ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 510 บ้าเงินทอง

ตอนที่ 510 บ้าเงินทอง

ฉินมู่ตื่นตะลึง เขาหันไปมองฉือซิ่ว แต่เทพตนนั้นหดหัวเข้าไปในขนนกของตนเอง เสแสร้งว่ามองไม่เห็นอะไรสักนิด

การที่ฉือซิ่วเป็นผู้ใต้บัญชาคนสนิทของท้าวยมราช ชื่อเสียงของเขามิใช่ได้มาเพราะโชคช่วยจริงๆ เขานั้นมั่นคงเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่มองดูสภาพอันน่าสังเวชของท้าวยมราช อันเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดในการปกป้องตนเอง หากว่าเป็นบุคคลอื่น คนพวกนั้นก็อาจจะรีบเข้าไปในซากปรักหักพังเพื่อช่วยท้าวยมราชออกมา

ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน ไปช่วยท้าวยมราชนั่นก็แสดงได้ว่าตนจงรักภักดี แต่คนผู้นั้นก็จะได้ประจักษ์สภาพอันน่าสังเวชของท้าวยมราช ทำให้เกิดความเสียหายแก่ภาพลักษณ์อันทรงพลังและเปี่ยมปัญญา มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในนั้น แต่ในเมื่อไม่มีใครรู้ว่าข้อดีหรือข้อเสียอันไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือการเสแสร้งว่ามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่โถงวังถล่มลงมามิอาจทำอันตรายแก่ท้าวยมราชได้ ดังนั้นจะดีที่สุดหากว่าไม่แสดงความจงรักภักดีด้วยการรี่เข้าไปช่วยเขา

ท้าวยมราชบอกว่าข้าสามารถเดินผ่านความมืดของแดนโบราณวินาศได้โดยไม่เป็นอันตราย นี่มันจริงหรือเปล่านะ

ฉินมู่ลังเลอยู่เล็กน้อยเพราะว่าการเข้าไปในความมืดนั้นเกี่ยวพันถึงความเป็นตายของตนเอง หากว่ามันไม่จริง เมื่อเขาออกไปเขาก็จะต้องตาย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทดลอง ตั้งแต่เมื่อยังเยาว์ เขาได้รับการสั่งสอนจากผู้เฒ่าทั้งหลายแห่งแดนโบราณวินาศว่าในความมืดมีสิ่งร้ายน่าสยดสยองอยู่มากเพียงใด และเขาจะต้องไม่เดินเข้าไปในนั้นไม่ว่ากรณีใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ฉินมู่เติบโตขึ้นมา เขาก็ได้ประจักษ์ความน่าสยดสยองของความมืด เช่นนั้นเขาจึงไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ความมืดจะไม่แตะต้องเขา

เขาได้บุกเข้าไปในความมืดหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกๆ ครั้งเขาก็พึ่งพิงสมบัติวิเศษหรือยอดฝีมือที่ราวกับเทพยดาให้ช่วยปกป้องเขาจากความมืด เขาได้ใช้หีบของซิงอ้าน การปกป้องของผู้ใหญ่บ้าน หรือการปกป้องของเทพครองแดนเลี้ยงมังกร เพื่อให้ตนเองไม่เป็นอันตราย

เขานั่นยังคงกริ่งเกรงการทดลองเข้าไปในความมืดโดยไม่มีสิ่งใดป้องกัน

“ไปกันเถอะ” ฉือซิ่วเร่งเขา “หลังจากส่งเจ้าออกไป ข้าจะได้พักสักที”

“เทพฉือซิ่ว ข้ายังคงต้องไปยังย่านพำนักของลัทธินักบุญสวรรค์เพื่อไปรับกิเลนมังกรและหีบ”

ฉือซิ่วจึงได้แต่นำเขาไปยังย่านพำนักของอดีตจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ ประตูทั้งหมดถูกปิดลั่นดาลไว้สนิท และกิเลนมังกรถูกปรมาจารย์เยาว์ทิ้งไว้นอกประตู เขานั้นกำลังกระดิกหางไปมาและพูดจาออดอ้อนปรมาจารย์ให้เปิดประตู

ปรมาจารย์เยาว์ไม่รับเขาไม่ว่าจะอย่างใด เพียงแต่ตะโกนมาจากข้างใน “ในการเดินทางของความเป็นและความตาย ข้าได้ตายไปแล้วส่วนเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพวกเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ ตามจ้าวลัทธิออกไปเสียเถอะ!”

กิเลนมังกรใช้อุ้งเท้าตะกุยประตูและร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง

ปรมาจารย์เยาว์ก็สะอื้นอยู่ในคอขณะที่พยายามกลั้นน้ำตา เขาอยากจะเปิดประตู แต่เขากลัวว่าเจ้าหมอนี่จะเข้ามาถูไถเขาอีกครั้ง ดังนั้นจึงได้แต่ทำใจแข็ง

ฉินมู่เรียกกิเลนมังกรมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มังกรอ้วน ไม่ต้องเศร้าไปหรอก ปรมาจารย์ใช้ชีวิตที่นี่ดีอยู่แล้ว และพวกเราก็มีชีวิตเป็นๆ อยู่ข้างนอก พวกเราสามารถแวะมาหาเขาได้ตลอดในกาลข้างหน้า”

กิเลนมังกรเดินเข้ามา เมื่อเขาสัมผัสเข้ากับไฟแท้หยางพิสุทธิ์ เลือดเนื้อก็งอกเงยขึ้นมาบนร่างกายของเขา ดวงอาทิตย์ใหญ่มหึมากำลังลอยสูงขึ้นกลางฟ้าในตอนนั้น และกลายเป็นใหญ่โตราวกับว่าจะร่วงตกลงมาใส่ได้ทุกขณะจิต

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบนดวงอาทิตย์สร้างขึ้นมาจากทองคำ เทพและมารหน้าโถงเหล่านั้นที่เห็นเงารูปอยู่รางๆ ยังคงรัวตีกลองอย่างดุเดือด พวกเขาใช้ไฟแท้หยางพิสุทธิ์เพื่อเคี่ยวกรำยมโลก

ดวงตะวันเข้ามาใกล้พวกเขาจนฉินมู่เริ่มระแวงว่าเทพและมารบนนั้นจะลงมือโจมตีเมื่อใดก็ตาม

“พวกเขาไม่กล้าโจมตีหรอก” เทพฉือซิ่วไซ้แต่งขนของตนเองอย่างใจเย็น ไม่อนาทรร้อนใจท่ามกลางความอลหม่าน “นี่คือยมโลก อันเป็นส่วนหนึ่งของแดนใต้พิภพ พวกเขาดูเหมือนจะใกล้ แต่อันที่จริงแล้วกลับอยู่ห่างไกล มันมีม่านคุ้มกันระหว่างโลกกั้นขวางพวกเราเอาไว้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนพวกเราก็ต่อสู้กันอยู่หลายครั้ง และพวกเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่เสมอ พวกเขาได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในดวงอาทิตย์และตีกลองเท่านั้น”

ฉินมู่ฉงนเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงถาม “ดวงอาทิตย์ในท้องฟ้านี้แตกต่างจากดวงที่อยู่ในสันตินิรันดร์ เช่นนั้นดวงอาทิตย์นี้…”

“มันคือดวงอาทิตย์ของแดนโบราณวินาศ เป็นของจริง” เทพฉือซิ่วกล่าว “ดวงอาทิตย์ในสันตินิรันดร์เป็นของปลอม”

ฉินมู่นิ่งอึ้งไป ดวงอาทิตย์ตรงหน้าเขาน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว โชคดีที่ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ใต้ม่านปลอมของดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาว มิเช่นนั้น หากผู้คนแห่งสันตินิรันดร์ได้มองเห็นดวงอาทิตย์อันน่าสยดสยองนี้ แม้แต่จักรพรรดิก็คงจะต้องเสียสติ

“ปรมาจารย์ ท่านมีเงินไหม” ฉินมู่ถามผ่านรอยแยกในประตู “เข้าแดนยมโลกต้องใช้เหรียญทองและข้ามีเพียงแค่สามเหรียญตอนที่มาที่นี่ ข้าต้องการเหรียญเอาไว้ขึ้นเรือ”

ปรมาจารย์ยัดเหรียญทองจำนวนหนึ่งผ่านช่องประตู “ข้าเพิ่งตายมา ดังนั้นจึงไม่มีเงินมาก เจ้าใช้มัธยัสถ์หน่อยนะ”

ฉินมู่รับคำและเดินไปเคาะประตูของจ้าวลัทธิคนอื่นๆ “สหายจ้าวลัทธิ หากว่าพวกท่านไม่ยอมจ่าย ข้าจะไม่ส่งเครื่องเซ่นมาและรื้อป้ายบูชาบรรพชนของท่านออก”

“เจ้าวายร้าย รังแกได้แม้แต่บรรพบุรุษเลยหรือ นี่มันก็แค่เรื่องเงินเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ เอาไปเสีย!”

ฉินมู่เคาะประตูทุกบานและรีดไถมาได้ราวๆ สองร้อยเหรียญยมโลก จากนั้นเขาก็ไปยังย่านพำนักของกษัตริย์มนุษย์และถามสัตว์พิสดารตรงหน้าโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง “บรรพชนแรกกลับมาหรือยัง”

สัตว์พิสดารทั้งสองวิ่งเข้าไปในโถงและลากเต๋าตี้โยนออกมา “นายผู้เฒ่ายังไม่กลับ”

เต๋าตี้ร่วงลงกับพื้นและถูกไฟแท้หยางพิสุทธิ์เผาไหม้ ด้วยเสียงปังๆ ไม่กี่ครั้ง มันก็กลายร่างกลับเป็นหีบใหญ่ที่เดินตามกิเลนมังกรไปอย่างเชื่องเชื่อ

“จ้าวลัทธิฉิน ได้เวลาออกไปแล้ว!” ฉือซิ่วเร่งรัดเขา

“เทพฉือซิ่ว โปรดรอสักครู่”

ฉินมู่เดินไปยังบ้านของบรรพชนสองผู้ซึ่งเปิดประตูและไม่เดินออกมา ด้วยเขากังวลว่าจะถูกไฟแท้หยางพิสุทธิ์เผา “สองแขนเสื้อของข้ามีมีแต่ลมและอากาศ ข้าไม่มีเงินเลยสักนิด เลยได้แต่ไปกินฟรีที่บ้านอาจารย์”

ฉินมู่นำเหรียญทองยมโลกออกมาจำนวนหนึ่งและแย้มยิ้ม “ข้ารู้ว่าท่านมีนิสัยใจคออันสูงส่ง และบูรณภาพอันไม่ต้องสงสัย ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อมอบเหรียญทองจำนวนหนึ่งให้ท่านใช้ประทังไปในช่วงเวลานี้ เมื่อข้ากลับไปที่โถงกษัตริย์มนุษย์ ข้าจะเผาเงินทองมาให้บรรพจารย์สักหน่อย”

บรรพชนสองลิงโลดยินดีและรีบรับเหรียญทองเหล่านั้นมา “เจ้านั้นกตัญญูกว่าซูน้อยนัก ซูน้อยยังไม่กลับมา เมื่อเขากลับมา พวกข้าจะต้องมีของให้เขาประหลาดใจ”

“บรรพชนสอง อย่าลืมบอกผู้ใหญ่บ้านว่าข้ามาที่นี่”

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะบอกเขาแน่นอน!” บรรพชนสองพูดผ่านฟันที่ขบกันกรอดๆ

ฉินมู่ลังเลก่อนจะกล่าว “บรรพชนสอง ข้าขอยืมระหว่างเป็นตายของบรรพชนแรกได้หรือไม่ ข้าอยากที่จะทำธุรกิจ…”

บรรพชนสองฉงนใจ “เจ้าจะใช้ระหว่างเป็นตายไปทำธุรกิจได้อย่างไร”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “มีเทพและมารมากมายในยมโลกที่ไม่อาจไปยังโลกแห่งคนเป็นได้ ดังนั้นข้าจึงอยากจะใช้ระหว่างเป็นตายเพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะจากโลกแห่งคนเป็นเพื่อแลกเปลี่ยนกับพวกเขา ผู้ฝึกวิชาเทวะสามารถรับเหรียญทองหรือเรียนรู้มรรคา วิชา และทักษะเทวะของเทพและมารเหล่านั้นได้ เพื่อเป็นค่าจ่ายสำหรับให้คนเป็นเหล่านั้นไปทำตามความหวังของเทพและมารให้สำเร็จ ข้าคิดว่านี่จะต้องเป็นกิจการใหญ่ได้อย่างแน่นอน! ข้าวางแผนที่จะกรุยถนนหนทางผ่านแดนโบราณวินาศ ดังนั้นข้าจึงต้องการเงินทองจำนวนหนึ่งเพื่อไปใช้อุดหนุน”

บรรพชนสองยังฉงนฉงาย และถาม “แล้วเงินทองจะมาจากที่ไหน”

“ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อใช้สอยระหว่างเป็นตาย และข้าก็จะได้เงินทองมากมายจากการนี้”

บรรพชนสองพลันกระจ่างแจ้งและด่าทอเขาด้วยรอยยิ้ม “ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์”

ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “ระหว่างเป็นตายสามารถเชื่อมต่อยมโลกเข้ากับโลกแห่งคนเป็น ดังนั้นบรรพชนสองก็สามารถเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากเทพและมารที่นี่ได้เช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ท่านก็จะสามารถหาเงินได้ก้อนใหญ่ ต่อให้ข้าไม่เผาเครื่องเซ่นไหว้มา พวกท่านก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ภายในเวลาไม่กี่ปี พวกท่านก็จะกลายเป็นเศรษฐีใหญ่ในยมโลก!”

บรรพชนสองตะลึงงันและร้องออกมา “เก็บเงินจากทั้งสองฝั่ง? ธุรกิจดีงามแบบนี้เชียวหรือ ผู้คนจะไม่โจมตีและด่าทอพวกเราหรอกหรือ”

“ระหว่างเป็นตายอยู่ในมือของพวกเรา และมีก็แต่เส้นทางนี้ที่สามารถเชื่อมโยงโลกแห่งคนตายและโลกแห่งคนเป็นเข้าด้วยกันได้ ต่อให้พวกเขาสบถด่า พวกเขาก็ยังคงไม่มีทางเลือก แต่ต้องใช้เส้นทางนี้และจ่ายเงินพวกเรา”

บรรพชนสองรีบวิ่งออกไป ลุยฝ่าไฟแท้หยางพิสุทธิ์ เพื่อไปยังโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยางของบรรพชนแรก เขาไม่สนใจไฟที่ลุกติดตามเนื้อตัวของเขาขณะที่วิ่งกระโจนเข้าไปในโถงเพื่อหยิบฉวยระหว่างเป็นตายมา

สัตว์ยักษ์เฝ้าประตูสองตัวปากบิดเบี้ยวกระตุกเมื่อพวกมันกล่าว “บรรพชนสอง นายผู้เฒ่ามีสมบัติอยู่เพียงเท่านี้ เดี๋ยวท่านก็สูบเลือดเขาแห้งตายในไม่ช้าไม่นาน!”

บรรพชนสองส่งยิ้มให้พวกมัน “อาจารย์ข้ายังจะถือข้าเป็นคนนอกหรือ เมื่อข้าร่ำรวย พวกเจ้าก็จะได้อานิสงส์ด้วยเช่นกัน”

ฉินมู่รับระหว่างเป็นตายมา อันเป็นแม่น้ำเล็กๆ ที่ยาวประมาณวาครึ่ง มันมีสะพานและเรืออยู่ในนั้น

บรรพชนสองแนะนำเขา “ขัดเกลาระหว่างเป็นตายนี่ก่อน เมื่อเจ้าทำพิธีกรรม ก็จะสามารถสัมผัสถึงมันที่นี่ได้ จำไว้ว่า ต้องทำพิธีในตอนกลางคืน หากว่าเจ้าทำพิธีในตอนกลางวัน เจ้าก็จะเห็นภาพอย่างที่เจ้าเห็นในตอนนี้ เทพเจ้าบนดวงอาทิตย์จะเอาไฟไล่เผาพวกเราจนไม่เป็นอันทำธุรกิจ“

ฉินมู่รับคำและแขวนห้อยแม่น้ำสายยาวนี้ไว้บนหลัง “บรรพชนสอง โปรดรอข่าวจากข้า”

บรรพชนสองสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนนั้น และกล่าวทันที “ธุรกิจเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่าอุทิศกำลังลงไปมากนักและมุ่งเน้นที่การฝึกปรือของตนเองดีกว่า ปล่อยให้เรื่องการเก็บเงินทองเป็นหน้าที่คนอื่น”

ฉินมู่ผงกหัวและกล่าว “ข้าเข้าใจ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็นำเหรียญทองยมโลกออกมาอีกจำนวนหนึ่ง “บรรพชนสอง โปรดส่งเหรียญพวกนี้ไปให้บรรพชนคนอื่นๆ เพื่อใช้ประทังชีวิตในช่วงนี้ก่อน”

“กษัตริย์มนุษย์ฉินช่างมีแก่ใจคิดถึง”

ฉินมู่กล่าวลา และเทพฉือซิ่วก็ส่งเขาไปที่หินปักปันเขตแห่งแดนเป็นของคนตาย “หลังจากเดินออกไปจากที่นี่ก็จะไม่มีไฟแท้หยางพิสุทธิ์อีกต่อไป เจ้าแค่นั่งเรือก็ออกไปได้”

ฉินมู่กล่าวขอบคุณ หลังจากเดินออกจากแดนเป็นของคนตาย กายเนื้อของเขาก็กลับมาเป็นปกติ เขาโบกมือให้กับเทพฉือซิ่วที่กระพือปีกบินจากไป

ท่าเรืออยู่ใกล้ๆ และฉินมู่ก็เรียกเรือโดดเดี่ยวกลางทะเลหมอก โครงกระดูกนักพรตหลิงจิ่งคัดท้ายเรือมา บรรทุกเขา กิเลนมังกร และหีบขึ้นไปส่งยังอีกฝั่งฟาก

เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ ฉินมู่ก็ลงจากเรือและนำเอาเหรียญทองสามเหรียญจ่ายค่าโดยสาร นักพรตหลิงจิ่งตื่นตะลึงและรีบกล่าว “พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นไม่ต้องจ่าย”

ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “นักพรตโปรดรับไปเถอะ”

นักพรตหลิงจิ่งรีบรับค่าโดยสารของเขาและถามหยั่ง “กษัตริย์มนุษย์ฉินไปร่ำรวยอะไรมา”

ฉินมู่หัวเราะฮาๆ “ข้ากำลังจะรวยแล้ว! นักพรต ลาก่อน”

นักพรตหลิงจิ่งใช้สายตาส่งเขาไป และเก็บเหรียญทองเอาไว้อย่างดีพลางครุ่นคิดกับตนเอง อีกไม่กี่ร้อยปี ข้าก็จะสามารถซื้อบ้านในยมโลกได้เหมือนกัน…

เทพฉือซิ่วกลับไปยังท้องพระโรงราชาฉินและเห็นว่าสิ่งก่อสร้างอันถล่มพังลงมานั้นได้กลับเป็นปกติแล้ว เขาเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังและเห็นท้าวยมราชยืนอยู่ที่ปลายสุดโถง มองไปยังเพลิงไฟข้างหลังประตู

“อาคันตุกะจากหมู่บ้านไร้กังวล น่าสนใจจริงๆ” ท้าวยมราชพลันกล่าว”แม้ว่าเขาจะมิได้ถือกำเนิดในหมู่บ้านไร้กังวล แต่สายเลือดของเขาก็ยังคงเป็นของจักรพรรดิก่อตั้ง เขานั้นไม่ธรรมดา เพียงการพบกันระยะสั้นๆ ข้าก็มีความคาดหวังมหาศาลต่อตัวเขา หากว่าเป็นบิดาของเขาที่มา ความคาดหวังของข้าคงยิ่งใหญ่ แต่กระนั้นข้าก็คงจะหดหู่ใจหลังจากนั้นอยู่ดี ทว่าในตอนนี้ แม้ว่าข้าจะผิดหวังในตอนแรกที่เขามาถึง แต่ความกระตือรือร้นคาดหวังของข้ากลับยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ”

เทพฉือซิ่วไม่เข้าใจ “จ้าวลัทธิฉิน กษัตริย์มนุษย์ฉินผู้นี้ มีอารมณ์ที่กระโดดเพ่นพ่านไปทั่ว ไฉนท้าวยมราชจึงมีความคาดหวังต่อตัวเขา เขาอยู่ในยมโลกแค่ครึ่งวันก็ไปต่อยตีกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดจนน่วม ทุบทำลายโถงวังของจ้าวลัทธิจู่หยาง และอัดอดีตจ้าวลัทธิมารฟ้าทั้งหมดจนยับเยิน เขายังไปรีดไถเงินทองจากอดีตจ้าวลัทธิ ทั้งยังไปขอระหว่างเป็นตายมา วางแผนที่จะเชื่อมโลกแห่งคนตายและโลกคนเป็นเข้าด้วยกันเพื่อทำธุรกิจ! นี่ไม่ใช่เล่นอะไรไร้สาระหรอกหรือ”

ท้าวยมราชหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม “ยมโลกนั้นเย็นเยือกและไร้ชีวิตชีวามากเกินไป ดังนั้นปล่อยให้เขาเล่นบ้าไปเถอะ เผื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันคาดไม่ถึงขึ้นมา ข้าไม่เคยเห็นคนที่น่าสนใจกับความคิดแผลงๆ แบบนี้มาก่อน บางทีเขาอาจจะทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความลับเกี่ยวกับตัวเขาก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เขาคิด นี่ทำให้ข้ายิ่งลุ้นรอดูกาลข้างหน้าของเขามากยิ่งขึ้นไป…”

เทพฉือซิ่วตกตะลึง “ท้าวยมราชจะอนุญาตให้เขาเชื่อมต่อยมโลกกับโลกแห่งคนเป็นเพื่อทำธุรกิจจริงๆ น่ะหรือ”

ท้าวยมราชโบกมือ และไม่กล่าวอะไรอีก

แม้ว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นมาแล้ว ความมืดก็ยังคลี่คลุมแดนใต้พิภพ ที่นี่ไม่มีท้องฟ้า แผ่นดิน ดวงตะวัน ดวงจันทร์ หรือดวงดาว

ซิงอ้านล่องลอยไปในความมืด แต่ในจังหวะนั้น ก็มีเสียงเลือนลางแว่วมา ปลุกเขา

“ซิงอ้าน ตื่นขึ้นมา…”

………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท