ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 507 ถามคำถาม

ตอนที่ 507 ถามคำถาม

“ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าปณิธานและความสามารถของเหวินเหยียนเหนือล้ำกว่าพวกเราจ้าวลัทธิทั้งหลายไปไกล” ในสวนหลังโถงเหวินเหยียน อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดมาหยุดอยู่ที่นี่ และซีเหยียนเว่ยก็ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน นางพลันจดจำเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และไต่ถาม “ตอนนั้นทำไมข้าถึงรับเจ้ามาเป็นศิษย์กันนะ ข้าพลันรู้สึกว่าสายตาของข้าก็ดีไม่ใช่เล่นนี่นา!”

ปรมาจารย์เยาว์หน้าแดงเล็กน้อยและกล่าว “เมื่ออาจารย์รับข้ามาเป็นศิษย์ ท่านบอกว่าข้าหน้าตาหล่อดี และพรสวรรค์ของข้าก็ไม่เลว แน่ล่ะ ส่วนที่สำคัญก็ยังคงเป็นหน้าตาของข้า”

ฉินมู่สำรวจตรวจตราดูรอบๆ และผู้คนรอบๆ เขามีแต่หนุ่มหล่อสาวสวยทั้งนั้น อดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายแห่งลัทธิมารฟ้า รวมทั้งปรมาจารย์เยาว์ ไม่มีใครหน้าตาน่าเกลียดเลยสักนิด

ซีเหยียนเว่ยก็หน้าแดงซ่านเช่นกันและแย้มยิ้ม “ข้าจำได้ละ ข้ารับเจ้ามาเป็นศิษย์เพื่อหมายใช้เจ้าทำลายจิตเต๋าของข้าด้วยเรื่องชู้สาว คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตของข้าฝึกปรือเรื่องจิตใจเป็นหลัก และข้าได้ทำลายจิตเต๋าของอาจารย์ ด้วยวิธีนี้ข้าจึงแย่งชิงตำแหน่งจ้าวลัทธิมาได้”

“ข้าต้องการบุคคลที่สามารถทำลายจิตเต๋าของข้าได้ โดยปราศจากการทำลายย่อมไม่มีการสรรค์สร้าง หากว่าเจ้าสามารถทำลายจิตเต๋าของข้า เจ้าก็จะกลายเป็นจ้าวลัทธิ แต่หากว่าเจ้าทำไม่ได้ ข้าก็จะสามารถรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง และอาจจะบรรลุเป็นเทพหรือมาร แต่ทว่า ในเมื่อข้าเอาแต่ระวังป้องกันเจ้า จ้าวลัทธิอวี้เหลียนก็ฉวยโอกาสตอนที่ข้าพลั้งเผลอไม่สนใจเขา เพื่อลอบสังหารข้า”

จ้าวลัทธิอวี้เหลียนมีน้ำเสียงกระหยิ่มใจเมื่อเขากล่าว “อาจารย์เอาแต่คอยระวังเรื่องรักใคร่จากศิษย์น้องเล็ก แต่ไม่รู้เลยว่ายากที่จะระวังป้องกันการโจมตีของศัตรูในที่ลับ ศิษย์น้องอายุเท่าไรกันเชียวในตอนนั้น ท่านเอาแต่พะวงเรื่องของเขา หากว่าท่านไม่มีความคิดเช่นนั้นและระวังป้องกันข้ามากกว่านี้ ตอนนี้ศิษย์น้องเล็กคงได้เป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว”

ฉินมู่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คำว่ามารในลัทธิมารฟ้าน่าจะเกี่ยวข้องกับประเพณีอันสืบต่อกันมาระหว่างอาจารย์และศิษย์

ขนบที่อาจารย์เปิดโอกาสให้ศิษย์ลอบสังหารตนเองนั้นไม่อาจจะเรียกได้ว่าชั่วร้าย มันเหมือนกับหลี่เทียนซิงตอนที่เขาถูกท่านยายซีลอบสังหาร นางมีวรยุทธเพียงแค่ขั้นชาวสวรรค์ ดังนั้นนางย่อมมิอาจใช้กำลังฝีมือของนางสังหารหลี่เทียนซิงที่อยู่ในขั้นสะพานเทวะได้

แต่กระนั้นหลี่เทียนซิงก็ยังให้โอกาสนาง

การต่อสู้ระหว่างอาจารย์และศิษย์แห่งลัทธิมารฟ้าน่าจะมีที่มาจากบรรพจารย์ก่อตั้ง ผู้ซึ่งตั้งใจหมายจะให้รุ่นถัดไปยิ่งแข็งแกร่งกว่ารุ่นก่อนหน้า ดังนั้นเขาจึงได้ตรากฎเกณฑ์ว่าเมื่อศิษย์เอาชนะอาจารย์ของตนได้ พวกเขาก็จะสามารถขึ้นเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า

แต่ทว่ากฎเกณฑ์แบบนี้มันค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ด้วยความพิลึกกึกกือของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต มันย่อมง่ายที่จะก่อให้เกิดสันดานมารขึ้นมา ผลลัพธ์ก็คือ กฎเกณฑ์ที่ดูดีบนกระดาษได้เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เห็นในปัจจุบัน

ปรมาจารย์เยาว์แย้มยิ้มและกล่าว “หากว่าข้าได้ขึ้นเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็คงไม่แตกต่างจากทุกๆ ท่าน เอาแต่กังวลเรื่องผลประโยชน์ของลัทธินักบุญสวรรค์มิได้กังวลถึงผู้คนในโลกหล้า การที่ไม่ได้เป็นจ้าวลัทธิกลับเติมเต็มข้าให้สมบูรณ์”

อดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายผงกหัวอย่างเห็นด้วย

“สำหรับจ้าวลัทธิฉินนั้น…” ซีเหยียนเว่ยหันไปมองที่ฉินมู่และยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง “พวกเราจะไม่โต้แย้งว่าตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้าได้มาโดยไม่เหมาะสมล่ะ หลังจากที่เจ้าขึ้นครองลัทธิ เจ้าทำได้ดี แต่หากว่าเป็นพวกเรา พวกเราก็คงทำได้ดีเหมือนกัน”

ฉินมู่ถ่อมตน “แน่นอนอยู่แล้ว อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดล้วนแต่เป็นหงส์เป็นมังกรในหมู่มนุษย์ ดังนั้นหากว่าพวกท่านอยู่ในตำแหน่งของข้า พวกเจ้าย่อมสามารถทำได้ดีกว่าข้า เพียงแค่ว่าตอนที่พวกท่านอยู่ในตำแหน่งของข้าจริงๆ พวกท่านไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง”

ใบหน้าของจ้าวลัทธิทุกคนบิดกระตุก และสีหน้าของพวกเขาเดี๋ยวก็มืดคล้ำเดี๋ยวก็ซีดเผือด ราวกับว่ากำลังข่มใจไม่ให้ลงมือกำจัดมัน

ไอ้เด็กนี่มันไม่กลัวอะไรเลย แต่เขาก็เป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เขาแบกรับความรับผิดชอบอันสำคัญยิ่งในการส่งต่อตำแหน่งและการสั่งสอนบนก้อนหิน ดังนั้นถ้าพวกเขากำจัดหมอนี่เสีย ลัทธิมารฟ้าก็คงจะจบเห่

“ก่อนหน้านี้ข้าหยาบคายไปหน่อย ในเมื่อข้ารู้สึกแค้นเคืองใจที่คนรุ่นอาวุโสอย่างพวกท่านใช้กฎเกณฑ์อันผิดพลาดและล้าหลังมาจำกัดชนรุ่นหลัง ดังนั้นข้าจึงได้ล่วงเกินพวกท่านทุกคน บัดนี้ข้าจึงกล่าวขออภัยอดีตจ้าวลัทธิทุกท่าน” ฉินมู่กล่าว

สีหน้าของจ้าวลัทธิทั้งหลายอ่อนลง และจ้าวลัทธิจู่หยางก็รีบพยุงเขาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิน้อยฉินได้ทำในสิ่งที่พวกเรามิได้ทำ และนั่นทำให้พวกเราชื่นชมเจ้าอย่างไม่รู้จบ ท่ามกลางเหล่าอดีตจ้าวลัทธิแล้ว ต่อให้เจ้าอาจจะไม่สามารถอยู่ในสามอันดับแรก แต่ต้องไม่พลาดห้าอันดับแรกอย่างแน่นอน ผู้คนกล่าวว่าหลังจากตายไปทุกๆ อย่างก็ว่างเปล่า และพวกเราคงไม่ผูกใจเจ็บเพียงเพราะการทะเลาะถกเถียงเล็กๆ นี่หรอก”

จ้าวลัทธิหูจุ่นแย้มยิ้มและกล่าว “นอกจากชื่นชมความสำเร็จในการฝึกปรือของเจ้าแล้ว พวกเรายังกังวลมากกว่าว่าถ้าหากเจ้ากลับไป เจ้าจะไม่ยอมให้สาวกลัทธิเผาเครื่องเซ่นไหว้มาให้พวกเราทุกๆ ปีใหม่และเทศกาล!”

“เจ้าพูดถูก พูดถูกมากๆ!”

ทุกคนหัวเราะและกล่าว “พวกเราไม่อยากจะกลายเป็นเหมือนยาจกสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างพวกจากโถงกษัตริย์มนุษย์ พวกเขาไม่มีใครเผาของเซ่นไหว้มาให้เลยแม้แต่คนเดียว!”

“กษัตริย์มนุษย์คนปัจจุบันแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ช่างอกตัญญูเสียจริง เขาไม่เผาเครื่องเซ่นไหว้ลงมาเลยสักนิด ดูสิว่าตอนมีชีวิตอยู่กษัตริย์มนุษย์พวกนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรกันมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ยากจนสักเท่าไร พวกเขาจะเหมือนพวกเราได้อย่างไร ทั้งโอ่อ่ามากยศตอนมีชีวิต ตายแล้วก็ยังโอ่อ่ามากยศอยู่ดี!”

ทุกคนหัวเราะด้วยเสียงดังสนั่น และปรมาจารย์เยาว์ก็ผสมโรงหัวเราะไปสองสามที แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงฉินมู่ขึ้นมาได้ และรีบปรายตามองเขา

ฉินมู่หัวเราะแห้งๆ สองสามที โชคดีที่ตอนนี้เขาไม่มีใบหน้า ไม่อย่างนั้นหน้าของเขาคงแดงฉาน

อดีตจ้าวลัทธิแห่งลัทธิมารฟ้าไม่รู้ศักดิ์ฐานะอีกอย่างของเขาว่าเป็นกษัตริย์มนุษย์รุ่นปัจจุบัน และที่อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายยากจนขนาดนี้ก็เพราะว่าเขาไม่เผาของเซ่นไหว้ไปให้เลยสักนิด

หลังจากกลับสันตินิรันดร์ ข้าจะต้องแวะไปที่โถงกษัตริย์มนุษย์ และช่วยให้อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ปล่อยให้พวกเขายากจนแบบนี้ไม่ได้หรอก! เขาตั้งใจเป็นมั่นเหมาะ

“จ้าวลัทธิฉิน” ปรมาจารย์เยาว์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าได้มาพบข้าแล้ว ดังนั้นหลังจากกลับไปยังโลกแห่งคนเป็นเจ้าจะทำอะไรต่อ”

เสียงหัวเราะของทุกคนหยุดลง และทุกคนก็มองไปที่เขาเพื่อดูว่าจะตอบอย่างไร

ฉินมู่เคร่งขรึมอยู่พักหนึ่งก่อนจะแย้มยิ้ม “หลังจากกลับไปยังสันตินิรันดร์ อย่างแรกข้าก็จะสร้างถนน”

“สร้างถนน?” ปรมาจารย์เยาว์ขมวดคิ้วและกล่าว “จริงอยู่ว่าถนนและการคมนาคมจะช่วยให้ผู้คนเดินทางไปมาได้สะดวก แต่ค่าใช้จ่ายนั้นสูงเกินไป จักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ผ่านการศึกสงครามหลายครั้งและท้องพระคลังก็ว่างเปล่า เจ้าถือชีวิตของผู้คนธรรมดาสามัญเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไฉนจึงคิดสร้างถนนก่อน ถนนในจักรวรรดิสันตินิรันดร์นั้นดีอยู่แล้ว ดังนั้นหากว่าเจ้าสร้างเพิ่มขึ้นมาอีก ไม่ใช่ว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองกำลังคนและกำลังทรัพย์หรอกหรือ”

ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “นี่ก็เพราะว่าข้าเพิ่งเข้ายึดครองแผ่นดินตะวันตกได้สำเร็จ!”

ปรมาจารย์เยาว์หัวใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และเขาร้องออกมา “เจ้านำกองทัพรุกรานแผ่นดินตะวันตกหรือ แผ่นดินตะวันตกกว้างใหญ่ไพศาล เจ้าเข้ายึดครองได้อย่างไร”

จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ก็ร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เมื่อพวกเขาก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ

“ด้วยตัวข้าเอง พร้อมกับกิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อ ข้าก็ได้เอาชนะแผ่นดินตะวันตก” ฉินมู่ยิ้มน้อยๆ “แผ่นดินตะวันตกได้เข้าร่วมกับสันตินิรันดร์แล้ว แต่ระยะห่างจากแผ่นดินภาคกลางนั้นเป็นแสนลี้ ดังภาษิตว่าหากว่าแส้หวดไปไม่ถึง จักรพรรดิก็ควบคุมไม่ได้ แผ่นดินตะวันตกจะสงบเสงี่ยมเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่หากว่าถนนลำบากและยากจะคมนาคม เมื่อเวลาผ่านไป แผ่นดินตะวันตกก็จะเริ่มปั่นป่วนอย่างแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่ข้าต้องการจะทำคือการเปิดเส้นทางคมนาคมระหว่างแผ่นดินตะวันตกกับแผ่นดินภาคกลาง!”

ปรมาจารย์เยาว์และอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายมิอาจเชื่อคำพูดของเขาได้ เมื่อพวกเขาเดินไปมาพลางกุมหน้าผาก ทันใดนั้น อดีตจ้าวลัทธิคนหนึ่งก็หยุดเดินและถามอย่างเคร่งขรึม “แผ่นดินตะวันตกและแผ่นดินภาคกลางมีแดนโบราณวินาศและทะเลทรายเพลิงโหมกั้นกลาง ระยะทางใกล้ที่สุดก็ยังเป็นแสนลี้! เจ้าหมายที่จะสร้างถนนหนึ่งเส้นอันยาวถึงแสนลี้เชียวหรือ”

“ไม่ใช่หนึ่งเส้น แผนของข้าคือสอง ถนนใหญ่สองเส้นอันราบเรียบอย่างถึงที่สุดเพื่อให้รถและม้าเดินทางสัญจรด้วยความเร็วสูงสุดได้ ขนาดที่ว่าสามารถใช้สัตว์พิสดารลากรถตะบึงไปด้วยระยะหมื่นลี้ภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน!”

“ผิดแล้ว!” จ้าวลัทธิผู้นั้นตะโกนออกไปอย่างเฉียบขาด “เจ้ามีเงินมากขนาดนั้นหรือ จักรวรรดิสันตินิรันดร์มีเงินมากขนาดนั้นหรือ การสร้างถนนหนทางต้องอาศัยเงินทองและทักษะเทวะ มันหมดเปลืองชีวิตผู้คน! แม้ว่าลัทธิศักดิ์สิทธิของข้าจะมีโถงวิศวกรรม แต่หากว่าเจ้าใช้พวกเขาไปกรุยถนนหนทาง นี่ไม่เพียงแต่เงินทองเป็นล้านๆ ถูกเผาผลาญไป แม้แต่ศิษย์โถงวิศวกรรมของพวกเรามากมายก็จะเหนื่อยล้าขาดใจตาย!”

ฉินมู่ส่ายหัว “ไม่ใช่ เมื่ออยู่ในแผ่นดินตะวันตก ข้าได้เห็นถนนที่นั่น และมันล้ำหน้ายิ่งกว่าของสันตินิรันดร์มากนัก ทักษะเทวะแห่งตำหนักสวรรค์แท้สามารถใช้กรุยถนนหนทาง และข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลใหญ่ต่างๆ ในแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นข้าสามารถร้องขอให้จ้าวตำหนักสวรรค์แท้นำคณะผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตะวันตกมาช่วยสร้างถนน พวกนางสามารถกรุยถนนหนทางไปได้พันลี้ภายในวันเดียว ดังนั้นเส้นทางยาวแสนลี้ก็จะต้องอาศัยเวลาเพียงหนึ่งร้อยวัน ค่าใช้จ่ายก็จะไม่สูงจนเกินไป”

ดวงตาของจ้าวลัทธิผู้นั้นลุกวาบ เขาแย้มยิ้มและถอยกลับไป จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ยังคนยืนล้อมรอบฉินมู่อยู่ และทันใดซีเหยียนเว่ยก็พลันหยุดเพื่อถาม “แล้วทะเลทรายเพลิงโหมล่ะ? มันกว้างหลายหมื่นลี้ ทั้งยังแห้งผากไม่มีน้ำเลยแม้แต่น้อย หากว่าเจ้าสร้างถนนและถูกทรายกลบทับ ก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง! เมื่อเวลานั้นมาถึง ผู้คนบนเส้นทางก็จะเหนื่อยล้าและท้อแท้ ทั้งอาจจะทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น!”

“เมื่อราชครูสันตินิรันดร์สังหารมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ ทะเลทรายเพลิงโหมก็มอดดับ และเพียงแค่ใช้ลูกแก้วเต่าดำก็จะสามารถดึงน้ำเข้ามาหล่อเลี้ยงทะเลทราย ลูกแก้วมังกรเขียวสามารถใช้เพื่อปลูกพืชพรรณเปลี่ยนทะเลทรายให้เป็นป่าเขียว ที่ราบทางตอนเหนือมีภูเขาหิมะอันสามารถใช้เป็นธารน้ำ ข้าจะชักนำมันมาจากที่นั่นและสร้างทะเลสาบในทะเลทราย แก้ปัญหาชลประทาน!”

ซีเหยียนเว่ยแย้มยิ้มและถอยออกไปเช่นกัน

จ้าวลัทธิอีกคนหนึ่งก้าวเข้ามาและถาม “เส้นทางที่สั้นที่สุดต้องผ่านแดนโบราณวินาศ มันสงบเงียบในระหว่างกลางวัน และเมื่อกลางคืนมาถึง สัตว์ประหลาดและความมืดก็จะรุกรานเข้ามา เจ้าจะปกป้องผู้สัญจรได้อย่างไร”

“ข้าไม่อาจรับประกันได้ แต่ข้าสามารถเคลื่อนย้ายรูปสลักหิน รวบรวมพวกมันมาเพื่อป้องกันความมืด และก็จะมีเมืองเล็กทุกๆ หนึ่งพันลี้ เมืองใหญ่ทุกๆ หมื่นลี้ เมืองเล็กและเมืองใหญ่จะอยู่ระหว่างถนนสองเส้นเพื่อให้ผู้สัญจรมีสถานที่พักเท้าของตน ด้วยเมืองเล็กและใหญ่พวกนี้ สินค้าก็จะเดินทางไปมาระหว่างแผ่นดินตะวันตก แดนโบราณวินาศ และแผ่นดินภาคกลาง เป็นผลให้เศรษฐกิจและการค้ารุ่งเรืองมั่งคั่งอย่างแน่นอน”

“เจ้ายังไม่ได้อธิบายว่าจะแก้ปัญหาเรื่องเงินทองอย่างไร!”

“เมื่อสร้างถนนสำเร็จ ธุรกิจและการค้าเดินทางสัญจร เงินทองก็ย่อมไหลมาเอง!”

“แดนโบราณวินาศมิใช่เส้นทางราบเรียบ มีปรากฏการณ์ประหลาดพิสดารมากมาย เจ้าจะทำให้ภูเขาและแม่น้ำทั้งหลายราบเรียบได้อย่างไร”

“เมื่อพบภูเขาก็เจาะเข้าไปในภูเขา เมื่อพบแม่น้ำก็สร้างสะพาน และเมื่อพบเทพเจ้าก็น้อมสักการะเทพเจ้า!”

“ถนนกว้างเท่าใด”

“กว้างหกสิบวา มีแปดช่องทางให้ยวดยานและสี่ช่องทางสำหรับไพร่พล”

“ความกว้างช่องทางสำหรับยวดยานม้าในแผ่นดินตะวันตกแตกต่างจากสันตินิรันดร์ เจ้าจะควบคุมการสัญจรในช่องทางให้ราบรื่นได้อย่างไร”

“ถ้าเช่นนั้น ก็สร้างเส้นทางให้คล้ายคลึงกัน!”

“สภาวการณ์และขนบธรรมเนียมพื้นถิ่นของแผ่นดินตะวันตกและสันตินิรันดร์แตกต่างกัน เจ้าจะทำอย่างไร”

“เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เหมือนกัน!”

“ตัวอักษรแตกต่างกัน ทักษะเทวะก็แตกต่างกัน เจ้าจะทำอย่างไร”

“ถ้าเช่นนั้น ก็เผยแพร่ระบบตัวอักษรเดียวกันออกไป และเปิดโรงเรียนให้การศึกษา!”

ทันใดนั้น อดีตจ้าวลัทธิยี่สิบแปดคนก็หัวเราะเป็นเสียงเดียวกัน และพวกเขาก็โค้งคารวะแก่ฉินมู่ “จ้าวลัทธิสามารถถูกเรียกขานว่านักบุญได้! ท่านนั้นสมกับตำแหน่งจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์! พวกเราทดสอบท่านแทนจ้าวลัทธิหลี่ และท่านก็ผ่านการทดสอบ!”

ฉินมู่คารวะกลับไปและกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณจ้าวลัทธิทุกท่านมากที่ถามคำถามข้าและให้แสงสว่างทางปัญญา! หลังจากที่กลับไปยังโลกคนเป็น ข้าก็จะมีวิถีทางในการดำเนินการปฏิรูปต่อไป หากว่าการปฏิรูปสำเร็จไปถึงระดับหนึ่งและแปรเปลี่ยนอุปสรรคสวรรค์ให้เป็นถนนราบ พวกท่านก็จะมีส่วนในคุณงามความดีด้วย!”

ทุกคนหัวเราะด้วยเสียงอันดังและลุกขึ้นยืน

ปรมาจารย์เยาว์รู้สึกดีใจแทนพวกเขา ตอนแรกฉินมู่ได้ฉีกหน้าแตกหักกับอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลาย แต่บัดนี้ความบาดหมางทั้งมวลก็ถูกปัดเป่าไป และเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ทันใดนั้น เสียงของเทพหัวนกฉือซิ่วก็ดังมาถึงพวกเขา “จ้าวลัทธิฉิน ท้าวยมราชจะลงโทษเจ้าด้วยตนเอง เจ้ายังไม่รีบออกมาอีกหรือ”

……………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท