บทที่ 472 เป้าหมายใหม่
หลังจากออกจากโลก ทุกคนพบว่าพวกเขารู้สึกไร้พลังเมื่อพบกับความยากลำบากมากมาย จะให้พูดอย่างไรดีล่ะ
เช่นเดียวกับคนที่พึ่งพาพ่อแม่มาตลอด จู่ๆก็ต้องลาจากพ่อแม่และเที่ยวเร่ร่อนไปทำมาหากินตามลำพัง อับจนหนทางเมื่อพบเจอเหตุการณ์มากมายที่เข้ามาอย่างกะทันหัน
“ทุกท่าน จากการสังเกตการณ์และการวิเคราะห์ของเรา เรายังมีโอกาสสุดท้ายนั่นก็คือบุกเบิกการใช้ประโยชน์จากไททัน”
ในขณะที่ทุกคนกำลังสิ้นหวัง ทันใดนั้นติงต้าเฉิงก็พูดขึ้นมา
“ไททัน? ดาวบริวารดวงที่หกของดาวเสาร์?” มีใครบางคนตั้งคำถาม
“ใช่แล้ว” ทันทีที่ติงต้าเฉิงกดรีโมทคอนโทรลก็เห็นรูปถ่ายของไททันและวัสดุต่างๆปรากฏบนหน้าจอขนาดใหญ่
“จากการวิเคราะห์ของเรา บนไททันมีทรัพยากรมากมาย เราสามารถไปที่นั่นเพื่อดำเนินการบุกเบิกรวบรวมทรัพยากรมหาศาล จากนั้นก็ออกจากระบบสุริยะ” ติงต้าเฉิงกล่าว
“อืม เพราะฉะนั้นคราวนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับว่าไททันมีสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่เราสามารถเอาชนะได้นับไม่ถ้วนหรือไม่”
“แน่นอนว่าการบุกเบิกไททันนั้นอันตราย แม้ว่าตามข้อมูลที่เรามีในตอนนี้จะไม่มีสิ่งมีชีวิตต่างดาวบนไททัน แต่อย่างไรก็ตามหลังจากการเดินทางไปยังดาวอังคาร ผมเชื่อว่าทุกคนจะไม่ตัดสินจากข้อมูลมนุษย์ต่างดาวเบื้องต้นพวกนั้นอีกต่อไป ดังนั้นตอนนี้ทุกคนมาแสดงความคิดเห็นกันเถอะว่าจะไปบุกเบิกไททันหรือไม่” ลู่เฉินกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ทุกคนเงียบไปชั่วขณะ แต่พอคิดว่าถ้ายานอวกาศซี-หวั้งไม่มีทรัพยากร พวกเขาก็ทำได้แค่หมุนไปรอบๆในระบบสุริยะ และท้ายที่สุดพลังงานก็ถูกใช้งานไปจนหมด ทุกคนก็จะตายบนยานอวกาศ
หลังจากเงียบเพียงไม่กี่วินาที แทบจะทุกคนก็เห็นด้วยที่จะบุกเบิกไททันเพราะนั่นคือความหวังสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ
“เอาล่ะ งั้นก็ตามนี้ เป้าหมายต่อไป ไททัน ไม่ว่าจะอันตรายหรือต้องสังเวยชีวิตอะไรก็ตาม พวกเราจะต้องเอาชนะมันให้ได้!” ลู่เฉินพูดกระตุ้น
“ด้วยความเร็วของยานอวกาศ เราต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะไปถึงไททัน?” ทันใดนั้นก็มีคนถามขึ้นมา
“หากเร่งอย่างเต็มกำลัง เราจะไปถึงที่นั่นเร็วมาก เพราะความเร็วสูงสุดของยานอวกาศซี-หวั้งของเราตอนนี้สามารถเพิ่มได้ถึง 0.4 เท่าของความเร็วแสง แต่พอเราไปถึงไททัน เราย่อมเหลือพลังงานไม่มาก
ดังนั้นเราจึงวางแผนที่จะลดความเร็วลงเหลือหนึ่งรอบเพื่อบินไปให้ถึงไททัน แบบนี้เราจะได้ใช้ gravity assist จากดาวพฤหัสบดีเพื่อเร่งความเร็วและลดการใช้พลังงานได้มาก
ซึ่งข้อดีก็คือถ้าเราล้มเหลวจากการบุกเบิกไททัน เราก็ยังเหลือโอกาสสุดท้ายนั่นก็คือมีพลังงานเพียงพอที่จะบินไปยังแถบไคเปอร์และสำรวจดูได้ว่ากลุ่มดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางที่แถบไคเปอร์มีทรัพยากรแร่มากหรือไม่ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเสี่ยงโชคเท่านั้น เพราะเรายังใหม่มากสำหรับแถบไคเปอร์” ติงต้าเฉิงกล่าว
ทุกคนต่างพยักหน้าพร้อมกัน ในฐานะผู้นำอุทยานวิทยาศาสตร์ระดับสูง พวกเขาย่อมไม่ใช่พวกอ่อนหัด แต่ก็ยังพอรู้เกี่ยวกับแถบไคเปอร์อยู่บ้าง
ที่เรียกว่าแถบไคเปอร์นั่นเป็นเพราะระบบสุริยะอยู่นอกวงโคจรดาวเนปจูน (ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 30 หน่วยดาราศาสตร์) พื้นที่รูปแผ่นดิสก์กลวงใกล้ระนาบสุริยวิถีมีวัตถุทางดาราศาสตร์ที่หนาแน่น
นั่นก็คือเขตกั้นระบบสุริยะจักรวาล
มันถูกเสนอโดย Edgeworth ซึ่งเป็นอดีตนักดาราศาสตร์ชาวไอริชและมีเจอราร์ด ปีเตอร์ ไคเปอร์(GPK)เป็นผู้พัฒนาแนวคิดนี้
แน่นอนว่าหลังจากการวิจัยมาหลายปีก็พบว่าแถบไคเปอร์เต็มไปด้วยวัตถุที่เป็นน้ำแข็งขนาดเล็กซึ่งเป็นเศษซากของเนบิวลาสุริยะยุคดึกดำบรรพ์ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดของดาวหางคาบสั้น
ตามทฤษฎีน่าจะมีทรัพยากรแร่ธาตุจำนวนมาก
แต่นี่เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ไม่ได้จะหาผลประโยชน์ได้ง่ายๆ
ดังนั้นคราวนี้มนุษย์จึงจัดหาทรัพยากรบนไททันได้เท่านั้น
หลังจากประชุมเสร็จลู่เฉินก็กลับไปพักผ่อน อันที่จริงเขาง่วงบ้างเล็กน้อย
ส่วนเรื่องอื่นแน่นอนว่าให้สถาบันวิทยาศาสตร์ของติงต้าเฉิงไปจัดการ
ตัวอย่างเช่น ดาวเทียมประดิษฐ์ ดาวเทียมสื่อสาร ดาวเทียมสภาพอากาศ ดาวเทียมสังเกตการณ์เป็นต้น ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้เป็นดาวเทียมที่สร้างโดยมนุษย์
การเตรียมการเบื้องต้นคราวนี้พวกเขาวางแผนที่จะสร้างดาวเทียมประดิษฐ์จำนวน 28 ลำเพื่อตรวจสอบไททันในทุกสภาพอากาศและทุกทิศทาง จากนั้นก็ส่งรถแลนด์โรเวอร์และหุ่นยนต์ลงไปสำรวจก่อน แล้วค่อยส่งทีมแนวหน้าประมาณ 10 คนไปตรวจสอบ
หลังจากพิจารณาแล้วว่าไททันปลอดภัยก็ถึงจะส่งพวกคนงานอีกหลายคนตามลงไป
ครั้งนี้ลู่เฉินหลับไป 17 ชั่วโมง เขาลุกมาอาบน้ำโดยมีหลินอี้จุนไปช่วยทำอาหารให้เขา
“พ่อคะ” เมื่อฉีฉีที่กำลังอ่านหนังสือเห็นลู่เฉินออกมาจากห้องก็วิ่งเข้าไปหา
ไม่ทันไรฉีฉีก็ 10 ขวบแล้ว ถ้าเธอยังอยู่บนโลก เธอจะอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หรือ 6
“ช่วงนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง” ลู่เฉินลูบผมเธอพลางยิ้มบางๆ
“อืม จริงด้วย พ่อคะ หนูได้ยินแม่บอกว่าเป้าหมายต่อไปของยานอวกาศซี-หวั้งของเราคือไปไททัน ไททันใหญ่เท่าดวงจันทร์ไหมคะ?” ฉีฉีถามด้วยความสงสัย
เธอถามคำถามนี้กับหลินอี้จุนผู้เป็นแม่เมื่อวานนี้แล้ว แต่ปกติหลินอี้จุนมักจะไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกจักรวาลดวงดาว ดังนั้นเมื่อถูกเธอถามก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร
“อืม ไททันใหญ่กว่าดวงจันทร์ มันเป็นดาวบริวารที่ใหญ่เป็นอันดับสองของระบบสุริยะ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4,828 กิโลเมตร ส่วนดวงจันทร์มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3,476 กิโลเมตร” ลู่เฉินเดินไปนั่งที่โซฟาและกล่าว
“งั้นดาวที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะคือดาวอะไรคะ?” ฉีฉีถามอีกครั้ง
“ก็คือแกนีมีด มันมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5262 กิโลเมตร” ลู่เฉินยิ้มตอบ
“หนูฟังคุณปู่หยุนเล่าว่าดาวพฤหัสบดีอยู่ใกล้เรามากกว่า แต่แกนีมีดเป็นดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุด แล้วทำไมเราไม่ไปแกนีมีดเพื่อหาทรัพยากรกันล่ะคะ?” ฉีฉีมองไปทางลู่เฉินด้วยความสงสัยราวกับเด็กน้อย
“เพราะแกนีมีดไม่มีทรัพยากรที่เราต้องการไงล่ะ และอีกอย่างสนามแม่เหล็กบนแกนีมีดก็ไม่เสถียร ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบต่อต้านแรงโน้มถ่วงได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องไปไททัน” ลู่เฉินอธิบายอย่างใจเย็น
เมื่อโตขึ้น ฉีฉีจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆมากขึ้น ความสงสัยก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆและมีคำว่าทำไมอยู่หลายคำถามของเด็กน้อย
โดยหลักเป็นเพราะลู่เฉินยุ่งมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา จึงไม่มีเวลาอยู่กับพวกเธอมากนัก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคุณยายของฉีฉี หลินอี้จุนหรือท่านหยุนก็ยากที่จะตอบคำถามแปลกๆที่ฉีฉียกขึ้นมาถามได้
ฉีฉีเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับดวงดาวในจักรวาล แม้จะเพิ่ง 10 ขวบ แต่เธอก็เฝ้าสังเกตดวงดาวจากกล้องโทรทรรศน์ด้วยตัวเองทุกคืน ดังนั้นคำถามที่เธอหยิบยกมาจึงเกี่ยวข้องกับดวงดาวในจักรวาล
ในขณะที่สองพ่อลูกผลัดกันถามตอบ หลินอี้จุนก็ทำอาหารเสร็จแล้ว
“วันนี้ตอนที่ฉันไปเดินที่ชั้นสาม ได้ยินผู้คนมากมายพูดคุยเกี่ยวกับการชดเชยให้กับทหารที่เสียสละในครั้งนี้ ตอนนี้ทุกคนกังวลว่ารัฐบาลใหม่จะชดเชยให้กับครอบครัวของทหารที่เสียสละหรือไม่” หลินอี้จุนพูดขึ้นมาในขณะที่ทานอาหาร