ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 494 ซากทัพแห่งจักรพรรดิสูงส่ง

ตอนที่ 494 ซากทัพแห่งจักรพรรดิสูงส่ง

ฉินมู่วางแผนการเป็นมั่นเหมาะ และเขาหยุดที่ระยะห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ หีบและกิเลนมังกรอยู่ติดกันข้างๆ เขา

หนึ่งร้อยลี้นั้นไกลเพียงพอ ถึงแม้ว่าพลานุภาพของกับดักนี้จะร้ายกาจ แต่มันก็คงยากที่จะคุกคามชีวิตของพวกเขาจากระยะห่างขนาดนี้

ฉินมู่กอบทรายเหลืองขึ้นมากำหนึ่งและเป่าออกไปเบาๆ ทรายพวกนี้ก็ก่อตัวกันขึ้นมาเป็นมนุษย์ทรายขนาดสามนิ้วที่ยืนอยู่กับพื้น

‘ยักษ์ทราย’ นี้อ้าปากของมันร้องคำรามออกไปอย่างเกรี้ยวกราด ทรายเหลืองรอบๆ ร่างท่อนล่างของมันปั่นหมุนเป็นเกลียววน และยักษ์ทรายตัวเล็กก็พุ่งตรงไปยังหน้าผาภูเขาอันอยู่ห่างไปหนึ่งร้อยลี้ เต็มไปด้วยจิตสังหารดาลเดือด

กิเลนมังกรเต็มไปด้วยความคาดหวังตื่นเต้น แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง ความคาดหวังของเขาก็เหือดหายไป เขายังคงจ้องมองไปยังที่ไกลๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหน้าผา

ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนหัวของเขาและมองยังที่ไกลๆ อัน ‘ยักษ์ทราย’ ตัวเล็กจิ๋วหลิวกำลังกลิ้งข้ามเนินทรายและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไปยังหน้าผา

กิเลนมังกรอ้าปากหาวและปลุกปลอบจิตใจตนขึ้นมา “จ้าวลัทธิ มันไปเกือบจะถึงแล้วใช่ไหม”

ฉินมู่คิดคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าว “ประมาณหนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น มันจึงจะไปถึงที่นั่น”

กิเลนมังกรหมอบลงไปและพึมพำ “เช่นนั้นข้าขอนอนหลับสักประเดี๋ยว เรียกข้าด้วยนะตอนที่มันไปถึงแล้ว”

ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ฉินมู่ก็เตะสัตว์ยักษ์ตัวนี้ให้ตื่นขึ้นมา และกิเลนมังกรก็รีบลุกขึ้นพลางถามอย่างตื่นเต้น “มันไปถึงแล้วหรือ”

“มันจะไปถึงในเวลาครึ่งก้านธูป!” ฉินมู่ยิ้มกล่าว “พวกเราเหาะขึ้นไปบนอากาศกันเสียก่อน หากว่าเกิดอะไรขึ้นมา จะได้หนีกันได้ง่ายๆ!”

หีบไต่ขึ้นมาบนหลังกิเลนมังกรเช่นกัน เจ้าอ้วนนี้พลันเหยียบขึ้นไปบนเมฆอัคคีเพื่อเหาะเหินสู่ห้วงเวหา พลางมองไปยังทิศไกลๆ จากระยะหนึ่งร้อยลี้ สามารถมองเห็นสิ่งเล็กจิ๋วที่รีบเร่งเดินทางไปยังหลักจารึกหินพลางร้องคำรามอย่างดุร้าย หากว่าไม่เพราะสายตาที่ดีของเขาเขาก็คงอาจแยกแยะมันกับทรายรอบๆ ไม่ออก

ในทางกลับกัน ฉินมู่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ยักษ์ทรายตนนี้คำรามอยู่ครึ่งค่อนวัน และในที่สุดก็ไปถึงโคนหลักศิลาจารึก และยังคงเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา

จากนั้น มันก็พยายามอย่างเต็มกำลังที่จะโกยทรายออกไปพลางร้องโฮกๆ

ฉินมู่พูดอะไรไม่ออก กิเลนมังกรอ้าปากหมายจะกล่าวอะไรสักอย่าง แต่เขาก็หุบปากลงไปและรออย่างเงียบกริบ เขาคิดอยู่กับตนเอง หากว่าข้าไม่ระวังไวและกล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าเดาว่าพรุ่งนี้ข้าอาจจะไม่มีอะไรกิน

ผ่านไปครู่หนึ่ง ยักษ์เนินทรายก็ขุดทรายจนเป็นหลุมเล็กๆ และถ้อยคำข้างใต้หลักศิลาก็เผยออกมาในที่สุด ไม่ทันที่ฉินมู่จะมองเห็นว่ามันเขียนไว้อย่างไร ผืนทรายก็เผยอกระเพื่อมในหลุมทรายราวกับสายรุ้งที่พุ่งผงาด ถล่มท่วมยักษ์ทรายตัวน้อย

ไม่เพียงแต่มันจะถูกกลืนเข้าไป พื้นที่ในรัศมีหลายสิบลี้โดยรอบก็แปรเปลี่ยนเป็นสนามสังหารอันน่าสะพรึงกลัว ทรายเหลืองโหมเห่อขึ้นมาและคลี่คลุมทั้งทะเลทรายราวกับโดมดินเหลือง จากข้างในโดมดินเหลืองนี้มีเสียงของมีดมากมายร้องคำราม!

ขนและเกล็ดของกิเลนมังกรชี้ชูชันทั่วทั้งตัวจากความตื่นตระหนก แม้แต่ฉินมู่ก็รู้สึกขนหัวลุกเต็มเหยียด

กับดักนี้ถึงกับน่าสยดสยองเสียยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ โชคยังดีที่เขาระวังตัวเอามากๆ และคะเนว่าควรจะออกไปห่างสักร้อยลี้ก่อนค่อยกระตุ้นการทำงานของมัน

ในโดมทรายเหลือง แสงมีดโบยบินไปทั่วทุกทิศทาง ตัด ฟัน ผ่า และเฉือน การเปลี่ยนแปลงทุกชนิดทุกแบบเติมเต็มไปทั้งพื้นที่รัศมีหลายสิบลี้นี้!

“เพลงมีดแบบนี้…”

ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย เขาพลันมีสังหรณ์ร้าย ราวกับว่าเขาเคยเห็นของแบบนี้มาก่อน!

แต่มิได้เห็นในสันตินิรันดร์ มันเป็นเมื่อคืนนี้ ค่ำคืนของห้วงเวลาเมื่อสามสี่หมื่นปีก่อน เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มนามลั่วอู๋ชวงแห่งทัพหลิงซิ่วของสภาสวรรค์!

เพลงมีดที่ลั่วอู๋ชวงได้ร่ายรำออกมา มีความคล้ายคลึงกับแสงมีดในหลุมทราย!

“ไอ้หนุ่มแขนเดียวนั่นยังมีชีวิตอยู่หรือ ไหนผู้สูงศักดิ์ว่าไอ้เด็กนั่นคงไม่รอดชีวิตนานขนาดนี้หรอก และข้าไม่จำเป็นต้องกังวล…”

ฉินมู่ระเบิดหัวเราะ แต่รอยยิ้มของเขาค่อยๆ แข็งทื่อ ไม่นานสีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ

กับดักทักษะเทวะที่ลั่วอู๋ชวงจัดวางเอาไว้ที่นี่ทรงพลังอย่างยิ่ง มันทรงพลังอย่างเหลือเชื่อขนาดที่ว่าซิงอ้านอาจจะยังไม่มีพลังวัตรอันไร้ประมาณระดับนี้

นี่หมายความว่าไม่เพียงแต่ลั่วอู๋ชวงจะยังคงมีชีวิตอยู่ เขายังมีชีวิตที่ดีอีกด้วย เขาดูเหมือนจะกลายเป็นแข็งแกร่งอย่างสุดๆ เป็นเทพเจ้า!

เขาคงจะเก็บความแค้นที่โดนสะบั้นแขน และเมื่อครั้งหนึ่งมาเจอกับหน้าผานี้เข้าหลังจากที่บรรลุเป็นเทพเจ้าแล้ว เมื่อเขาเห็นลายมือของฉินมู่ เขาก็ได้ทิ้งหลักหินจารึกเอาไว้

หากว่าฉินมู่เสาะหาที่นี่พบ เขาก็คงจะต้องอยากรู้อยากเห็นว่าบนหลักจารึกนี้มีอะไรเขียนเอาไว้ และจะต้องประสบเภทภัยจากการโจมตี!

ข้าไม่น่าพูดชื่อจริงเลย น่าจะใช้ชื่อปลอมมากกว่า…แต่ถึงอย่างไร เรื่องดีๆ ก็คือพวกเราสองคนสามารถแบกรับเคราะห์ร้ายร่วมกัน ลั่วอู๋ชวงนั้นเจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไป ผู้สูงศักดิ์ก็โดนข้าตัดขา และตัดขาข้างเดียวกันซ้ำถึงสองครั้ง แต่เขาไม่เห็นจะว่าอะไรข้า

ทักษะเทวะที่ลั่วอู๋ชวงทิ้งเอาไว้มิได้คงอยู่นานนัก และไม่นานพลานุภาพของมันก็กระจัดกระจายไป ทรายเหลืองบนท้องฟ้าก็ถูกเฉือนป่นจนป็นฝุ่นละอองอันคลุ้มไปในอากาศ ล่องลอยไปทั่วทิศทางตามแต่ลมจะโบกโบยไป

ฉินมู่หรี่ตา ลอบตื่นตระหนก

เมื่อค่ำวานนี้ เมื่อเขาและลั่วอู๋ชวงปะทะกัน แม้ว่าเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงจะเพริศแพร้วพิสดาร แต่มันก็ยังคงต่ำชั้นกว่าเขา

ลั่วอู๋ชวงใช้เพลงมีดแยกร่าง หนึ่งแยกเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด ฯลฯ เมื่อเพลงมีดเช่นนี้แยกเป็นครั้งที่สิบ มันก็จะเกิดหนึ่งพันยี่สิบสี่แสงมีด เมื่อมันแยกไปจนถึงครั้งที่สิบสี่ มันก็จะมากถึงหนึ่งหมื่นหกพัน

กระนั้นเพลงมีดนี้ก็มีช่องโหว่อันใหญ่หลวง และนั่นก็คือพลังวัตรของลั่วอู๋ชวงมีขอบเขตจำกัด ยิ่งแสงมีดแยกร่างออกไปมากเท่าไร พลานุภาพของแต่ละรังสีก็ยิ่งลดทอนลงไปมากเท่านั้น ยิ่งแยกมากไปเท่าไร ก็ยิ่งมีพลังคุกคามน้อยลงไปเท่านั้น

ลั่วอู๋ชวงสามารถแสดงความเขื่องโขต่อหน้ายอดฝีมืออื่นๆ แต่เมื่อต้องเผชิญกับผู้คนเช่นฉินมู่ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเชิงกระบี่และเชิงมีดในเวลาเดียวกัน เขาก็ยากจะเอาชัยได้เปรียบ

เพราะเช่นนั้น ถึงแม้ว่าพลังวัตรของฉินมู่จะแทบเหือดแห้งไปหมดแล้ว และก็กำลังบาดเจ็บ ฉินมู่ก็ยังคงสามารถสะบั้นแขนของเขาไปข้างหนึ่งได้

แต่ในตอนนี้ ฉินมู่พบว่ามีดของลั่วอู๋ชวงได้ยกระดับขึ้นมาถึงเขตขั้นอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ

ในรัศมีหลายสิบลี้ ทรายเหลืองปลิวว่อนไปทั่วฟ้า แต่อันตรายที่แท้จริงอยู่ในแสงมีดที่ซุ่มซ่อนในเม็ดทราย

ราวกับว่าทุกหนทุกแห่งในเขตรัศมีหลายสิบลี้มีแสงมีดอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ดูราวกับว่ามีเพียงมีดเล่มเดียว หาใช่หลายต่อหลายมีดอย่างเช่นที่เขาพบพานตอนที่ปะทะกับเพลงมีดแยกร่าง

เมื่อแสงมีดเฉือนตัดเม็ดทรายทั้งหลาย มันคงจะสะท้อนและกระเด้งออกไป เพราะความเร็วของมันสูงล้ำจนเกินเหตุ มันจึงสร้างภาพลวงตาว่าเกิดแสงมีดเต็มไปหมดทุกหนทุกแห่ง กระนั้นจริงๆ แล้ว ลั่วอู๋ชวงได้ฟันมีดไปเพียงครั้งเดียว!

ฉินมู่เดาว่าหลังจากที่ลั่วอู๋ชวงบรรลุเป็นเทพเจ้าและได้มาที่นี่ เขาได้เห็นถ้อยคำที่ฉินมู่ทิ้งเอาไว้บนกำแพงหิน จากลายมือ เขาจดจำเพลงกระบี่ของฉินมู่ได้ และตัดสินใจที่จะตั้งหลักจารึกหินเอาไว้

ระหว่างที่ยืนหน้าหลักศิลา เขาคงจะฟันมีดฝังลงไปในทรายเหลือง ซ่อนเจตจำนงและทักษะเทวะของมันเอาไว้ในทะเลทราย!

หลายปีต่อมา เมื่อฉินมู่มาถึงสถานที่นี้และกระตุ้นการทำงานของมัน พวกมันก็จะระเบิดออกมาด้วยพลานุภาพอันร้ายกาจ!

หางตาของฉินมู่กระตุก และเขาเดินเข้าไปในฝุ่นคลีอันคลุ้งตลบ เขาฝ่าอากาศอันยากจะหายใจและเดินตรงไปยังหน้าผา

เพลงมีดของลั่วอู๋ชวงได้บรรลุถึงเขตขั้นมรรคาเต๋า และเหมือนกับราชครูสันตินิรันดร์ เขานั้นเป็นตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวในเขตขั้นเต๋า!

สามารถบรรลุเต๋าด้วยมีด ปฏิภาณความเข้าใจของเขาในเต๋าแห่งมีดจะต้องไม่ด้อยไปกว่าคนแล่เนื้อ ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือพลังวัตรของเขาย่อมเข้มข้นและเหนือล้ำกว่าคนแล่เนื้อไปหลายต่อหลายขุม!

ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย หน้าผาตรงหน้าเขายังอยู่ที่นี่ และถ้อยคำที่เขาเขียนเอาไว้ก็ยังอยู่ดี หน้าผาไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิด มันดูราวกับว่าทักษะเทวะของลั่วอู๋ชวงจงใจหลีกเลี่ยงมัน

ฉินมู่ไม่คิดอะไรมากความ และมองไปที่หลักศิลาจารึก

ถ้อยคำบนหลักจารึกเผยออกมา แต่ที่ตามมามิใช่ ‘กลบฝังไว้ที่นี่’ ดังที่ฉินมู่คาดเดา มันกลับเป็นประโยคอื่นๆ ที่เขียนไว้ด้วยลายมืออันคล้ายคลึงกัน

“เจ้าคิดว่านี่คือกับดัก เจ้าคิดว่าเพลงมีดของข้าที่นี่มีไว้เพื่อสังหารเจ้า งั้นหรือ ผิดแล้ว ต่อให้เจ้ายืนอยู่ตรงนี้ เจ้าก็จะไม่เป็นอะไรแม้รอยขีดข่วน”

“ข้ารอเจ้าอยู่ จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ ข้าได้ผ่านกาลเวลาสองหมื่นปี ตลอดทั้งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง กระนั้นข้าก็ไม่เคยพบร่องรอยของลัทธินักบุญสวรรค์ นั่นจนกระทั่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งสิ้นสุดไป”

“ซากทัพแห่งจักพรรดิก่อตั้งได้สถาปนาลัทธินักบุญสวรรค์ขึ้นมา และถึงตอนนั้นข้าจึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าบุคคลที่ข้ารออยู่นั้นมิได้มีตัวตนอยู่ในอดีต แต่ดำรงอยู่ในอนาคต!”

“ลัทธินักบุญสวรรค์มีคำว่า ‘นักบุญ’ แต่อันที่จริงแล้วกลับเดินไปในมรรคามาร จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ฉินมู่ ที่แท้แล้วก็คือจ้าวลัทธิมารฟ้าฉินมู่!”

“เมื่อใดที่เจ้ากระตุ้นกับดักของข้า ทักษะเทวะนี้ก็จะบอกเตือนข้าว่าเจ้าอยู่ที่นี่! ข้าได้รอเจ้ามาตั้งนานแล้ว…”

ฉินมู่สีหน้าเคร่งเครียดทันทีและระบายลมหายใจสะท้าน เขากระโดดขึ้นหลังกิเลนมังกรและตะโกน “ไปเร็วเข้า! พวกเราอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว!”

กิเลนมังกรรีบวิ่งตะบึงออกไป และหีบก็ตามพวกเขาไปด้วยราวกับว่ากำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด

ใบหน้าของฉินมู่กลายเป็นเยือกเย็นและสงบนิ่ง

มันไม่ใช่กับดัก

แม้ว่ามันจะดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่กับดักนั้นก็เพียงแค่ว่าลั่วอู๋ชวงจะสัมผัสได้ถึงการกระตุ้นเร้าทักษะเทวะของเขา และก็จะรู้ว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าได้มาถึงแล้ว มันก็เพียงเท่านั้น!

ลั่วอู๋ชวงเป็นตัวประหลาดเฒ่าที่ดำรงชีวิตมานานสามสี่หมื่นปี และคิดแค้นฉินมู่ที่สะบั้นแขนของเขามาตั้งแต่ช่วงเวลาอันยาวนานนั้น สำหรับฉินมู่ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แต่สำหรับเขา มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามสี่หมื่นปีก่อน!

เขาเก็บงำความแค้นมานาน แต่กับดักที่เขาวางเอาไว้มิได้ใช้เพื่อสังหารฉินมู่ หากแต่บอกเตือนเขาถึงการปรากฏตัวเท่านั้น ลั่วอู๋ชวงน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!

เขาสร้างกับดักนี้ขึ้นมาเพียงเพื่อว่าเขาจะได้มาเก็บเกี่ยวชีวิตของฉินมู่ด้วยมือตนเอง!

ฉินมู่นำหีบหลบหนีไปไกลตลอดทั้งบ่าย ขณะที่ดวงตะวันร่วงลงไปทางทิศตะวันตกมากขึ้นทุกที ดวงตะวันในทะเลทรายไม่เหมือนกับในสันตินิรันดร์ และทั้งโลกแห่งนี้ก็ดูไม่เหมือนกัน

พวกเขาวิ่งตะบึงอย่างไม่คิดชีวิตผ่านทะเลทราย แต่ดูเหมือนมันทอดยาวไกลไม่รู้จบ มองไม่เห็นขอบฟ้า มองไม่เห็นเขตสิ้นสุด

ฉินมู่ไม่อาจเสาะหาพบแม้แต่รอยแยกที่พวกเขามุดเข้ามา

เหงื่อหยาดหยดจากหน้าผากของเขา หากว่าเขาเดินออกไปจากที่นี่ไม่ได้ เขาก็คงจะตายในสถานที่ผีสางนี่เสียก่อนที่ลั่วอู๋ชวงจะมาคร่าชีวิตเขาเสียอีก!

เขาอาจจะตายจากความกระหาย ความหิว หรือกลายเป็นเสียสติจากความโดดเดี่ยว หรือแม้แต่ตายจากความชรา

อย่าแตกตื่น อย่าแตกตื่น คิดสิ…

เขาทำใจให้สงบและคิดย้อนถึงเส้นทางที่พวกเขาได้เข้ามา ในทะเลทรายกว้างใหญ่เส้นทางที่พวกเขาเข้ามาได้สาบสูญไปนานแล้ว แม้ว่าเขาจะเจอมันเขาก็ไม่อาจย้อนรอยไปได้อยู่ดี

ซิงอ้านตามพวกเรามาไม่ทัน ดังนั้นเขาจะต้องไปดักรอที่ทางเข้ารอยแยกอย่างแน่นอน หมายที่จะให้ข้าส่งตัวเองป้อนเข้าปากเขา ฉินมู่ประกายตาวูบวาบ และเขาเงยศีรษะขึ้น ที่ต้นธารแม่น้ำหย่ง อันมีหน้าผาขาดทอดเหยียดยาวจากทิศตะวันออกถึงตะวันตกของแดนโบราณวินาศ ข้าเห็นท้องฟ้าห้าชั้นซ้อนทับกัน! นี่หมายความว่ามีเส้นทางออกทางอื่นอยู่ในโลกนี้ และข้าก็จะสามารถกลับไปยังแดนโบราณวินาศผ่านเส้นทางเหล่านั้นได้!

ชั้นต่างๆ ของวงจรพยุหะปรากฏหมุนวนในดวงตาของเขา เมื่อเขาขี่ไปโดยไม่ควบคุมบังคับ ปล่อยให้กิเลนมังกรวิ่งไปทางทิศตะวันตกระหว่างที่เขาจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

เมื่อราตรีมาถึง กิเลนมังกรไม่กล้าออกหน้า ดังนั้นเขาจึงกระโดดขึ้นไปบนหีบ โดยมีฉินมู่ขี่อยู่บนหลังของเขาอีกที เด็กหนุ่มยังคงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดสนิท หีบได้เดินทางข้ามเนินทรายลูกแล้วลูกเล่าและเดินทางต่อไปยังทิศไกลๆ

เมื่อทิวาผันเวียนกลับมาใหม่อีกครั้ง ฉินมู่ก็ดูทรุดโทรมเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาแดงซ่านไปหมด แต่เขาก็ยังคงจ้องมองท้องฟ้าโดยไม่ละสายตาไปแม้แต่นิดเดียว

ในที่สุดเขาก็เห็นก้อนเมฆ

โลกมิติที่พวกเขากำลังอยู่นี้คือทะเลทรายอันไร้สิ้นซึ่งไอน้ำ แต่กระนั้นกลับมีเมฆก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ตอนแรกมันดูเล็กๆ แต่มันขยายใหญ่มากขึ้นทุกทีๆ เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้!

ฉินมู่จิตใจฟ่องฟูขึ้นมา และเขากระโดดขึ้นๆ ลงๆ พลางหัวเราะร่า “สวรรค์ไม่เคยปิดกั้นหนทางผู้คน มีก็แต่ผู้คนที่ปิดกั้นหนทางตนเองโดยละทิ้งความหวัง! ข้าไม่เคยยอมแพ้ ดังนั้นข้าจึงสามารถหาทางรอดได้!”

เขาวางหีบไว้บนหลังกิเลนมังกรผู้ซึ่งเหินทะยานขึ้นไปยังก้อนเมฆ

เมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น แสงเทวะก็สาดส่องมาจากหน้าผา อีกฝั่งหนึ่งของมันคือโลกอันเปี่ยมไปด้วยสีสันและเต็มไปด้วยพืชพรรณอันสูงตระหง่าน และมวลดอกไม้อันสดสี

แสงเทวะไหลบ่าออกมาจากผนังผาราวกับน้ำตก เชื่อมต่อสองโลกเข้าด้วยกัน

รูปเงาของเด็กสาวผู้หนึ่งก้าวเดินมาบนบุปผาจากโลกอื่นและมองไปยังถ้อยคำบนหน้าผาพลางพึมพำกับตนเอง “อีกสองร้อยปีก็จะครบสี่หมื่นปี แต่เจ้าน่าจะถือกำเนิดขึ้นมาแล้วสินะ? ข้ายังรอเจ้าอยู่”

ใบหน้าของนางมีวี่แววของความข่มขื่นที่ซ่อนงำเอาไว้ระหว่างที่กล่าวด้วยเสียงเบา “ข้าได้มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว แต่ตลอดเกือบสี่หมื่นปีมานี้ ข้าไม่เคยลืมเจ้าเลย…ข้าไม่กล้าที่จะเติบโตไปจากเดิม ด้วยกลัวว่าเจ้าจะจำข้าไม่ได้…”

ทันใดนั้น หลักศิลาจารึกข้างๆ ก็ลอยขึ้นมาและเกิดเสียงสะท้อน เมื่อก้อนหินแตกแยกออกจากกัน ก่อขึ้นเป็นซุ้มประตูโค้ง

“จ้าวลัทธิมารฟ้าฉินมู่ การรอคอยของข้าสิ้นสุดลงเสียที!” เงาร่างคนผู้หนึ่งที่มีแขนข้างเดียวปรากฏที่อีกฝั่งประตูโค้งด้วยมีดยาวที่สะพายอยู่กลางหลัง ชายผู้นั้นหัวเราะ แต่ดูเหมือนกำลังร่ำไห้คร่ำครวญเสียมากกว่า

เมื่อสายตาของเด็กสาวในแสงเทวะ และชายแขนเดียวมาสบกัน ทั้งสองฝ่ายก็สะท้านใจอย่างรุนแรง

“ซากทัพจากยุคจักรพรรดิสูงส่ง!”

“มารร้ายนอกโลก!”

……………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน