ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 482 สัประยุทธ์บนยอดเขาทองคำ

ตอนที่ 482 สัประยุทธ์บนยอดเขาทองคำ

เหนือภูเขารอบๆ เมฆปีศาจเห่อเหิมขึ้นมาจากวิหารทั้งหลาย หลวงจีนปีศาจชั้นสูงทั้งหมดเหาะขึ้นไปบนเมฆของพวกเขามุ่งไปยังยอดเขาทองคำ คุกรุ่นไปด้วยจิตสังหาร

รัศมีของซิงอ้านนั้นแข็งแกร่งพอที่หลวงจีนเกือบทั้งวัดน้อยฟ้าคำรามจะรับรู้การมาเยือนของเขา

ซิงอ้านยืนอยู่บนยอดเขาทองคำของวัดน้อยฟ้าคำรามราวกับว่าเขามาพิชิตแดนรกร้าง เขาไม่สนใจหลวงจีนปีศาจทั้งหลายที่กรูกันเข้ามาและฉีกยิ้ม “ทำไมใครๆ ก็รนหาที่ตาย คนเดียวที่จะต้องตายบนภูเขานี้ก็มีเพียงยอดหมอเทวดาฉิน พวกเรามาสะสางความแค้นกันก่อนดีกว่า”

ผานกงสั่วดีใจจนเนื้อเต้นและก้าวข้างหน้าไปสองก้าวด้วยมือของเขา เขาเงยหน้าขึ้นมาและกล่าวอย่างดุร้าย “หมอเทวดาฉิน ศิษย์พี่ซิงอ้านเรียกหาเจ้า ทำไมเจ้ายังไม่รีบไสหัวมาตาย”

จิงเอี้ยนมองไปที่ซวีเซิงฮวาและกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “คุณชาย…”

ซวีเซิงฮวาขมวดคิ้ว เขาก็นึกอะไรดีๆ ไม่ออกในสถานการณ์เช่นนี้ ยูไลน้อยคงมิอาจเสียสละยอดฝีมือทั้งหมดของวัดน้อยฟ้าคำราม ดังนั้นคงไม่ช่วยอย่างแน่นอน ส่วนตัวเขานั้นวรยุทธต่ำกว่าซิงอ้านไปมาก และไม่อาจช่วยเหลือได้โดยสิ้นเชิง

ฉินมู่ยกมือขึ้นและยับยั้งลิงยักษ์อสูรที่กำลังจะพุ่งถลันเข้าไป เขาก้าวออกไปข้างหน้าและถามหยั่ง “ศิษย์พี่ซิงอ้าน หากว่าข้าสามารถช่วยให้ท่านพ้นจากอาการป่วยไข้แฝงเร้นของท่านได้ ข้าจะสามารถรอดชีวิตได้หรือไม่”

ผานกงสั่วราวกับได้ยินเรื่องที่น่าขำที่สุดในโลกและระเบิดหัวเราะออกมา “ไอ้เด็กผีแซ่ฉิน เจ้านั้นฝันกลางวั–”

“ตกลง” ซิงอ้านยินดีเป็นอย่างยิ่งและกล่าว “หากว่าเจ้าทำให้ข้าเป็นอิสระจากความป่วยไข้นี้ได้ ปล่อยเจ้าไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”

ผานกงสั่วอ้าปากค้าง เขาหันกลับไปและตะกุกตะกัก “ศิษย์พี่ซิงอ้านล้อเล่น ชะ…ใช่ไหม”

ซวีเซิงฮวาก็อ้าปากค้าง สักพักเขาถึงค่อยได้สติ

“ข้าไม่จำเป็นต้องสังหารเขาจริงๆ นี่ สำหรับข้าแล้ว เป็นเรื่องปกติที่เหยื่อจะสู้กลับ ผู้คนของเขาได้ต่อสู้โต้กลับมาและทำให้ข้าบาดเจ็บ บีบให้ข้าไร้ทางเลือกอื่นนอกจากล่าถอย ว่ากันตามจริงแล้ว ข้าก็นับถือคนพวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากว่าหมอเทวดาฉินไม่ต้องการจะตาย เขาก็จะต้องคืนชิ้นส่วนอวัยวะทั้งหมดให้กับข้า” ซิงอ้านกล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“ตกลง! แต่บางชิ้นส่วนข้าได้คืนไปให้กับเจ้าของเดิมแล้ว” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็นำรังมังกรแท้ออกมา และนำชิ้นส่วนร่างกายทั้งหมดที่เขาครอบครองอยู่ออกมากอง

“ไม่มีปัญหา ในเมื่อเจ้าคืนไปแล้ว ข้าก็แค่ต้องไปฉวยมาใหม่จากพวกเขาเท่านั้น”

ซิงอ้านเดินตรงไปและตรวจตราดูมันทีละชิ้นๆ เมื่อเขาตรวจมาถึงขาข้างที่ฉินมู่แพร่พิษเอาไว้ เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขาเงยหน้ามองฉินมู่ ประกายตาของเขาก็วูบวาบ “ขาข้างนี้ดูจะแตกต่างออกไปจากเมื่อก่อน หมอเทวดาฉิน ข้าเองก็เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ และขาข้างนี้จะต้องมีเล่ห์กลอะไรอย่างแน่นอน”

ฉินมู่ก้าวเข้าไปดูและเกาหัวแกรกๆ “ข้าได้ต่อขานี้เข้ากับใครบางคนมาก่อน ดูสิ ข้าทำรอยบากไว้ตรงนี้”

ซิงอ้านหรี่ตาและสำรวจดูสีหน้าของเขา แต่ไม่พบพิรุธใดๆ แต่กระนั้น เขาก็ยังคงขยาดความสามารถในวิชาชีพหมอของฉินมู่

“ผู้สูงศักดิ์ ข้ายังติดข้างเจ้าอยู่หนึ่งขา ดังนั้นเชื่อมต่อข้างนี้กลับไปก่อนล่ะกัน” เขาโยนขาข้างที่มียาพิษไปให้ผานกงสั่วผู้ซึ่งหน้าซีดเหลือง “ไอ้เด็กแซ่ฉิน เจ้าวางยาพิษไว้ในขาใช่ไหม บอกข้ามาอย่าโกหก! ศิษย์พี่ซิงอ้าน ข้าไม่รับขานี้ได้หรือไม่ ถ้าข้าต่อมันข้าจะต้องตายอย่างแน่แท้! อย่าพูดถึงรอยบากเลย ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นที่เขาเฉียดมือเข้าใกล้!”

ซิงอ้านรับขากลับไปและกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ข้ายกให้เจ้า แต่เจ้าไม่ต้องการมัน เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็ติดข้างเจ้าอีกแค่ข้างเดียว”

ผานกงสั่วครางหนัก ขัดแย้งในใจ จากนั้นเขาก็กล่าว “ยกให้ข้าละกัน ให้ข้าดูก่อนว่ามันมีพิษหรือเปล่า…”

ซิงอ้านโยนขาให้กับเขาและเปิดหีบอันเขากวาดชิ้นส่วนร่างกายที่เหลือทั้งหมดเข้าไป จากนั้นเขาก็มองไปยังฉินมู่ ตามด้วยซวีเซิงฮวา และสุดท้ายก็ลิงยักษ์อสูร สายตาเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม “ทุกคนที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ เช่นนั้นหากข้ามาเก็บเกี่ยวหลังจากที่พวกเจ้าประสบความสำเร็จแล้ว นั่นจะไม่น่าสนุกหรอกหรือ ผู้สูงศักดิ์ เจ้าก็ต้องขยันฝึกปรือเช่นกัน อย่าปล่อยให้ชนรุ่นหลังขี่หัวเจ้าเอาได้”

ผานกงสั่วมีเพลิงโทสะสุมเต็มอก แต่ไม่มีที่ระบาย เขาได้แต่รับคำเสียงชืดชาและหุบปากเงียบ

ซิงอ้านมองไปยังบาตรทองคำอันถูกนำออกมาจากภาพวาดของฉินมู่แล้วโดยยูไลน้อยและหลวงจีนคนอื่นๆ มันแขวนห้อยอยู่กลางอากาศอันมีเทพหมอผีขุยยืนอยู่บนเมฆมารเล็กๆ เขากอดอกยืน ร่างท่อนล่างของเขาเป็นเมฆทะมึนอันถูกสะกดข่มเอาไว้ในบาตร

เทพหมอผีขุยมองไปที่ซิงอ้านและยิ้มหยัน

“เทพหมอผีขุย ครั้งหนึ่งผู้สูงศักดิ์ได้ใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าเพื่อมาสักการะข้า” ซิงอ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ลองสักการะข้าดูอีกที ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าจะสังหารข้าด้วยการสักการะดวงวิญญาณได้หรือไม่”

“ชื่อที่แท้จริงของเจ้าปรากฏออกมาแล้ว จะสักการะเจ้าให้ตกตายไปมันก็ไม่ยากเท่าไร แต่ทว่า ข้าไม่มีอารมณ์จะรีบร้อน ข้ายังอยากเห็นเจ้ากระโดดไปๆ มาๆ และเผยความอัปลักษณ์ทั้งหมดของเจ้าเสียก่อน ทุกคนบนภูเขาหนีคงยากจะรอดชีวิตออกไป ดังนั้นทำไมข้าต้องร้อนรนด้วย”

ซิงอ้านยิ้มน้อยๆ และมองไปยังยูไลน้อย “อาหารจานหลักควรทานท้ายสุด ส่วนยูไลเหยียนติ้งนั้นเป็นจานเรียกน้ำย่อย ยูไล เจ้าจะสู้กลับหรือไม่”

ยูไลน้อยประนมมือเข้าด้วยกันและกล่าว “ศิษย์พี่ซิงอ้านได้กล่าวชื่อทางธรรมของข้าต่อหน้าเทพหมอผีขุย ดังนั้นข้าชะตาข้าย่อมถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าจะต้องมุ่งหน้าไปแดนสุขาวดี หากว่าข้าไม่ตายภายใต้น้ำมือของศิษย์พี่ซิงอ้าน ข้าก็ยังคงจะต้องตายภายใต้การสักการะดวงวิญญาณของเทพหมอผีขุย สำหรับภิกษุแล้ว ธาตุทั้งสี่เป็นเพียงความว่างเปล่า ดังนั้นท่านจะนำวรยุทธของช้าไปก็มิใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่ว่าหากข้าตายลงไป วัดน้อยฟ้าคำรามก็คงจะถูกขจัดกวาดล้าง ข้ามิอาจทนดูเผ่าปีศาจของข้าถูกทำลายล้างไปเช่นนี้ ดังนั้นศิษย์พี่ซิงอ้าน เชิญลงมือเถอะ”

รัศมีของเขาพลันแผ่พุ่งอย่างดุเดือด และร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้ม แสงพุทธธรรมฉายฉานจากด้านหลังของเขา ก่อขึ้นมาเป็นวงแหวนอันมีสวรรค์ยี่สิบชั้นอยู่ในนั้น

ในเวลานี้ รัศมีของยูไลน้อยราวกับขุนเขาอันเต็มไปด้วยของวิเศษพุทธอันหนักอึ้งอย่างอัศจรรย์ ข้างหลัง จิตวิญญาณดั้งเดิมทะยานออกมา มันมีศีรษะใหญ่โตและเรือนกายเล็ก บนหัวของมันมีก้อนเนื้อโหนกนูนเต็มไปหมด และมีดวงตากลมดิกเป็นประกายเจิดจ้าจ้องเขม็งออกมา มันยังมีเขาแพะเดี่ยวที่ม้วนบิดขึ้นไปบนหน้าผากของเขาอีกด้วย

จิตวิญญาณดั้งเดิมนี้มีกีบเท้าแพะ แต่หัวของเขากลับดูเหมือนกิเลน มันเคร่งขรึมสำรวมและเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ แผ่กลิ่นอายอันเหนือธรรมดา

เมื่อพบสายตาของมัน หัวใจของทุกคนก็เต็มไปด้วยความสำนึกบาป และไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ

เขายาวนั้นเหยียดตรงและคมกล้าอย่างมหันต์ เมื่อผานกงสั่วมองเห็นมัน สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงจากความกลัวที่ท่วมท้นขึ้นมาในจิตใจ เขารีบหลบไปจากสายตาของจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้

เขาได้ก่อกรรมทำชั่วมามาก และรู้สึกราวกับว่าจะถูกเขานั้นเสียบได้ตลอดเวลา

“ที่แท้ไต้ซือก็คือสัตว์ในตำนานเซี่ยจื้อที่บรรลุเต๋า” ซิงอ้านแช่มชื่นยินดีเมื่อมองเห็นเหยื่อของเขาและกล่าวชม “มิน่าล่ะวรยุทธของเจ้าถึงแข็งแกร่งนัก! เจ้านับได้ว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่ง! แม้ว่าข้าจะมีของสะสมกว้างขวาง แต่ข้าก็ไม่เคยครอบครองปีศาจศักดิ์สิทธิ์เช่นเจ้ามาก่อน”

ยูไลน้อยกู่ร้องตะโกนและปราณชีวิตของเขาก็ระเบิดออกมา สายฟ้ารวบรวมกันในนภากาศและระเบิดปะทุท่ามกลางเมฆปีศาจที่เหิมขึ้น ก่อเป็นสะพานเทวะอันส่องประกายด้วยรังสีแสงอันอาบย้อมไปทั่วทั้งเทือกเขา

จิตวิญญาณดั้งเดิมเซี่ยจื้อของเขาทะยานขึ้นไป และไปยังปลายสุดสะพานเทวะเพื่อยืนอยู่ท่ามกลางเมฆปีศาจ สายฟ้าอาบทั่วกายของมัน ดังนั้นมันจึงดูเหมือนครึ่งพุทธเจ้าและครึ่งเซี่ยจื้อ ราวกับว่ามันคือเซี่ยจื้อเทพยดา จิตวิญญาณดั้งเดิมนี้ขยายใหญ่ขึ้นทุกทีๆ หัวของมันก้มลงมาก็ครอบงำไปครึ่งเขาพระสุเมรุน้อยแห่งนี้

ซิงอ้านไม่เคลื่อนไหวร่างกายเมื่อสะพานเทวะของเขาพาดข้ามนภากาศ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก้าวไปบนสะพานเทวะและพุ่งทะยานไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมพุทธเจ้าอันใหญ่มหึมากลางอากาศ

หางตาของฉินมู่กระตุก จิตวิญญาณดั้งเดิมของซิงอ้านเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว มันแตกต่างจากอันที่เขาใช้ในการต่อสู้ที่สถาบันนักบุญสวรรค์

ในคราวนี้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเป็นนักพรตหลังเต่าที่มีงูเหินหาวกระหวัดพันรอบๆ กาย

ตูม!

สายฟ้านับหมื่นฟาดลงมา และจิตวิญญาณดั้งเดิมทั้งสองก็ปะทะกันกลางอากาศ สายฟ้าขาวเจิดจ้าราวหิมะฟาดเปรี้ยงปร้างไปทั่วสารทิศ แต่ละการโจมตีสร้างตาข่ายอสุนีบาต อันมีคุณสมบัติธาตุแตกต่างกันชัดเจนสองฝั่งฝ่าย

ความมืดนั้นเป็นเงาของเงื้อมเขา ต้นไม้ และโถงวังต่างๆ ส่วนความสว่างนั้นเป็นแสงของสายฟ้า

ยูไลน้อยลงมือ และซิงอ้านก็ไม่งอมือรับฝ่ายเดียว สะพานเทวะทั้งสองในท้องฟ้าได้เคลื่อนคล้อยไปตามพวกเขา จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ขยับเปลี่ยนตำแหน่งไปมา

สักครู่หนึ่ง เสียงระเบิดกึกก้องก็เลื่อนลั่นมา และเซี่ยจื้อเทพยดาก็ร่วงลงมาจากสะพานเทวะ ตกลงปะทะกับยอดเขาทองคำ กระแสอากาศน่าสะพรึงกลัวซัดถล่มไปทั่วทิศทางและเขย่าทุกๆ คนให้ยืนไม่มั่น

โลหิตหลั่งไหลจากมุมปากยูไลน้อย และเขาเขย่าจีวรของตนเพื่อดึงลมเหล่านั้นกลับเข้าไปในแขนเสื้อ มิให้หลวงจีนปีศาจทั้งหลายบนภูเขาได้รับบาดเจ็บ

“ข้าพ่ายแพ้ ศิษย์พี่ซิงอ้าน เชิญนำพลังวัตรข้าไป”

ยูไลน้อยดึงเอาจิตวิญญาณดั้งเดิมและสะพานเทวะของเขากลัวไป ใบหน้าของเขาซีดเผือด และหลวงจีนปีศาจในวิหารก็รีบเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า และกรูกันไปยังยอดเขาทองคำด้วยจิตสังหารอันเดือดพล่าน

ยูไลน้อยนั่งในท่าขัดสมาธิดอกบัว และกายเนื้อของเขาก็พลันขยายใหญ่ขึ้นมาเพื่อยับยั้งทุกๆ คนเอาไว้ “ศิษย์น้องทั้งหลาย หลังจากที่สมบัติเทวะของข้าถูกนำออกไปแล้ว ก็คงยากที่ข้าจะหลบหนีจากความตาย หลังจากที่ข้าสิ้นชีวิต ไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำราม ยูไลหม่าแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามเป็นศิษย์หลานของข้า เขามีจิตใจเปิดกว้างและจะรับพวกเจ้าไปอย่างแน่นอน”

หลวงจีนปีศาจทั้งหลายรู้สึกเศร้าสลดและสะอึกสะอื้นด้วยความขมขื่น พลางโยนตัวหมอบร่ำไห้อยู่กับพื้น

ซิงอ้านดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมและสะพานเทวะของของเขากลับไปพลางกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ทำไมทุกคนต้องเศร้าโศกกันด้วย ข้าไม่ได้ชมชอบการฆ่า ข้าเพียงแต่จะนำพลังวัตรของยูไลเหยียนติ้งไปเท่านั้น มิใช่ชีวิตของเขา ดังนั้นไม่ต้องเศร้าใจไปหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็จะนำจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยไปด้วย ไม่ต้องกังวล ยูไลของเจ้าไม่ตายหรอก ยูไลเหยียนติ้ง โปรดเปิดสมบัติเทวะของเจ้าด้วย”

ยูไลน้อยน้อยนิ่งสงบขณะที่ร่างกายของเขาไหวสะท้านอย่างต่อเนื่องเมื่อเสียงครืนครันดังมาจากจากในร่างของเขา สมบัติเทวะเปิดออกมาตามๆ กัน และแสงสมบัติอันเจิดจ้าบาดตาก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างกาย ส่องสว่างไปทั่วทั้งภูเขา เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่ซิงอ้าน เชิญนำมันไปเถอะ”

เมื่อซิงอ้านเดินไป ท้องฟ้าก็เริ่มกลายเป็นสีดำเมื่อความมืดท่วมท้นมาจากทิศตะวันตก มันโถมซัดมายังภูเขาอันสูงตระหง่านและหน้าผาอันถากชัน กลืนกินแดนโบราณวินาศ

ซิงอ้านมองไปยังความมืดเหนือวัดน้อยฟ้าคำรามและกล่าว “แดนโบราณวินาศนี่ช่างลึกลับเสียจริง”

เขาเดินไปข้างหน้าด้วยมือของเขาที่ดึงไปข้างๆ อย่างแผ่วเบา แสงกระบี่พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาและกำลังจะเฉือนตัดสมบัติเทวะของยูไลน้อย แต่ทันใดนั้นเทพหมอผีขุยก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง “เหยียนติ้ง รับการสักการะของข้า!”

เมฆมารเล็กๆ เหนือบาตรทองคำพลันแปรเปลี่ยนเป็นแท่นสังเวย จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยพลันโค้งกายน้อมคำนับ

ยูไลน้อยสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง ส่วนซิงอ้านยิ้มหยัน “คิดจะฆ่าเขาต่อหน้าข้างั้นหรือ ฝันเฟื่อง!”

แสงกระบี่ในมือของเขาตัดลงไป และร่างของยูไลน้อยพลันถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยริ้วแสงอันลึกลับ มันก่อขึ้นมาเป็นชั้นของเวทปิดผนึก และอักษรรูนจำนวนนับไม่ถ้วนก็แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งปิดกั้นยูไลน้อยเอาไว้

เมื่อเทพหมอผีขุยโค้งสักการะบนแท่นสังเวย ยูไลน้อยก็ครางกระอัก แม้ว่าจะมีผนึกของซิงอ้าน แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็เกือบจะถูกสักการะออกไปจากร่าง จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาแตกร้าวเป็นรอยแยก และดวงวิญญาณเขาก็แทบกระเจิดกระเจิด

ซิงอ้านสีหน้าแปรเปลี่ยน เขาผลักฝ่ามือไปข้างหน้าและฟาดลงบนแท่นสังเวย

เทพหมอผีขุยหัวร่อด้วยเสียงอันดังและผงาดลอยขึ้นมาเพื่อสักการะเขา จิตวิญญาณดั้งเดิมของซิงอ้านสั่นเทิ้ม และดวงวิญญาณของเขาแหลกสลายไปอย่างรวดเร็ว เขาล้มคว่ำลงไปกับพื้นโดยปราศจากลมหายใจ

บาตรทองคำแตกเปรี้ยะกระเด็นออกเป็นชิ้นๆ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยกระโดดออกมาพลางหัวเราะร่า “พวกมนุษย์ต่ำชั้น เป็นแค่ไก่ดินเผาสุนัขกระเบื้อง ทนรับการโจมตีสักครั้งก็ยังไม่ได้เลย เจ้าคิดว่าข้าหมายจะสังหารเหยียนติ้งเพื่อตบหน้าเจ้า แต่จริงๆ เป็นเจ้าต่างหากที่ข้าต้องการจะสังหาร! ศิษย์รัก ไสหัวมานี่!”

ผานกงสั่วกอดขาข้างที่เขาได้รับมาและตัวสั่นเทา

ในตอนนั้นเอง หีบของซิงอ้านก็ขยับ และดวงตาของเขาลืมขึ้นมา เขาลุกขึ้นยืนตัวตรงด้วยรอยยิ้ม “เวทมนตร์หมอผีเลิศล้ำจริงๆ!”

………………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท