้จากฝีมือของผู้สูงศักดิ์แห่งวังทอง!”

หลวงจีนทั้งหลายงงงัน และหันไปมองที่ยูไลน้อยอันหยุดสวดคาถา

บนแท่นสังเวย เทพหมอผีขุยหันหน้ากลับมามองฉินมู่อย่างดุร้าย “ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน ศิษย์ไร้ประโยชน์ของข้าพยายามจะสักการะเจ้าอยู่หลายครั้ง แต่เขาทำไม่สำเร็จ เจ้าเข้ามาสอดมือยุ่งอีกแล้วนะ แต่คราวนี้เจ้านั้นประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!”

สีหน้าของยูไลน้อยและหลวงจีนคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เทพหมอผีขุยผู้อยู่ในแท่นสังเวย อ้าปากของเขาออกมาและพ่นแมลงวิญญาณอันหวีดร้องเสียงแหลม เมื่อพวกมันเข้าปะทะกับแสงพุทธ พวกมันก็สลายกลายเป็นเปลวควันสีเขียว

เมื่อพวกมันหายไปจนหมด เทพหมอผีขุยก็ระเบิดรัศมีอันเกรี้ยวกราดออกมาทันที กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกไป และพืชพันธุ์ทั้งหลายบนภูเขาก็พลันเหี่ยวเฉา สิ่งมีชีวิตทั้งหลายสูญเสียชีวิต และหลวงจีนปีศาจมากมายที่มีวรยุทธต่ำก็หงายหลังตึงลงไป ตายอย่างน่าสังเวช!

ยูไลน้อยรีบดึงบาตรทองคำของเขากลับ และครอบทับแท่นสังเวย พยายามจะสยบเทพหมอผีขุยเอาไว้

“ศิษย์น้องโพ่อิง สะกดมารเทวะตนนี้เอาไว้ใต้เจดีย์ผนึกสวรรค์!”

หลวงจีนจีวรเหลืองคนหนึ่งเดินมาข้างหน้าและกำลังจะนำเอาบาตรทองคำไป แต่ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของเทพหมอผีขุยก็ดังออกมา “เจ้าชื่อโพ่อิงหรือ รับการสักการะของข้า!”

หลวงจีนจีวรเหลืองหงายหลังไป ดวงวิญญาณของเขาแหลกสลาย!

ในชั่วเวลานั้น ไม่มีใครที่กล้าเข้าไปใกล้

“ฮี่ๆๆ ข้าสัมผัสได้ถึงบันทึกเป็นตายของข้าอยู่ใกล้ๆ นี้ พวกเจ้าคงจะไปเจอมันเข้าและเก็บซ่อนเอาไว้ใช่ไหม นับว่าสวรรค์เสริมส่งข้าแท้ๆ!”

เทพหมอผีขุยหัวเราะร่า และเจดีย์หลังหนึ่งพลันสั่นสะท้านและแตกทำลาย หนังสือเล่มหนึ่งปลิวออกมาจากในนั้น เหาะตรงไปยังบาตรทองคำ!

……………………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน