ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 524 ตามหามรรคาในนครหยกน้อย

ตอนที่ 524 ตามหามรรคาในนครหยกน้อย

หลิงอวี้จิวส่งฉินมู่ไปยังสถาบันนักบุญสวรรค์ก่อนที่จะกลับไปยังเมืองหลวงในสองวัน อันนางจะต้องรอการจัดแจงของจักรพรรดิ

เมื่อจักรพรรดิต้องการที่จะเปิดสี่สถาบันใหญ่แห่งใหม่ให้กลายเป็นสถาบันการศึกษาขั้นสูงสุดอันเป็นรองเพียงแค่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ หัวหน้าโถง ผู้อาวุโส และเทวราชทั้งหลายแห่งลัทธิมารฟ้า ก็ต่อสู้ต่อรองกันยิบตาในสภาราชสำนัก ความพยายามของพวกเขาก่อผล และสถาบันนักบุญสวรรค์ก็ได้รับอนุญาตให้ก่อตั้งขึ้นมา มันใช้คฤหาสน์ของท่านยายซีเป็นที่ตั้ง และหลังจากการต่อสู้กับซิงอ้าน ท่านยายซี เฒ่าใบ้ เฒ่าบอด และนักปรุงยาก็อาศัยอยู่ที่นี่

มีสาวกลัทธินักบุญสวรรค์มากมายในสภาราชสำนัก ที่สูดสุดก็คือราชครูและเจ้านครเว่ย ส่วนต่ำสุดก็คือทหารและตำรวจในทั่วทุกท้องที่ ดังนั้นฉินมู่จึงไม่จำเป็นต้องต่อสู้ให้กับสถาบันของตนเอง ในเมื่อมีคนอื่นจัดการให้ในนามของเขา

ท่านยายซี เฒ่าใบ้ และเฒ่าบอด กลายเป็นครูผู้สอนแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์ สอนบรรยายความรู้เป็นครั้งคราว ส่วนครูผู้สอนคนอื่นๆ ส่วนมากจะเป็นหัวหน้าโถงแห่งลัทธินักบุญสวรรค์

เมื่อฉินมู่มาที่นี่ ก็ได้เวลาเรียนกันพอดี แต่เขามองไม่เห็นใครในสถาบัน มีก็แต่ฝูงมังกรไร้เขาที่โดดโลดเต้นกันอยู่ในทะเลสาบ พอพวกมันเห็นฉินมู่ ตอนแรกพวกมันก็ตกตะลึง จากนั้นก็รีบกระโดดขึ้นมาบนฝั่งอย่างกระตือรือร้น

ฉินมู่พลันรู้ว่าสถานการณ์ย่ำแย่และรีบหันหลังวิ่งหนี ไม่ใช่ว่ามังกรไร้เขาพวกนี้ธิดาเทพเซี่ยงเอาไว้เลี้ยงไว้บนภูเขานักบุญเยือนหรือไร ทำไมพวกมันถึงมาที่สถาบันนักบุญสวรรค์

“มาฮา! มาฮา! มาฮา!”

ฝูงมังกรไร้เขาพุ่งผ่านกิเลนมังกรและหีบ สักครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็ถูกฝูงมังกรไร้เขาจับเอาไว้ได้ หลังจากนั้น เขาก็ได้แต่ลากร่างเหนื่อยอ่อนของตนไปข้างหน้าพร้อมกับมังกรไร้เขาสิบกว่าตัวที่ถูไถหัวของพวกมันกับตัวเขาอย่างไม่หยุดหย่อน เขาของพวกมันเสียดสีคอเขาจนถลอกเป็นแผล

“มาฮา…” มังกรไร้เขาตัวเล็กเกาะเกี่ยวห้อยบนตัวเขาด้วยดวงตาหรี่ปรือราวกับว่ากำลังจะหลับ

ฉินมู่ร่างเปียกโชกราวกับว่าเขาเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ

กิเลนมังกรระบายลมหายใจแห่งความโล่งอก และมังกรไร้เขาพวกนั้นก็หันมาทางเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน กิเลนมังกรตระหนักว่าเขากำลังจะโดนมั่งแล้ว เลยรีบหันกายแล้ววิ่งหนีไป

“มาฮา! มาฮา! มาฮา!”

ฝูงมังกรไร้เขาวิ่งผ่านหีบไป และผ่านไปสักพักฉินมู่ก็เห็นกิเลนมังกรคลานกระดืบๆ กลับมาอย่างยากลำบาก คอ ร่างกาย และขาทั้งสี่ล้วนแต่เกาะเต็มไปด้วยมังกรไร้เขา

“มาฮา” มังกรไร้เขาถูไถไปมากับเนื้อตัวกิเลนมังกรจนเจ้าอ้วนนี่โชกเลือด

“มาฮา?” ฝูงมังกรไร้เขาโงหัวขึ้นมองหีบด้วยความสนใจใคร่รู้

หีบก้าวตามไปข้างหลังฉินมู่ แต่ทันใดนั้นมันก็ตระหนักว่ากำลังจะแย่ เลยรีบวิ่งหนีไปเช่นกัน

ฝูงมังกรไร้เขาไต่ไถลลงจากกิเลนมังกรและพุ่งตามหีบไปพลางร้องด้วยความลิงโลดดีใจ “มาฮา! มาฮา! มาฮา!”

กิเลนมังกรระบายลมหายใจแห่งความโล่งอกและนอนแผละลงกับพื้น ผ่านไปสักพักหนึ่ง หีบก็วิ่งกลับมา ทำให้ฉินมู่และกิเลนมังกรจ้องมองไปที่มันด้วยดวงตาเบิกกว้าง มันไม่มีมังกรไร้เขาอยู่บนหีบเลยแม้แต่ตัวเดียว

“มาฮา–” หีบอ้าออก และมังกรไร้เขาสิบกว่าตัวก็โผล่หัวออกมา พวกมันร้องเป็นเสียงเดียวกัน สนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง

นี่ดูเหมือนกับหีบที่ปลูกดอกคุณนายตื่นสายเอาไว้ทุกสีสันชูช่อประชันกันออกมา

หีบนั้นดูจะชอบใจกับเรื่องนี้และตามพวกเขาไปราวกับว่ามังกรไร้เขาพวกนี้ไม่หนักอึ้งเลยแม้แต่น้อย

“มู่เอ๋อกลับมาแล้วหรือ”

เมื่อระฆังดังเป็นสัญญาณเลิกคาบเรียน ท่านยายซีก็เดินออกมาจากโถงใหญ่ นางเห็นฉินมู่และรีบก้าวเข้ามาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้เจอเจ้าสักพักหนึ่งแล้ว เจ้านี่นับว่าเป็นอธิการบดีที่โบกมืออย่างเดียวและไม่ทำอะไรเองสักนิด เจ้าโยนบัณฑิตพวกนี้มาไว้ที่นี่และลื่นไหลหนีออกไปขณะที่ให้พวกเราต้องคอยดูแลพวกเขาแทนเจ้า…”

ฉินมู่กอดนางแน่น และน้ำตาก็ไหลพรากอย่างกลั้นไม่อยู่ “ท่านยาย!”

ด้วยความตกตะลึง ท่านยายซียิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “เจ้าโดนรังแกมาหรือ จ้าวลัทธิผู้ยิ่งใหญ่จะร้องไห้ขี้แยแบบนี้ได้อย่างไรกัน เจ้านั้นยังเป็นอธิการบดีของสถาบันนักบุญสวรรค์อีกต่างหาก ดังนั้นหยุดร้องเถอะ ให้พวกบัณฑิตมาเห็นเจ้าแบบนี้ไม่ดีหรอก บอกยายสิว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วยายจะไปจัดการทวงคืนให้เจ้าเอง”

ฉินมู่รู้สึกตนเองสงบใจลงและปล่อยนาง เขาส่ายหัวและกล่าว “เกิดอะไรขึ้นกับมังกรไร้เขาพวกนี้ ไม่ใช่ว่าพวกมันถูกส่งไปที่ภูเขานักบุญเยือนแล้วหรือ”

“แม่สาวเซี่ยงก็จะส่งพวกมันไปที่ภูเขานักบุญเยือนอยู่หรอก แต่นางรำคาญที่พวกมันกินเป็นแต่ยาวิญญาณ และไม่ใช่แค่ชนิดเดียวด้วย มันสิ้นเปลืองจนเกินไป ดังนั้นนางจึงส่งพวกมันกลับมา” ท่านยายซีอธิบาย

“แม่สาวเซี่ยงขี้ตืดจริงๆ และนางเอาแต่เฝ้าจ้องเงินทองของลัทธินักบุญสวรรค์เอาไว้ตาไม่กะพริบ แต่ถึงอย่างไร เอาพวกมันมาไว้ที่สถาบันก็ดีเหมือนกัน เมื่อบัณฑิตเรียนรู้วิธีการหลอมปรุงยาจากท่านปู่นักปรุงยาของเจ้า ยาวิญญาณที่พวกเขาหลอมปรุงก็ใช้ป้อนมังกรไร้เขาพวกนี้ได้พอดีเลย”

“จริงๆ แล้วเจ้าตัวเล็กพวกนี้ค่อนข้างโด่งดังในสถาบันของพวกเรา เมื่อบัณฑิตหมายจะวาดภาพมังกร หลอมสร้างอาวุธวิญญาณรูปทรงมังกร หรือฝึกปรือทักษะเทวะแนวๆ มังกร พวกเขาก็ต้องการพวกมัน”

“แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ใครตอแยเจ้างั้นหรือ เฒ่าเป๋! นักปรุงยา! เฒ่าบอด! มานี่สิ มู่เอ๋อถูกคนอื่นรังแกมา!”

ปัง!

มีเสียงระเบิดขนาดใหญ่ และเฒ่าเป๋ก็พลันปรากฏข้างกายฉินมู่ เขาถามด้วยความฉงน “ใครรังแกมู่เอ๋อของพวกเรา มันรำคาญชีวิตนักหรืออย่างไร”

“เป็นกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก เทพเที่ยงแท้ตนหนึ่ง ท่านปู่เป๋…” ฉินมู่กล่าว

เฒ่าเป๋ตัวสั่นเทิ้มและหันกายผละไป เฒ่าบอดรีบคว้าตัวเขาเอาไว้และถามด้วยรอยยิ้ม “เฒ่าเป๋ เจ้ากลัวหรือ”

“ข้ากลัวบ้าบออะไรกัน!” เฒ่าเป๋พึมพำ “ก็แค่ซิงอ้าน ไอ้วายร้ายนั่นที่ไม่ถึงขั้นเทพเที่ยงแท้ แต่ก็ยังทุบตีพวกเราจนหมดสภาพ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเป็นเทพเที่ยงแท้ตัวเป็นๆ ดังนั้นหากว่าพวกเราไปตอแยเขา มิใช่จะรนหาที่ตายหรอกหรือ”

นักปรุงยาเดินเข้ามา และครุ่นคิด “กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก? เทพเที่ยงแท้? จัดการเขาด้วยยาพิษไม่ได้หรือ”

ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าอยากจะเอาชนะเขาซึ่งๆ หน้าอย่างขาวสะอาดต่อสู้กับเขาที่ขั้นวรยุทธเดียวกัน ข้าต้องการกำจัดเขาด้วยมือตนเอง”

นักปรุงยาตัวสั่นเทิ้มก่อนจะยักไหล่ “วิชาฝีมือของข้าไร้ประโยชน์ในเรื่องนี้”

เฒ่าเป๋ถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่มีอะไรเสนอ แล้วเฒ่าใบ้ไปไหน”

“เขาเผ่นออกไปเมื่อหลายวันก่อน” คนแล่เนื้อพาดเสื้อมาบนบ่า เดินเข้ามาพลางกล่าวด้วยเสียงกัมปนาท “เจ้าหมอนั่นชอบกะล่อนไปทางนั้นทีทางนี้ที ไปที่ที่มีแต่สวรรค์เท่านี้ที่จะรู้ มู่เอ๋อ กำลังฝีมือของเทพเที่ยงแท้เป็นอย่างไร”

“เขาแข็งแกร่งกว่าข้าในทุกๆ ด้าน เขาวิ่งเร็วกว่าข้า พละกำลังของเขายิ่งใหญ่กว่าข้า ดวงจิตและร่างกายของเขารวมเป็นหนึ่ง เนตรเทวะเขาก็เหนือล้ำกว่าเนตรเทวะข้า พละกำลังในหมัดของเขาน่าตื่นตระหนก และมรรคา วิชา และทักษะเทวะของเขาก็ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งกับกายเนื้อ”

ฉินมู่สีหน้ามืดมน “เข้าได้บรรลุเขตขั้นเต๋าในทุกๆ ด้าน ดังนั้นสิ่งเดียวที่ข้าแข็งแกร่งกว่าก็มีเพียงพลังวัตร”

เฒ่าบอดขมวดคิ้วแล้วถาม “เขายังแข็งแกร่งกว่าเนตรเทวะข้าหรือ”

ฉินมู่ผงกหัวน้อยๆ

คนแล่เนื้อที่ไม่เคยกริ่งเกรงฟ้าและดินก็ยังต้องขมวดคิ้ว ผ่านไปสักพัก เขาถาม “เพลงมีดของข้า…”

“ถูกเขาทำลายไปอย่างง่ายดาย”

เฒ่าหนวกเดินเข้ามา “แล้วเต๋าแห่งภาพวาดล่ะ?”

“ไม่มีโอกาสได้แสดง”

“แล้วทักษะเทวะของลัทธินักบุญสวรรค์?” ท่านยายซีถาม

ฉินมู่ส่ายหัว ทุกๆ คนนิ่วหน้ากันหมด

“เจ้าได้ลองวิ่งดูไหม” เฒ่าเป๋ถามด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย

“เขาวิ่งทันข้า”

“พิษ… ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะ” นักปรุงยาโบกไม้โบกมือและกล่าว “ข้ามีความมั่นใจที่จะวางยาพิษเทพทั่วไป แต่กับเทพเที่ยงแท้ที่ไร้จุดอ่อนใดๆ ข้าไม่คิดว่าจะทำได้”

ฉินมู่ยิ้มให้แก่พวกเขา “พวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องข้านี้ ข้าได้ขบคิดเกี่ยวกับมันมาหลายวันแล้ว และข้าตระหนักบางสิ่ง แม้ว่าเขาจะดูแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่เมื่อกาลครั้งนั้นเขาได้หนีไปจากสนามรบ อันแปลว่าจะต้องมีบุคคลที่แข็งแกร่งกว่าเขาอีกเป็นแน่ เขามิได้ไร้เทียมทาน ดังนั้นข้าจะต้องหาวิธีก้าวล้ำเขาไปได้อย่างแน่นอน”

ท่านยายซีแย้มยิ้มและกล่าว “นานทีกว่าเจ้าจะได้กลับมา ดังนั้นอยู่ที่สถาบันนักบุญสวรรค์สักพักเถอะ ให้พวกเราช่วยเจ้าคิดวิธีแก้ไข”

ฉินมู่ผงกหัวและเดินเข้าไปเพื่อวางสัมภาระของตน

ยายเฒ่าซี คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด และคนอื่นๆ มาสุมหัวกันและมองไปที่แผ่นหลังของเขา คนแล่เนื้อขมวดคิ้วและกล่าว “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินมู่สูญเสียความมั่นใจ แต่ก่อนเขาไม่เป็นอย่างนี้ เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง แต่บัดนี้…” เขาส่ายหัว

เฒ่าบอดหรี่ตา “เทพเที่ยงแท้ พวกนั้นมันน่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ น่ะหรือ เหนือล้ำกว่าเนตรเทวะของข้าเชียว? ข้าไม่เชื่อ!”

“ในเมื่อเขามาที่นี่ พวกเราก็ควรฝึกฝนให้เขา!” เฒ่าหนวกพลันกล่าว “เรียนโดยไม่คิดคือตาบอด คิดโดยไม่เรียนคือนิ่งเฉย เขานั้นอยู่ในขั้นของการเรียนรู้และขบคิด การต่อสู้ของมู่เอ๋อกับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมิใช่เพียงแค่การต่อสู้ของวรยุทธเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้ของจิตเต๋า”

“หากว่าเขาผ่านสิ่งนี้ไปได้ มันก็อาจจะเป็นความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ในจิตเต๋าของเขา แต่ถ้าเขาผ่านไปไม่ได้ ข้าเกรงว่ากายาจ้าวแดนดินจะกลายเป็นกายาไร้ประโยชน์ ช่วยกันฝึกเขาให้ดีๆ เถอะ เพื่อให้เขาไม่กลายเป็นไร้ประโยชน์!”

ทุกคนผงกหัว

หลังจากที่ฉินมู่ลงหลักพักที่นี่ดีแล้ว ก็ราวกับว่าเขาได้กลับไปยังหมู่บ้านพิการชรา คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด เฒ่าหนวก เฒ่าเป๋ และท่านยายซีก็จะเรียกเขาไปซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อป้อนกระบวนท่าให้แก่เขา พลิกฟ้าคว่ำดินในสถาบันจากการต่อสู้

บัณฑิตส่วนใหญ่ในสถาบันมาจากลัทธินักบุญสวรรค์ ส่วนที่เหลือๆ มาจากแหล่งศึกษาอื่นๆ เพื่อมาแสวงหาความรู้ที่นี่ ในช่วงเวลาถัดไปหลายวันนี้ได้เปิดหูเปิดตาพวกเขาเป็นอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ประจักษ์วิชาฝีมือระดับตำนานของครูผู้สอนทุกคน

หลังจากหลายๆ วัน ท่านยายซีและคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ขมวดคิ้ว ฉินมู่นั้นกริ่งเกรงและกระสับกระส่าย ไม่กล้าที่จะโจมตี อันเป็นผลให้เขาถูกพวกเขาต่อยตีจนยับเยิน ที่แย่ที่สุดก็คือ แม้ว่าบางครั้งบางหนที่เขาโจมตี กระบวนท่าเขาจะเพริศแพร้วพิสดารอย่างถึงที่สุด แต่เขาก็จะขับเคลื่อนพวกมันไปเพียงครึ่งทางแล้วก็หยุด

คนแล่เนื้อโกรธเกรี้ยว และต่อยทุบเขาพลางดุด่าอย่างขึงขัง “ทำไมเจ้าไม่ร่ายกระบวนท่าจนสุด”

ฉินมู่ไม่ตอบโต้และได้แต่ส่ายหัว “มันผิดไปหมด…”

“เจ้าก็ต้องใช้มันจนสุดสิ ต่อให้มันผิด!”

ท่านยายซีรีบดึงคนแล่เนื้อออกมาและกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “จิตใจเขาไม่ค่อยปกติดี เลิกทุบตีเขาได้แล้ว! หากว่าเจ้าทำให้เขาเอ๋อไปทั้งๆ แบบนั้นล่ะ?”

เฒ่าหนวกผงกหัวและกล่าว “ในสมองของเขามีสิ่งมากมายก่ายกองเต็มไปหมด และเขาก็ครุ่นคิดมากเกินไป เขาได้ขุดตัวเขาลึกจนถึงทางตันและไม่อาจออกมาได้ ดังนั้นเจ้าทุบตีเขาแบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้อะไรหรอก เมื่อเขาเสาะหาหนทางของตนเองออก เขาก็จะกลายเป็นปรมาจารย์”

คนแล่เนื้อจ้องไปที่เขา “หากว่าเขาหาหนทางออกมาไม่ได้ล่ะ?”

ทุกคนเงียบกริบ

“มู่เอ๋อ เจ้าคงเรียนอะไรจากที่สถาบันนี่ไม่ได้สักอย่างหรอก ดังนั้นเจ้าออกไปเดินท่องเที่ยวโดยไม่สนใจกังวลใดจะดีกว่า” ท่านยายซีกล่าว

ฉินมู่ผงกหัวและเก็บสัมภาระ ออกไปจากสถาบันด้วยหัวอันมึนงง

เฒ่าเป๋ตามเขาไปสักระยะหนึ่ง ทว่าเห็นก็แต่ฉินมู่เดินสะเปะสะปะอย่างสุ่มๆ เมื่อพบว่าฉินมู่มิได้ตกอยู่ในอันตราย เขาก็คลายใจลงและกลับไปยังสถาบัน

วันหนึ่ง ฉินมู่มายังแม่น้ำหย่งและนั่งอยู่ที่ชายฝั่ง แทบจะทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงจากข้างหลังเขา “ไอ้เด็กแซ่ฉิน!”

ฉินมู่หันกลับไปและเห็นเด็กหนุ่มในชุดหรูหรายืนอยู่ข้างหลังเขาด้วยความแตกตื่นผวา พร้อมที่จะหลบหนีไปในทุกเมื่อ

“โอ ที่แท้ก็ผู้สูงศักดิ์” ฉินมู่หันกลับไปจ้องแม่น้ำต่อ

ผานกงสั่วยืดตัวขึ้นด้วยขาคนหนึ่งข้างและขากวางหนึ่งข้าง เขาหมายจะหลบหนีไปทันทีที่เด็กหนุ่มผู้นี้โจมตีใส่เขา แต่เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งอยู่ริมฝั่งน้ำโดยไม่มีเจตนาโจมตี เขาจึงใจกล้าขึ้น ขยับเข้าไปใกล้และถาม “จ้าวลัทธิฉินดูเหมือนจะมีความยุ่งยากอะไรอยู่หรือ เจ้าและข้าเป็นสหายเก่ากัน เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่บอกข้าถึงสิ่งที่กัดกินใจเจ้าอยู่เสียหน่อยล่ะ บางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าไขปัญหานั้นได้”

ฉินมู่นั้นเบื่อจนแทบตายและโยนก้อนหินเข้าไปในแม่น้ำ “ข้ากำลังคิดว่า ข้าจะเอาชนะเทพเที่ยงแท้ในวรยุทธขั้นเดียวกันได้อย่างไร แต่ข้าไม่พบคำตอบ ผู้สูงศักดิ์ เจ้าสอนข้าได้หรือไม่”

ผานกงสั่วตาเป็นประกายวาบ และเขาเข้าไปใกล้ทุกขณะๆ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างนี้นี่เอง เจ้าคงจะยุ่งยากใจมากๆ เลยตอนนี้สินะ? เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไร้ประโยชน์มากๆ เลยสินะ? ว่าชีวิตนั้นไม่น่าสนใจเอาเสียเลย? ถ้าอย่างนั้น จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ให้ข้าช่วยเจ้าสิ้นสุดความกังวล ฮี่ๆ…”

ครืน

แม่น้ำกระเพื่อมสูงนูนขึ้นมา และศีรษะขนาดยักษ์ของเทพครองแดนเลี้ยงมังกรก็ผงาดลอยราวขุนเขา หนวดของเขาแกว่งไกวไปในอากาศข้างๆ ผานกงสั่ว

เด็กหนุ่มผู้นี้พลันตัวแข็งทื่อ และใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเหลือง เขารีบหันกายจากไป “ขออภัยที่รบกวน ลาก่อน!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็หายไปโดยไร้ร่องรอย

เทพครองแดนเลี้ยงมังกรจ้องมองเขาจากไปและส่ายหัว “ไอ้เด็กนี่มันกะล่อนยิ่งกว่าปลาไหล ฝ่าบาท ข้าไม่อาจไขปัญหาให้ท่านได้ แม้ข้าจะเป็นเทพ แต่ก็ไม่มีพลังอำนาจที่จะสามารถกำจัดเทพเที่ยงแท้”

ฉินมู่ถอนหายใจขณะที่ภูเขาข้างหลังเขา เทพป๋ายซี่บิดหางกระดุกกระดิกไปมาด้วยความรำคาญใจ “ข้าไม่มีความสามารถนั้นเช่นกัน! ฝ่าบาท ข้าเปลี่ยนภูเขาได้ไหม ลูกนี้มันเล็กเกินไป และวิหารของข้าก็เตี้ยแค่นี้เอง! ข้ายัดเท้าเข้าไปแม้แต่กีบเดียวก็ยังไม่ได้!”

ฉินมู่ลุกขึ้นและขี่กิเลนมังกรจากไป

“กษัตริย์มนุษย์ฉิน ท่านได้มายังนครหยกน้อยของข้าเพื่อบุกทลายด่านห้าปราณและด่านหกทิศหรือ” ผู้สันโดษชิงโยวรีบเข้ามาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม

“สักพักแล้วที่นครหยกน้อยของข้าไม่มีอาคันตุกะ โถงแห่งห้าปราณและโถงแห่งหกทิศได้รอการมาเยือนของกษัตริย์มนุษย์ จริงสิ มีอีกอย่างที่ข้ายังไม่ได้บอกท่าน เมื่อสองสามเดือนก่อน รูปสลักหินของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกของท่านดูเหมือนจะกลับมามีชีวิต เขาออกไปจากนครหยกน้อย ข้าไม่รู้ว่าเขาไปที่ใด”

หางตาของฉินมู่กระตุก และเขากล่าว “ข้าได้พบเขาแล้ว”

บนใบหน้าของผู้สันโดษชิงโยวมีวี่แววของความตื่นตระหนก “ท่านได้พบเขาแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้น ท่านก็รู้ด้วยหรือไม่ว่ารูปสลักหินของนักบุญคนตัดไม้ก็ได้กลับมามีชีวิตและออกไปจากนครหยกน้อยเช่นกัน”

……………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท