ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 483 ใจดำ

ตอนที่ 483 ใจดำ

“เป็นไปได้อย่างไร ข้าสักการะดวงวิญญาณเจ้าจนตกตายไปแล้วชัดๆ เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร” เทพหมอผีขุยมองไปยังซิงอ้านผู้ซึ่งลุกขึ้นนั่งและถามด้วยความสงสัย “หรือว่าชื่อของเจ้าจะไม่ใช่ซิงอ้าน แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะดวงวิญญาณของเจ้าเพิ่งแหลกสลายไปจากการสักการะของข้าเมื่อครู่นี้อยู่ชัดๆ ในเมื่อดวงวิญญาณของเจ้าแหลกสลาย เจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้! เจ้าใช้วิธีอะไรถึงทำให้ดวงวิญญาณอันกระจัดกระจายกลับมารวมกันอีกครั้ง ทักษะเทวะของเจ้านับว่า…”

เขาเดินอ้อมรอบๆ ซิงอ้านด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ข้ารู้สึกได้ถึงการแหลกสลายของดวงวิญญาณเจ้าเมื่อครู่ และมีอีกดวงหนึ่งออกมาจากหีบของเจ้าเพื่อเข้ามาในศพ ฟื้นคืนชีพเจ้าขึ้นมา แต่ข้ามีข้อสงสัย หากว่าดวงวิญญาณเจ้าตายไป ต่อให้ใส่ดวงใหม่เข้าไปในร่าง เจ้าก็จะไม่เป็นเจ้าคนเดิมอีกต่อไป เจ้ารักษาสำนึกรู้เดิมเอาไว้ได้อย่างไร”

ซิงอ้านลุกขึ้นยืนและมองไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยด้วยสายตาประหลาดพิกล อันเคลื่อนไหวตามไปด้วยเช่นกัน

เทพหมอผีขุยเดินวนรอบตัวเขา และเขาก็เดินวนอ้อมเทพหมอผีขุย วงกลมหนึ่งใหญ่ วงกลมหนึ่งเล็ก ราวกับว่าพวกเขาคือดาวสองดวงที่โคจรรอบๆกันและกัน

ซวีเซิงฮวามองไปยังฉินมู่และหวนรำลึกถึงว่าเขาพ่ายแพ้ไปครั้งหนึ่งได้อย่างไร ในตอนนั้นฉินมู่ได้ใช้ปราณชีวิตเพื่อนำทางเขา รัศมีของเขาสะกดข่ม และการเปลี่ยนแปลงในวิชาตัวเบาขณะที่เคลื่อนไหวไปก็รีดเร้นพละกำลังของเขาจนเหน็ดเหนื่อย

ในตอนนั้น ซวีเซิงฮวาพ่ายแพ้อย่างสิ้นท่า และไม่ทันที่พวกเขาจะได้ประมือกันสักครั้ง ซวีเซิงฮวาก็กระอักเลือดและร่วงลงไปกับพื้น หลังจากนั้นก็เป็นฉินมู่คนเดียวกันที่มารักษาอาการบาดเจ็บและทำให้เขาติดค้างเงินทองก้อนใหญ่ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปตีเหล็กหลอมสร้างมาหาเงินชดใช้

บัดนี้วิธีการของเทพหมอผีขุยและซิงอ้านนั้นคล้ายคลึงกับฉินมู่ แต่ยิ่งลึกล้ำกว่า

ซิงอ้านจ้องไปที่เทพหมอผีขุย สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม “มหัศจรรย์จริงๆ เทพหมอผีขุย เจ้านั้นเป็นชิ้นงานศิลปะอันมหัศจรรย์! เจ้าจะต้องเป็นผลงานชิ้นเอกในของสะสมของข้า!”

“สะสมข้า?” ทั้งสองคนได้เดินขึ้นไปบนอากาศจากพื้นดิน เทพหมอผีขุยยิ้มหยันและกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าคือเทวรูปที่ปั้นขึ้นมาจากโคลนอย่างงั้นหรือ พลังวัตรของข้าลึกล้ำเกินจะหยั่งและพละกำลังของข้าก็ไร้เทียมทาน ข้านั้นมิใช่เทพปลอมจากสภาสวรรค์อันเทียมเท็จ แต่เป็นเทพเที่ยงแท้ที่มาจากสภาสวรรค์อันแท้จริง!”

“ข้าได้กวาดล้างรัชสมัยเก่าของสภาสวรรค์เท็จและตัวตนอันทรงอำนาจมากมาย ไม่ว่าข้าจะผ่านไปที่ใด ซากศพก็ก่ายกองเต็มภูเขา และทะเลโลหิตก็ไหลนองไม่รู้จบสิ้น! เจ้านั้นเป็นเพียงแค่มดปลวกที่ฝึกปรือวิชาแปลกประหลาด และเดินร่อนไปทั่วทำเป็นวางมาดเพื่อหลอกหลวงผู้คน เหมือนกับนักต้มตุ๋นที่เทียวไปในยุทธจักร”

“แต่ข้ารู้เล่ห์กลของเจ้า ที่บินออกมาจากหีบเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงเจ็ดจิต และไม่มีสามวิญญาณ วิญญาณของเจ้ายังคงเป็นของเดิม แต่เจ้าได้แย่งชิงจิตทั้งเจ็ดมาจากผู้อื่น”

ฉินมู่สีหน้าแปรปลี่ยนเล็กน้อย แหล่งชีวิตของซิงอ้านคือวิญญาณทั้งสามของเขาอย่างงั้นหรือ เขาได้บ่มเพาะวิญญาณทั้งสามถึงขีดขั้นเทวะ? ถ้าเช่นนั้นวิญญาณทั้งสามของเขาก็อาจจะไม่ได้ซ่อนอยู่ในหีบ

สีหน้าของซิงอ้านก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน “มหัศจรรย์มาก เทพหมอผีขุย เจ้าทำให้ข้ายิ่งชื่นชมเจ้าเข้าไปอีก เมื่อเจ้าได้สักการะข้าจนตายไปเมื่อครู่ แง่อัศจรรย์ของวิชาเจ้าก็ถูกข้ามองจนทะลุ เวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณที่ว่านั้นมิได้ย่อยสลายดวงวิญญาณของคู่ต่อสู้ แต่แยกดึงเอาจิตทั้งเจ็ดออกจากกัน”

“ผู้คนที่ถูกสักการะจนตายนั้นยังมีวิญญาณอยู่ เพียงแต่พวกเขาจะถูกเจ้าควบคุมด้วยกำลัง มิเช่นนั้นไฉนจึงมีวิญญาณไม่ผุดเกิดมากมายที่วนเวียนไปรอบๆ ตัวเจ้าล่ะ เวทมนตร์หมอผีของเจ้ามันก็แค่ทักษะเทวะที่แข็งแกร่งขึ้นมาหน่อยเท่านั้น!”

ร่างกายของยูไลน้อยสั่นเทิ้ม และเขากล่าวด้วยเสียงเบา “ข้าเข้าใจแล้ว”

หลวงจีนปีศาจมากมายที่พิทักษ์เขาเอาไว้พลางสะกดดวงวิญญาณและดวงจิตอันอาจจะแหลกสลายไปได้ทุกขณะ เมื่อพวกเขาได้ยินที่ซิงอ้านกล่าว พวกเขาก็พลันกระจ่างแจ้งขึ้นมาราวกับมองเห็นแสงสว่างทางปัญญา

มรรคา วิชา และทักษะเทวะของลัทธิพุทธนั้นแตกต่างจากแนวทางทั่วไป เนตรพุทธสามารถทำให้พวกเขามองเห็นวิญญาณไม่ผุดเกิดได้ และพวกเขาก็ได้มองเห็นดวงวิญญาณมากมายที่พัวพันรอบๆ เทพหมอผีขุยนานแล้ว เพราะอย่างนั้น พวกเขาจึงรู้สึกว่าหากเปิดดวงตาเห็นธรรมให้แก่หมอผีขุย ก็จะกลายเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ที่จะใช้ในการเปิดสรวงสวรรค์ชั้นที่ยี่สิบแห่งพุทธเกษตร เพื่อให้พวกเขาได้กลายเป็นพุทธองค์

เพียงแค่รู้ชื่อแซ่ เทพหมอผีขุยก็สามารถสักการะฝ่ายตรงข้ามเพื่อเป่าสลายดวงจิตของพวกเขา เวทมนตร์หมอผีเขานั้นทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่พวกเขากลับไม่สามารถมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างดวงวิญญาณที่พัวพันเขาอยู่กับมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณ

ฉินมู่จิตเต้นตุบๆ ซิงอ้านนั้นเลิศล้ำไม่ธรรมดา!

เทพหมอผีขุยได้สักการะเขาสองครั้ง ครั้งแรกนั้นเป็นผานกงสั่วที่ช่วงใช้เวทมนตร์หมอผี และไม่อาจสักการะเขาจนถึงตายได้ ครั้งที่สองนั้นก็คือการสักการะเมื่อครู่นี้ อันได้ ‘สังหาร’ ซิงอ้านไปโดยพลัน

หลังจากได้พบพานทักษะเทวะของเทพหมอผีขุยเพียงสองครั้ง เขาก็สามารถมองทะลุแง่อัศจรรย์ของมันได้!

พรสวรรค์และปฏิภาณระดับนี้ นับว่าเลิศล้ำไม่ธรรมดา!

พรสวรรค์และปฏิภาณของเขาไม่ด้อยไปกว่าราชครู! น่าเสียดายที่บุคคลผู้ทุ่มเทกำลังความคิดทั้งหมดในการเสาะหายอดฝีมือที่เข้าใกล้เขตขั้นเทพเจ้า รวบรวมสะสมชิ้นส่วนร่างกายของผู้อื่น หากว่าเขาทุ่มเทกำลังทั้งหมดในการฝึกปรือ…เอ้อ เขาก็คงจะตายจากความชราไปก่อน เพราะถึงอย่างไร สะพานเทวะก็ขาดสะบั้น…ช้าก่อน!

ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้ม และความประหลาดใจเป็นล้นพ้นก็ปรากฏฉายในแววตา

ราชครูสันตินิรันดร์เป็นตัวตนอันมีปฏิภาณและพรสวรรค์แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็น ความกล้าหาญเฉียบขาดของเขานั้นไร้เทียมทาน และเขานั้นเลื่องชื่อกระเดื่องดังในโลกมาเสียก่อนที่จะทำการปฏิรูปเสียอีก เขานั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี โดยน้ำคำของยูไลเฒ่าและเจ้าสำนักเต๋าเฒ่า!

ราชครูสันตินิรันดร์นั้นกำลังอยู่ในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของเขา ดังนั้นจะต้องมีใครบางคนที่ถูกขนานฉายาเช่นนี้มาก่อนเขา

มันคงไม่ใช่…

สีหน้าฉินมู่พิลึกประหลาด พรสวรรค์ของซิงอ้านนั้นสูงส่งขนาดที่ว่ามีแต่ราชครูสันตินิรันดร์เท่านั้นจึงจะทัดเทียมกับเขาได้ นี่มิได้แปลว่าอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีในยุคสมัยของผู้ใหญ่บ้าน ก็คือซิงอ้านหรอกหรือ

เป็นไปได้สูงมาก! ราชครูสันตินิรันดร์ก็มีงานอดิเรกเก็บสะสมชิ้นส่วนร่างกายของผู้อื่นเหมือนกัน!

ฉินมู่กำหมัดแน่น ก่อนหน้านั้นราชครูสันตินิรันดร์ได้เก็บสะสมขาของเฒ่าเป๋มาก่อน!

ที่กลางอากาศเทพหมอผีขุยพลันเริ่มต่อสู้กับซิงอ้าน และท้องฟ้าเหนือเขาพระสุเมรุน้อยก็ถูกฉีกทึ้งจากทักษะเทวะ แม้ว่าเทพหมอผีขุยจะมิอาจสักการะเขาจนถึงตาย เขาก็ยังคงเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้า เขามีพลังวัตรและทักษะเทวะอันไร้ต่อต้าน พวกมันส่วนใหญ่เป็นทักษะเทวะดวงวิญญาณและเวทมนตร์ชนิดอื่นๆ

พลานุภาพของเวทมนตร์ทักษะเทวะของเขานั้นแข็งแกร่งไร้ใดเปรียบถึงกับสามารถฉีกความมืดให้ขาดออกจากกัน เผยใบหน้าอันพิลึกกึกกือข้างในนั้น

การที่เวทมนตร์ทักษะเทวะรุดหน้ามาถึงขั้นนี้ได้โดยปราศจากร่างเนื้อ พละกำลังการต่อสู้ของเขาสูงล้ำกว่ายูไลน้อยไปลิบลับ

กระนั้นก็ไม่มีทักษะเทวะใดของเขาที่แตะต้องซิงอ้านได้

ความเร็วของบุรุษผู้นี้ว่องไวเกินไป เขานั้นเหมือนกับแสงวิบวับและเงาที่พริบพราย ความเร็วของเขาทัดเทียมกับเฒ่าเป๋!

เมื่อเผชิญกับความเร็วระดับนี้ แม้แต่ทักษะเทวะของเทพหมอผีขุยก็ตามไม่ทัน!

ความเร็วของเฒ่าเป๋นั้นเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า หากว่าเขาลองหลบหนีไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ก็ไม่มีใครตามเขาทัน เขาเพลี่ยงพล้ำเพียงสองครั้งเท่านั้นในชีวิต ครั้งแรกนั้นก็เมื่อเขาถูกราชครูสันตินิรันดร์พบเข้าตอนที่กำลังขโมยห่วงหยกจักรพรรดิ ขาของเขาถูกสะบั้นออกไปเสียก่อนที่เขาจะเร่งความเร็วถึงขีดสุด

ครั้งที่สองนั้นก็เมื่อเขาพบกับซิงอ้าน

แม้ว่าเฒ่าเป๋จะมีความเร็วจนเหลือล้น แต่พลังวัตรของเขามิได้เข้มข้นเท่ากับของซิงอ้าน เขาถูกไล่ล่าติดกันหลายวันจนกระทั่งพลังวัตรของเขาเหือดแห้งในที่สุด และขาทั้งสองข้างของเขาก็ถูกตัดออกไป

ด้วยความเร็วระดับนี้ จึงยากที่เทพหมอผีขุยจะตีโดนเขา!

ตูม!

ที่กลางอากาศเทพหมอผีขุยรับการโจมตีแรกของซิงอ้าน และร่างของเขาสั่นสะท้าน ทารกวิญญาณของเขาแทบถูกซัดกระเด็นออกไปจากจิตวิญญาณดั้งเดิม และเขาก็เผยสีหน้าว้าวุ่นออกมาอย่างข่มไว้ไม่อยู่

เสียงปังมหึมาตามมาอีกเมื่อเขาถูกการจู่โจมที่สอง ริ้วเส้นของไฟแท้พวยพุ่งออกมาจากดวงตา จมูก ปาก และรูหูของเขา ระดับการแยกจากกันระหว่างทารกวิญญาณกับจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขายิ่งกว้างขวางขึ้น

ปัง ปัง ปัง

เสียงโจมตีถี่ยิบดังมาจากในอากาศ และทารกวิญญาณในจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยก็โงนเงนไปทั่วทิศ ภาพลวงตาปรากฏขึ้นมา และใบหน้าเหล่านั้นก็บิดเบี้ยวพลุ่งพล่าน

เทพหมอผีขุยไม่มีกำลังที่จะโต้กลับไปจริงๆ

ราชครู อัจฉริยะวายร้ายนั่น ก็อาจจะไม่สามารถเป็นคู่มือของซิงอ้านในตอนนี้ได้ ฉินมู่ตกตะลึงเมื่อมองไปยังหีบของซิงอ้านอันอยู่ไม่ห่างไกล

ซิงอ้านวางมันไว้กับพื้น ไม่แบกติดตัวอีกต่อไป

ข้างๆ หีบ ผานกงสั่วนอนหดหัวกอดขาเทวะข้างหนึ่งเอาไว้อยู่

เขาจบเห่แน่…อาจารย์ของข้าจบเห่แน่ๆ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซิงอ้าน ข้ากะจะมาจับปลาในน้ำขุ่น แต่จากที่ดูแล้ว ข้าคงไม่ได้ปลาสักตัว…

เขานำถุงเต๋าตี้ออกมาและยัดขานั้นเอาไว้ข้างใน ซิงอ้านนั้นทั้งฉลาดและกลอกกลิ้ง เขาจะต้องบังคับให้ข้าเชื่อมต่อขาข้างนี้ และหากว่ามันถูกจ้าวลัทธิฉินวางยาพิษเอาไว้ ข้าก็จะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ต่อให้ขานี้ไม่มีพิษ ซิงอ้านก็จะตัดมันออกไปและไม่เหลือมันเอาไว้ให้ข้า ถ้าอย่างนั้น ทำไมข้าไม่ฉวยโอกาสนี้ลอบหนีออกไปเลยล่ะ…

ระหว่างที่คิดเช่นนั้น เขาก็พลันเห็นฉินมู่ถือลูกแก้วอันมีขนาดเท่ากำปั้นเขาดูเหมือนกำลังท่องสวดเวทมนตร์บางประเภท

แต่ทว่า ซิงอ้านนั้นกำลังง่วนอยู่กับการต่อยตีเทพหมอผีกุ่ยดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยินว่าไอ้เด็กเปรตนี่กำลังร่ายเวทมนตร์อะไร

“ลูกแก้วเต่าดำ!”

ผานกงสั่วจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาจดจำลูกแก้วในมือฉินมู่ได้ มันคือลูกแก้วเต่าดำ หนึ่งในสี่มหาสมบัติวิญญาณแห่งตำหนักสวรรค์แท้ แต่ทว่า แม้แต่ในชาติภาพก่อนๆ ที่เขาเป็นผู้สูงศักดิ์ เขาก็ได้แต่เห็นลูกแก้ว แต่ไม่เคยสัมผัสมันสักครั้ง

ไอ้เด็กร้ายกาจนี่มันโชคดีจริงๆ เขาถึงกับอาศัยช่วงชุลมุนขโมยลูกแก้วเต่าดำออกมาจากตำหนักสวรรค์แท้ได้!

ท่วงท่ามือของฉินมู่แปรเปลี่ยนไปอย่างยากจะคาดเดา ภาพลวงตาปรากฏข้ามท้องฟ้าเบื้องบน และในท้ายที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นเพลงกระบี่อันแตะลงไปบนลูกแก้วเต่าดำอย่างแผ่วเบา

กระบวนท่าของวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ!

ผานกงสั่วหัวใจเต้นโครมคราม ทันใดนั้น หีบข้างๆ เขาก็สั่นไหวเล็กน้อย เขารู้สึกขนหัวลุกเต็มเหยียด ที่ก้นหีบขยับไปมาสองสามครั้ง และทันใดนั้นก็มีขาผุดออกมาจากข้างใต้!

ผานกงสั่วแทบจะร้องออกมาเมื่อเห็นขาอีกจำนวนหนึ่งงอกออกจากก้นหีบ และมันเขย่าตัวเอง หีบก็ลุกขึ้น

ไม่ทันที่ผานกงสั่วจะกลับมาได้สติ ฉินมู่ก็กระโดดขึ้นไปบนหีบอันเริ่มวิ่งตะบึงลงจากภูเขา ที่กลางทาง กิเลนมังกรย่อหดร่างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อหีบวิ่งผ่านหน้าเขาก็กระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น

ผานกงสั่วตกตะลึง เมื่อเขามองไปยังซวีเซิงฮวา เขาก็เห็นเจ้านั่นจูงมือจิงเอี้ยนพลางโบกมือลาฉินมู่ที่อยู่บนหีบ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายนั้นก็รู้กัน

กลอกกลิ้ง! เจ้าหมอนี่ถึงกับกล้าขโมยหีบของซิงอ้าน!

ผานกงสั่วกำลังจะร้องบอกซิงอ้าน แต่พลันเปลี่ยนใจ และรีบวิ่งลงจากภูเขาด้วยสองมือของตน

ความเร็วของหีบรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่ขณะที่มันกำลังจะพุ่งเข้าไปในความมืดนั่นเอง ผานกงสั่วก็กระโดดขึ้นไปคว้าที่ท้ายหีบ เขานั้นถูกลากเข้าไปในความมืดพร้อมๆ กับหีบอันวิ่งตะบึง

หีบนี้เต็มไปด้วยชิ้นส่วนร่างกายเทวะ ดังนั้นความมืดรอบข้างจึงถูกผลักให้ถอยห่าง และขาทั้งสี่ของมันก็วิ่งไปด้วยความเร็วฝ่าความมืด

“ที่แท้ก็เป็นผู้สูงศักดิ์”

ฉินมู่หันไปดูและเห็นผานกงสั่วห้อยต่องแต่งอยู่ที่ท้ายหีบ เขาฉีกยิ้มและชักกระบี่ออกมา ผานกงสั่วนำขาติดพิษข้างนั้นออกมาต้านรับ และเสียงเคร้งคร้างก็ดังมาจากการปะทะ

“จ้าวลัทธิฉิน ช้าก่อน!” ผานกงสั่วรีบตะโกนออกมา “หากเจ้าโจมตีอีกครั้ง ข้าจะร้องโวยวายล่ะนะ! แล้วมาดูสิว่าเจ้าจะหนีไปอย่างไร!”

ฉินมู่เก็บกระบี่กลับ ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม “ผู้สูงศักดิ์พูดอะไรอย่างนั้น พวกเราตอนนี้เป็นสหายเก่าแก่ ดังนั้นข้าจะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร ผู้สูงศักดิ์เจ้าอยู่ท้ายหีบก็ได้แต่กินฝุ่นเท่านั้น ทำไมไม่ให้ข้าช่วยดึงเจ้าขึ้นมาล่ะ”

เขาแอบเตะกิเลนมังกรหนึ่งที และกิเลนมังกรก็เข้าใจความนัยของเขา จึงอ้าปากเพื่อรวบรวมไฟแท้ เตรียมที่จะเป่าผานกงสั่วเข้าไปในความมืดหลังจากที่ฉินมู่ดึงเขาขึ้นมาแล้ว จากนั้นความมืดก็จะช่วยกำจัดหมอนี่ให้

ผานกงสั่วหดหัวกลับไปและจัดท่าทางให้สบายตัวขึ้นข้างใต้หีบ “ข้ารู้สึกขอบคุณต่อความกังวลของจ้าวลัทธิ แต่ข้าชอบกินฝุ่น ดังนั้นอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”

ในตอนนั้นเอง เสียงโกรธเกรี้ยวของซิงอ้านก็ดังก้องไปบนอากาศเหนือเขาพระสุเมรุน้อย “ยอดหมอเทวดาฉิน ข้าอยากรู้นักว่าหัวใจของเจ้ามันดำแค่ไหน!”

“ดำสุดๆ” ผานกงสั่วพึมพำจากข้างใต้หีบ

…………………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท