ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 504 แหล่งที่มาเดียวกัน

ตอนที่ 504 แหล่งที่มาเดียวกัน

ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด และยืนตะลึงอยู่หน้าหลักศิลา ตำนานแห่งกายาจ้าวแดนดิน? จากเมื่อสี่หมื่นปีก่อน?

ไม่ใช่ว่ากายาจ้าวแดนดินคือเรื่องที่เขากุขึ้นมาเพื่อหลอกฉินมู่และผู้คนในหมู่บ้านหรอกหรือ

โลกนี้มีกายาจ้าวแดนดินอยู่จริงๆ น่ะหรือ

ไม่ๆ! มันต้องมีอะไรผิดพลาด! บางทีกายาจ้าวแดนดินจากสี่หมื่นปีที่แล้ว อาจจะไม่เหมือนกายาจ้าวแดนดินที่ข้าอธิบายเอาไว้!

หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ และความคิดทุกอย่างมากมายก็ท่วมท้นเขา แต่ผู้ใหญ่บ้านก็คือผู้ใหญ่บ้าน ดังนั้นไม่นานเขาก็ทำใจปลอดโปร่งได้ บางที นี่อาจจะเป็นกายาวิญญาณชนิดหนึ่ง และในเมื่อมันแข็งแกร่งจนเกินไป มันถึงถูกผู้คนเรียกว่ากายาจ้าวแดนดิน กายาจ้าวแดนดินนี้ก็จะต้องแตกต่างจากกายาจ้าวแดนดินที่ข้ากุขึ้นมาโดยสิ้นเชิง!

เขาปลุกปลอบตนเองและมองไปยังหลักศิลา

จารึกบนนั้นเขียนไว้โดยใช้ภาษาของเผ่ามังกร ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านจึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากบรรพชนแรก “มันเขียนว่าอย่างไรหรือ ภาษาของเผ่ามังกรนั้นลึกล้ำและยากจะเข้าใจ ทั้งข้ายังมิเคยได้เรียนมันมาก่อน”

บรรพชนแรกมิได้ถือตัวและกล่าว “ที่เขียนไว้ก็คือก่อนจักรพรรดิสูงส่งจะถูกล้มล้าง ตระกูลป๋ายแห่งเผ่ามังกรได้พบกับเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งเรียกตนเองว่ากายาจ้าวแดนดิน เขานั้นมีพรสวรรค์ในศาสตร์สาขาหลากหลายและสามารถทำสิ่งที่ผู้อื่นมิอาจกระทำได้ เขานั้นไร้เทียมทานในรุ่นเดียวกัน เขามีความเจิดจ้าทรงเสน่ห์ และพรสวรรค์ของเขาก็ไร้ผู้ต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นเพลงกระบี่หรือทักษะเทวะ พวกมันก็เหนือล้ำกว่ายุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งไปอย่างก้าวกระโดด”

“ดังนั้น พวกเขาจึงถามเขาว่าอะไรคือกายาจ้าวแดนดิน เด็กหนุ่มจึงอธิบายว่ากายาจ้าวแดนดินนั้นไร้ผู้ต่อต้าน ก่อนที่ทารกวิญญาณจะตื่นขึ้นมา มันก็จะดูเหมือนกายธรรมดา แต่เมื่อมันตื่นขึ้น มันก็จะได้รับพลานุภาพอันมหัศจรรย์ และเลิศล้ำเหนือรุ่นเดียวกัน ทั้งยังมีพรสวรรค์อันเหนือธรรมดา”

หางตาของผู้ใหญ่บ้านกระตุก ฉินมู่นั้นแตกต่างจากกายาวิญญาณอื่นๆ เพราะว่าเขามิใช่กายาวิญญาณเลยสักนิด กายาวิญญาณนั้นจะมีสมบัติทารกวิญญาณที่ถูกปลุกเปิดขึ้นมาแต่กำเนิดแล้ว แต่สมบัติเทวะทารกวิญญาณของฉินมู่ถูกปิดเอาไว้!

สมบัติเทวะทารกวิญญาณของคนธรรมดาสามัญจะถูกปิดเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาไม่อาจฝึกวรยุทธได้

ในทางตรงข้าม ภายใต้คำโกหกของผู้ใหญ่บ้าน และการร่วมแรงของสมาชิกหมู่บ้าน ฉินมู่ก็ได้เปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณอันไม่อาจถูกเปิดออกมาได้ จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็พัฒนารุดหน้าไปด้วยความเร็วปานเทพยดา และเผยการพัฒนาที่ไวอย่างยิ่งยวด!

สถานการณ์เช่นนี้กลับคล้ายคลึงกับที่เขียนไว้บนหลักจารึกหินเข้าจริงๆ!

มันจะต้องเป็นเรื่องบังเอิญ

ผู้ใหญ่บ้านตั้งตัวและฟังที่บรรพชนแรกกล่าวต่อไปอีกครั้ง

“…เมื่อกายาจ้าวแดนดินฝึกวรยุทธ มันก็จะก้าวล้ำนำหน้ากายาวิญญาณอื่นๆ ไปอย่างใหญ่หลวง ปฏิภาณความเข้าใจของกายานี้โดดเด่นไม่ธรรมดา สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้โดยพลัน และตรึกตรองผ่านการเทียบเคียง อนุมานหลักการมากมายจากกรณีเดียว กายาจ้าวแดนดินไร้เทียมทาน แต่ก็ยังคงมีศัตรูอยู่ในโลก เป็นสิ่งที่เรียกว่ากายาจ้าวแดนดินปลอม”

ผู้ใหญ่บ้านสลัดหัวและโพล่งออกมา “อะไรนะ”

“ที่เขียนไว้บนนี้คือว่า แม้กายาจ้าวแดนดินจะไร้เทียมทาน แต่ก็ยังมีกายาจ้าวแดนดินปลอมที่เป็นศัตรูของมัน” บรรพชนแรกอธิบายอย่างใจเย็น “มันเขียนไว้ว่ากายาจ้าวแดนดิน และกายาจ้าวแดนดินปลอมต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงโชคชะตา พวกเขามีความเชื่อมโยงเร้นลับระหว่างกัน กายาจ้าวแดนดินปลอมจะต่อสู้กับกายาจ้าวแดนดินแท้ เพื่อช่วงชิงชะตาวาสนา ทำให้พวกมันกลายเป็นกายาจ้าวแดนดินแท้”

“พิสดารอะไรอย่างนี้ ทำไมถึงมีกายาที่มหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อแบบนี้ได้ ข้าละอายที่จะกล่าว แต่เมื่อข้าได้ยินเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดินในอดีต ข้ามองว่ามันเป็นเพียงตำนานเล่าขาน ไม่เคยคิดว่าตำนานเล่าขานนี้จะเป็นเรื่องจริง”

ผู้ใหญ่บ้านความคิดกระเจิดกระเจิง แต่ผ่านไปสักพัก เขาก็กลับมาได้สติและพูดตะกุกตะกัน “บะ-บรรพชนแรก ท่านเคยได้ยินตำนานแห่งกายาจ้าวแดนดินมาก่อนหรือ”

บรรพชนแรกผงกหัว “ข้าเคยได้ยินมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่ข้าไม่เคยเห็นกายาจ้าวแดนดินเลย ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันเป็นเพียงตำนาน” สีหน้าของเขาพิลึกประหลาด “แต่กลับมีกายาจ้าวแดนดินตัวเป็นๆ ที่โดดเด่นขนาดนี้อยู่จริงๆ ด้วย”

ผู้ใหญ่บ้านเงียบกริบ เขาพลันรู้สึกว่าว่าโลกนี้สะพรั่งไปด้วยอุบายและแตกต่างจากที่เขาเข้าใจ

หรือว่ากายาจ้าวแดนดินที่เขากุขึ้นมานั้นดำรงอยู่จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น หรือว่ามันจะเหมือนกับคำโกหกที่เขาใช้อธิบายแก่ฉินมู่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน!

นั่นมันจะไม่เหลือเชื่อเกินไปหรอกหรือ

ก่อนนั้น เพื่อปลอบโยนพวกชาวบ้าน เขาได้กล่าวคำโกหกแรกเกี่ยวกับว่าฉินมู่คือกายาจ้าวแดนดิน ผ่านมาหลายปีเขาก็ต้องเพิ่มคำโกหกใหม่ๆ เพื่อกลบเกลื่อนอันเก่า และเขาได้สร้างระบบอันครบสมบูรณ์ของกายาจ้าวแดนดิน

กระนั้นด้วยสาเหตุใดก็ไม่ทราบ คำบรรยายถึงกายาจ้าวแดนดินในหลักศิลาจารึกนั้นเหมือนกันกับระบบกายาจ้าวแดนดินของเขาไม่มีผิด เขาได้ใช้ถ้อยคำเดียวกันนั้นเพื่อโกหกคนอื่นๆ แต่บัดนี้เมื่อเขาอ่านมันบนหลักจารึกหิน เขาก็เริ่มจะเชื่อมันเองเข้าเสียแล้ว

ศิลาจารึกอยู่ตรงหน้าเขา และเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเชื่อมัน

กระนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ยังคงดิ้นรน เขาคิดถึงประเด็นสำคัญขึ้นมาและถามอย่างเร่งร้อน “หากว่ามีกายาจ้าวแดนดินอยู่จริง ทำไมยุคจักรพรรดิสูงส่งถึงยังถูกทำลายล้าง”

“มันไม่ได้เขียนเอาไว้” บรรพชนแรกมองไปด้วยความเศร้าโศก “ตรงหน้าของลมกระหึ่ม พลังคนเพียงคนเดียวนั้นไม่สลักสำคัญเลยสักนิด ฮี่ๆ แล้วอย่างไรถ้าเขาจะเป็นกายาจ้าวแดนดิน เขายังจะสามารถปราบปรามความไม่สงบในจักรวาล และนำสันติสุขมาสู่โลกทั้งหลายได้หรือ กายาจ้าวแดนดินนี้อาจจะถูกสังหารไปเสียก่อนที่จะเขาจะเติบโตเสียอีก”

“หรือว่าโชคชะตาของเขาถูกกายาจ้าวแดนดินปลอมแย่งชิงไป หรือว่าเขาอาจจะทอดทิ้งตนเองในความสิ้นหวังที่ไร้พลังอำนาจในช่วงปลายยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ซ่อนตัวในความขมขื่นและกลายเป็นเต่าหดหัวในกระดองเหมือนข้า มีความเป็นไปได้มากมายสารพัน คนผู้หนึ่งนับว่าเล็กน้อยจนเกินไปเมื่ออยู่เบื้องหน้าประวัติศาสตร์…”

เมื่อพูดถึงกายาจ้าวแดนดินจากเมื่อสี่หมื่นปีก่อน เขาก็ดูเหมือนกำลังพูดถึงตนเอง เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ถอนหายใจและไม่กล่าวอะไรอีกต่อไป

ผู้ใหญ่บ้านสำรวจตรวจตราหลักศิลาจากทั้งสองด้าน ก่อนที่จะตื่นเต้นขึ้นมา เขานำหมึกกับกระดาษออกมาเพื่อบันทึกนิพนธ์บนหลักศิลา

บรรพชนแรกเลิกคิ้ว และผู้ใหญ่บ้านแย้มยิ้มและกล่าว “ข้าจะจดพวกนี้กลับไป นำไปให้กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ชมดู กายาจ้าวแดนดินที่แท้จริง ข้าได้รับกายาจ้าวแดนดินที่แท้จริงมาเป็นศิษย์เพื่อสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์มนุษย์ของข้า…เพียงแค่มองดูศิลาจารึกนี้ ข้าก็สุขใจจนเหลือล้น!”

บรรพชนแรกมองเพ่งพิศเขาด้วยความแตกตื่น ก่อนที่จะพูดเรื่องของตนเองต่อ “จากหลักศิลานี้ แดนหลบภัยจักรพรรดิสูงส่งถูกทำลายล้างหลังจากที่ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งสิ้นสุดลง ข้าอดไม่ได้ที่จะวิตกเกี่ยวกับหมู่บ้านไร้กังวลเช่นเดียวกัน”

ผู้ใหญ่บ้านรีบติดตามการสนทนาและถาม “บรรพชนแรกหมายถึง…”

“ข้าวิตกเกี่ยวกับหมู่บ้านไร้กังวล” บรรพชนแรกกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าไม่ได้รับข่าวคราวของหมู่บ้านไร้กังวลมาเป็นเวลานาน แม้ว่ามันจะส่งข้อความมาบ้าง และถ่ายทอดบัญชาจักรพรรดิก่อตั้งมาสองสามหน แต่ข้าสงสัยว่ามันคงจะไม่องอาจห้าวหาญและทะเยอทะยานอย่างยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งเดิมอีกต่อไป ไร้กังวล ไร้กังวล ฮี่ๆ ใครก็ตามที่ไม่ใส่ใจปัญหาระยะยาว ก็จะพบว่าความทุกข์ทนอยู่ไม่ห่างตัว! พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านไร้กังวลนานเกินไปแล้ว! ก่อนหน้านั้นข้าต่อต้านการก่อสร้างมันขึ้นมา และอยากที่จะต่อสู้จนถึงที่สุด!”

ผู้ใหญ่บ้านพึมพำอย่างตกลงใจไม่ได้ก่อนที่จะถาม “เช่นนั้นเป้าหมายของบรรพชนแรกก็คือเสาะหาผู้คนแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งหรือ ยุคจักรพรรดิสูงส่งได้สิ้นสุดนานเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยังเหลือซากทัพอยู่จนถึงบัดนี้”

“ไม่! ยังมีผู้คนที่มีชีวิตอยู่!” บรรพชนแรกมองไปรอบๆ “แดนหลบภัยจักรพรรดิสูงส่งนี้ได้รวบรวมซากทัพและผู้รอดชีวิตแห่งยุคจักรพรรดิสูงส่ง และผ่านเดือนปีแห่งการสั่งสมพัฒนา แสนยานุภาพของพวกเขาไม่เล็กน้อย และไม่ด้อยไปกว่าหมู่บ้านไร้กังวลในปัจจุบันเลย ในภายหลังสถานที่นี้ถูกศัตรูเข้ารุกราน และข้าค้นจากจากบันทึกที่กระจัดกระจายในซากโบราณข้างนอกว่ายังมีผู้คนที่รอดชีวิตไป สร้างเมืองเกิดขึ้นมาใหม่ ข้าหมายที่จะตามหาพวกเขาเพื่อเชื่อมพันธมิตรระหว่างพวกเขากับหมู่บ้านไร้กังวล เผื่อว่าพวกเราจะกระทำการใหญ่!”

ผู้ใหญ่บ้านเคร่งขรึมสำรวมไปครู่หนึ่ง “หากว่าช่วงเวลาอันรุ่งเรืองที่สุดของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งยังมิอาจล้มล้างสรวงสวรรค์ ดังนั้นต่อให้ท่านค้นพบซากทัพของจักรพรรดิสูงส่ง โอกาสของท่านก็จะด้อยกว่าในช่วงที่จักรพรรดิก่อตั้งยังรุ่งเรือง หากว่าท่านไม่เสาะหาพวกเขาเพื่อเชื่อมสัมพันธมิตรเสียตั้งแต่ตอนที่ยังแข็งแกร่งที่สุด การไปเสาะหาพวกเขาในตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”

สีหน้าของบรรพชนแรกกลายเป็นรวดร้าว และเขากล่าวอย่างขมขื่น “ข้ารู้! แต่ข้าก็รู้อีกเช่นกันว่า หากว่าพวกเขายังคงเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านไร้กังวลและไม่ทำอะไรเลย ก็จะไม่มีความหวังไปชั่วนิรันดร์! ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง หาธุระเข้ามือ หากว่าข้าเก็บตัวเงียบ ความคิดของข้าคงพลุ่งพล่าน ข้าเห็นสหายร่วมรบตกตายต่อหน้าข้า ข้าเห็นภัยพิบัติที่กวาดล้างผู้คนทั้งหมด ข้าเห็นราษฎรทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวราวขุมนรก ข้าจะต้องทำอะไรสักอย่าง…”

เขานั้นดึงดันและเต็มไปด้วยความยึดติด แต่ทว่าผู้ใหญ่บ้านเข้าใจความรู้สึกและอารมณ์คิดของเขา “ข้าจะไปกับท่าน”

เมื่อฉินมู่มาถึงย่านพำนักของอดีตจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ในยมโลก เขาก็มองไปรอบๆ และเห็นผีส่งสารกับผีรับใช้เดินกันขวักไขว่ ทำให้เห็นได้ว่าอดีตจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ได้รับของเซ่นไหว้จากลัทธินักบุญสวรรค์ พวกเขาไม่เหมือนอดีตกษัตริย์มนุษย์แห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ผู้ซึ่งเพราะว่ามีคนในมรดกยุทธน้อยเกินไปจึงไม่มีใครไปปัดกวาดและเซ่นไหว้หลุมศพ และได้แต่ใช้ชีวิตอย่างยากจนข้นแค้น

มีก็แต่บรรพชนแรก ผู้ซึ่งร่างเนื้อของเขากลายเป็นหิน และยืนตระหง่านในนครหยกน้อย ยังคงได้รับของเซ่นไหว้อยู่บ้างเป็นครั้งคราว ดังนั้นจึงมีอาหารอยู่ในบ้านของเขา เพียงพอที่จะบรรเทาความอดอยากแก่บรรพชนสอง บรรพชนสาม และคนอื่นๆ ที่เหลือ

หมู่ปราสาทราชวังแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ตั้งอยู่เรียงรายเป็นแถวๆ ด้วยหลังคากระเบื้องสีและขื่อสีชาด พวกมันถูกประดับประดาอย่างหรูหราและมีป้อมหอคอยกับเก๋งศาลารายล้อมอยู่เป็นชั้นๆ ระหว่างราชวังทั้งหลายคือค่ายกลพยุหะมากมายก่อเป็นซุ้มทางเดินยาวที่เชื่อมต่อราชวังต่างๆ เข้าด้วยกัน ผีน้อยจำนวนมากแบกเอาเครื่องจัดเลี้ยงและถาดผลไม้เดินไปมาตลอดเวลา ทั้งสถานที่นี้เต็มไปด้วยกิจกรรมอันพลุกพล่าน

ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน ผู้คนที่นี่กลายเป็นผีกันหมดทั้งนั้น แต่ชีวิตกลับเหลื่อมล้ำต่างกันมาก

เขาเข้าไปในโถงวังหนึ่งและเงยหน้าขึ้นมอง สถานที่นี้เรียกว่าโถงจู่หยาง ดังนั้นเขาจึงคิด หรือว่านี่จะเป็นโถงวังของจ้าวลัทธิจู่หยาง

จ้าวลัทธิจู่หยางนั้นเป็นจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์รุ่นก่อนหน้าหลี่เทียนซิง ฉินมู่ไม่รู้มากมายนักเกี่ยวกับความสำเร็จในอดีตของเขา เพียงแค่ว่าภูเขานักบุญเยือนมีโถงจู่หยาง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโถงนี้ในยมโลกด้วยเช่นกัน

ตรงหน้าโถงมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังแกะสลักสิงโตหินด้วยสิ่ว ข้างๆ เขาผีน้อยจำนวนหนึ่งคอยเก็บเศษหินที่แตกร่วง

ฉินมู่กำลังจะเข้าโถง แต่เด็กหนุ่มนั้นพลันเอ่ยถาม “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “ข้ามาที่นี่เพื่อพบจ้าวลัทธิจู่หยาง”

เด็กหนุ่มนั้นมองเขาขึ้นๆ ลงๆ ก่อนที่จะวางค้อนและสิ่วของเขา ข้างๆ นั้นผีน้อยตนหนึ่งยกถาดหยกมารองรับ ผีน้อยอีกตนนำอ่างหยกมาให้เขาล้างมือ ขณะที่อีกตนก็ส่งผ้าเช็ดมือให้กับเขา

เด็กหนุ่มทำความสะอาดมือของตนและถามด้วยความตกตะลึง “เจ้าไม่เคยเห็นจ้าวลัทธิจู่หยางมาก่อนหรือ”

“ท่านคือจ้าวลัทธิจู่หยาง?” ฉินมู่ถามด้วยความตกใจ

เด็กหนุ่มพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ใช่แล้ว ข้าเห็นว่าเจ้ามีแต่โครงกระดูก ดังนั้นเจ้าคงจะเป็นคนเป็น แต่ที่น่าแปลกก็คือเจ้ามิใช่หลี่เทียนซิง เขาเป็นศิษย์ของข้าดังนั้นไม่มีทางที่ข้าจะลืมเขา เจ้าคือจ้าวลัทธิคนถัดไปงั้นหรือ” ความสนใจของเขาถูกสะกิดขึ้นมาและถามอย่างตื่นเต้น “เจ้ากำจัดหลี่เทียนซิงใช่ไหม”

ฉินมู่รีบส่ายหัวและกล่าว “ดวงวิญญาณของจ้าวลัทธิหลี่แตกสลายไปเรียบร้อยแล้ว เขาเสี่ยงชีวิตเข้าต่อสู้กับซิงอ้าน แต่ไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้ แม้ว่าข้าจะรับพฤติกรรมของจ้าวลัทธิหลี่ไม่ได้ แต่เขาก็ยังคงรู้จักที่จะกลับตัวไถ่บาปก่อนที่จะตาย นับว่าน่ายกย่อ–”

“ดวงวิญญาณของเขาแตกสลายงั้นหรือ ยอดเยี่ยมมาก!” จ้าวลัทธิจู่หยางปรบมือหัวเราะร่า “ตายได้ดี! ในช่วงปีท้ายๆ ของข้า ข้าไม่อยากจะปล่อยตำแหน่ง ดังนั้นไอ้เด็กตัวเหม็นนั่นถึงฉวยโอกาสที่ข้ากำลังฝึกปรือวิชาปริศนาเก้าแห้งเหือดเก้าเบ่งบาน และท้าทายข้าตอนที่ปราณและโลหิตของข้าอยู่ในช่วงแห้งเหือด เขาทำให้ข้าบาดเจ็บสาหัส และแย่งชิงตำแหน่งจ้าวลัทธิ! ข้าบาดเจ็บอย่างรุนแรง แต่เมื่อชีวิตของข้าสิ้นสุดลง ไอ้เด็กวายร้ายนั่นก็ยังคงมาปาดป้ายน้ำตาจระเข้อยู่หน้าหลุมศพข้า…”

ฉินมู่อ้าปากค้าง สักพักหนึ่ง เขาก็ถาม “ข้าถามหน่อยได้หรือไม่ ปรมาจารย์นักบุญสวรรค์อยู่ที่ใด”

“ใครคือปรมาจารย์นักบุญสวรรค์”

จ้าวลัทธิจู่หยางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตระหนักขึ้นมา “เจ้ากำลังพูดถึงอาจารย์อาเล็กของข้าใช่หรือไม่ ในช่วงบั้นปลายชีวิตของอาจารย์ปู่ของข้า เขาได้รับศิษย์มาคนหนึ่ง อาจารย์อาเล็กของข้านั้นมิเคยเป็นจ้าวลัทธิมาก่อน ทั้งยังอายุน้อยกว่าข้า หลังจากที่ข้าได้ทุบตีอาจารย์จนตาย เขาก็ต่อว่าติเตียนข้า ทำให้ข้าคิดอยากจะกำจัดเขาเช่นกัน”

“แต่ทว่า ข้ากลัวผู้คนในลัทธิจะประท้วง ดังนั้นข้าจึงแต่งตั้งตำแหน่งลอยๆ ไร้อำนาจให้เขาเป็นปรมาจารย์ลัทธินักบุญสวรรค์ ส่งเขาไปที่ไกลแสนไกล…อาจารย์ มาทางนี้! จ้าวลัทธิน้อยแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของพวกเขามาเยี่ยมพวกเราที่นี่!”

ชายชุดดำเดินออกมาจากราชวังข้างๆ เขาก็มีรูปลักษณ์อันหล่อเหลาและดูอายุอานามราวๆ สามสิบสี่สิบปี เขามีเค้าหน้าอันน่าเกรงขามและหล่อหมดจดอย่างเหนือธรรมดา เมื่อเขาได้ยินคำพูด เขาก็เดินเข้ามาและถามด้วยความตระหนก “จ้าวลัทธิน้อย? ลัทธินักบุญสวรรค์ของเราเปลี่ยนจ้าวลัทธิอีกแล้วหรือ เจ้าตายอย่างไร”

จ้าวลัทธิจู่หยางแย้มยิ้ม “จ้าวลัทธิน้อยนี้ยังไม่ทันตาย ดูสิ เขาอยู่ในร่างโครงกระดูก เขามาที่นี่เพื่อตามหาศิษย์น้องของท่าน อันเป็นอาจารย์อาเล็กของข้า”

ชายในชุดดำเดินเข้ามาเพ่งพิศดูฉินมู่ เขาจึงแย้มยิ้ม “เจ้ายังไม่ตายจริงๆ ด้วย เจ้าได้รับศิษย์ไว้หรือยัง?”

ฉินมู่รีบคารวะทักทายเขาและกล่าว “คารวะจ้าวลัทธิอวี้เหลียน ข้านั้นยังไม่ทันได้รับศิษย์”

“อย่ารีบรับศิษย์เร็วเกินไปนัก ยิ่งเจ้ามีศิษย์เร็วเท่าไร ก็ยิ่งจะตายเร็วเท่านั้น ดูสิ ข้าถูกศิษย์แสนดีของข้าลอบสังหาร” จ้าวลัทธิอวี้เหลียนหันหลังและแสงกระบี่ที่ปักข้างหลังเขาให้ดู จากนั้นเขาก็ย้ำคำเตือนด้วยเจตนาดี “ดูสิ ศิษย์รักของข้าปักกระบี่เอาไว้ตรงนี้”

จ้าวลัทธิจู่หยางภาคภูมิใจในตนเองและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ท่านยังมีหน้ามาปักกระบี่อันนั้นเอาไว้อีกหรือ แล้วท่านพูดอะไรบ้างตอนที่ท่านลอบสังหารอาจารย์ย่าน่ะ”

จ้าวลัทธิอวี้เหลียนหัวเราะในคอด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม “อาจารย์ย่าของเจ้าหมายจะส่งต่อตำแหน่งให้กับศิษย์น้องเล็ก ดังนั้นหากข้าไม่ลอบสังหารนาง ข้าจะกลายเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร แล้วเจ้าจะได้ลอบสังหารข้าเพื่อขึ้นเป็นจ้าวลัทธิได้อย่างไร จริงสิ แล้วจ้าวลัทธิน้อยลอบสังหารใครล่ะถึงได้ขึ้นมาเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์”

…………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท