ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 526 จุติลงมา

ตอนที่ 526 จุติลงมา

กิเลนมังกรตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเกิดตระหนักขึ้นมา ฉินมู่ได้ใช้วิธีการบูชายัญเพื่อเปลี่ยนตัวเขาให้เป็นเครื่องเซ่นสังเวย ด้วยวิธีนี้เขาก็ย้ายตนเองไปยังโลกอื่น ขณะที่การดำรงอยู่ของเขาถูกแทนที่ด้วยแม่ทัพมารแห่งโลกอื่นเพื่อธำรงดุลยภาพระหว่างสองโลก!

การคำนวณของจ้าวลัทธิบรรลุขั้นลึกซึ้งระดับนั้นแล้วหรือนี่ เขาคำนวณมันได้อย่างไรกัน

กิเลนมังกรจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง หลังจากติดตามปรมาจารย์เยาว์มาหลายปี เขาก็มีความสำเร็จเชิงคำนวณอันสูงส่ง หากว่าไม่ใช่เพราะความขี้เกียจของเขา เขาก็คงจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณระดับหัวกะทิของโลกหล้า

แต่ถึงอย่างนั้น วิธีในการคำนวณของฉินมู่ก็ทำให้แม้แต่เขายังต้องอ้าปากค้าง

เขารู้จักทฤษฎี แต่เมื่อคิดว่าจะประยุกต์ใช้พวกมันอย่างไร จิตคิดของเขาก็โล่งว่างเหมือนกระดาษขาว

วิธีบูชายัญเปลี่ยนเลือดและเนื้อให้กลายเป็นพลังงาน ส่งพวกมันผ่านไปยังโลกมิติอื่น เพื่อไปแทนที่สิ่งมีชีวิตจากโลกใบนั้น แต่ทว่า ฉินมู่มิได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นพลังงาน แต่ส่งผ่านตัวเขาเองในสภาพครบสมบูรณ์ไปยังโลกอื่น การทำเช่นนี้มีข้อต้องคิดคำนึงมากมาย อันเกินกว่าขอบเขตและขอบฟ้าของกิเลนมังกร

ฉินมู่ไม่เพียงแต่ใช้วิชาคำนวณ แต่ยังผนวกรวมกับวิธีบูชายัญของราชามารตู้เถียน เช่นเดียวกับวิธีการวัดห้วงอวกาศ การเคลื่อนย้ายระยะไกล ทั้งหมดนั้นจำต้องมีความรู้ปริมาณมหาศาลจนน่าแตกตื่น เพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของวิธีการของเขาก็เพียงพอที่ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายจะต้องใช้เวลาศึกษาไปชั่วชีวิต

จ้าวลัทธิใช้ตนเองเป็นเครื่องสังเวยเพื่อเคลื่อนย้ายตนเองไปยังโลกอื่นในคราวนี้ แต่ว่าเขาจะกลับมาอย่างไร กิเลนมังกรพลันนึกได้ถึงประเด็นสำคัญและมองไปที่แม่ทัพมารซึ่งยังตะลึงงัน เขาพลันตะโกนไป “ยืนอยู่ตรงนั้น อย่าขยับ!”

แม่ทัพมารยังคงงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อครู่เขากำลังบุกตะลุยไปข้างหน้าอยู่ชัดๆ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่บนสถานที่แห่งนี้ เขาก้มหน้าลงและเห็นสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนลูกผสมระหว่างหมูและมังกรอันมีเกล็ดปกคลุมไปทั้งตัว กับหีบประหลาดใบหนึ่ง เป็นสัตว์ประหลาดที่อ้วนฉุอย่างเหลือเชื่อนั่นแหละที่เป็นผู้พูด

แม่ทัพมารมองไปรอบๆ ตนอันไม่มีสิ่งใดนอกจากความมืดแสนเข้มข้น เขาพึมพำ “เย เคอ ฮา เอ (ที่นี่คือที่ไหน)”

กิเลนมังกรยกหีบขึ้นและโยนมันไปใส่แม่ทัพมาร มารตนนี้แค่นเสียงเฮอะและยกมือขึ้นเพื่อคว้าสิ่งอันลอยเข้าใส่ ในพริบตาถัดมา หีบก็เปิดอ้าออกและกลืนเขาเข้าไปในคำเดียว!

ปัง

หีบร่วงลงมาวางบนแท่นสังเวยพร้อมกับที่แม่ทัพมารกำลังอาละวาดปึงปังอยู่ในนั้น เขาทำให้หีบโยกกระดอนไปมาทั้งซ้ายและขวาจากการฟาดทุบ กระโดดขึ้นและลงในนั้นอย่างสะเปะสะปะ

จังหวะที่กิเลนมังกรเหวี่ยงหีบออกไป เขาก็ได้ทะยานขึ้นไปบนอากาศเมื่อหีบร่วงลงมา เขาก็กระโดดลงไปทับมันเอาไว้อย่างแน่นหนา แม่ทัพมารในหีบแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ และเกือบทำให้เขากระเด็นกระดอนออกไป

เขารีบกล่าว “พวกเราปล่อยเขาออกมาไม่ได้เด็ดขาด! ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราก็ปล่อยเขาออกมาไม่ได้! พวกเราจะต้องเก็บเขาเอาไว้ เพื่อให้เมื่อจ้าวลัทธิอยากจะกลับมา เขาก็จะสามารถบูชายัญหมอนี่ได้อีกครั้ง! แต่ยาวิญญาณที่จ้าวลัทธิให้ข้าไว้คงเป็นเสบียงได้ไม่นาน…ช้าก่อน ยาวิญญาณของข้าทั้งหมดอยู่ในหีบ!”

กิเลนมังกรร้องโหยหวน

เสียงของแตรเขาสัตว์ดังกังวานขึ้นและกังวานขึ้น ราวกับว่าเครื่องเป่านี้ถูกเป่าอยู่ข้างหูฉินมู่ เกือบจะทำให้เขาหูหนวกไปเลย เขาหันกลับไปมอง และกระแสอากาศรุนแรงก็ซัดเข้ามา คลื่นเสียงสยบมันเอาไว้ ทำให้ผิวของเขากระเพื่อมเป็นคลื่นๆ

ข้างหลังเขาคืองาช้างยาวมหึมา อันยาวกว่าสิบห้าวาและเต็มไปด้วยมีดเหล็ก

ช้างยักษ์สามตัวอันมีรอยประทับมารไปทั่วตัวของพวกมันกำลังลากรถเมฆาทลายเมือง งาของมันกวัดแกว่งไปซ้ายและขวา เสียบปักมารเป็นสิบๆตัวไว้บนมีดเหล็กของพวกมัน เมื่อถูกปักติดเข้าไป ผู้คนเหล่านั้นก็ได้แต่ถูกแกว่งไปมาตามจังหวะงา

บนรถเมฆาทลายเมืองคือเขาของสัตว์พิสดารอันหนาใหญ่เสียยิ่งกว่างาช้างเสียอีก มันถูกเจาะให้กลวงและเปลี่ยนเป็นแตรเขาสัตว์อันปากแตรทั้งสองข้างใหญ่กว้างขนาดที่ผู้คนสองถึงสามคนเข้าไปยืนอยู่ได้ เสียงอันกึกก้องจนหูอื้ออึงดังมาจากแตรเขาสัตว์นี้

บนรถศึก ยักษ์มารตนหนึ่งกำลังเร่งเร้าปราณชีวิตของตนเพื่อเป่าแตรเขาสัตว์ เสียงของมันดังสนั่นจนแพร่กระจายไปทั่วทั้งสนามรบ

รถเมฆาทลายเมืองอันใหญ่โตมโหฬารไร้ปานเปรียบไม่สนใจมิตรและศัตรู บดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางทางมันด้วยคชสารยักษ์และล้อรถ มันบดทับฝูงมารมากมายที่บุกตะลุยไปข้างหน้าจนเลือดและเนื้อสาดกระจายไปทุกหนทุกแห่ง!

รอบข้างฉินมู่เต็มไปด้วยทหารมารที่สวมใส่เกราะดำและกวัดแกว่งอาวุธของพวกเขา โดยไม่คิดอะไรมาก เขาเริ่มต้นวิ่งตะบึงไปในทิศทางเดียวกับพวกนั้น คือมุ่งไปยังสนามรบ

“อา ผู เกา เนิน ฮาม (เจ้าคือใคร)” มารตนหนึ่งพลันตระหนักว่าฉินมู่มิใช่พวกเดียวกันกับพวกตนจึงส่งสายตาพิศวงไป

พริบตาถัดมา ศีรษะของเขาก็ปลิวกระเด็น

ไจกระบี่พวยพุ่งออกมาจากถุงเต๋าตี้ของฉินมู่ และร่วงลงมาในมือของเขา กระบี่มากมายนับไม่ถ้วนไหลบ่าออกมาจากสองฟากกำปั้น พวกมันสร้างภาพลวงของกระบี่วาวสองคม อันด้านทั้งสองแหลมทั้งคู่ มีด้ามจับตรงกลาง และใบกระบี่ยาวถึงยี่สิบวา

ฉินมู่เหวี่ยงหมุนกระบี่ของเขาเป็นวงกลมและกวาดมันไปรอบทิศทาง ทหารมารทั้งหมดที่กระโจนเข้ามาใส่เขาพลันกลายเป็นชิ้นส่วนอวัยวะที่ร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้า คชสารยักษ์ที่พุ่งตะบึงเข้าใส่ก็ถูกสะบั้นขาหน้าทั้งสอง และล้มหน้าปักพื้น ทำให้งาของมันหัก

ข้างหลัง รถเมฆาก็กระเด็นขึ้นไปบนอากาศ และพลิกคว่ำลงเหนือศีรษะฉินมู่

มารตัวยักษ์บนรถศึกจ้องมองไปทางเขาขณะที่ปลิวหัวพลิกคว่ำไปกับรถ เมื่อเขาเห็นฉินมู่ ดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ถัดมา กระบี่เล่มหนึ่งก็แทงทะลุหัวเขา ปักเอาไว้คารถศึก

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกหลังจากที่จัดการอันตรายอันจะถูกช้างยักษ์และรถศึกพุ่งชนเอาได้ เขามองไปข้างหลัง และขนหัวก็ลุกจนหนังหัวชาดิก

ข้างหลังเขาคือคชสารยักษ์จำนวนมากที่ชักลากรถเมฆาทลายเมืองอันขับเคลื่อนด้วยเหล่ามารตรงไปยังสนามรบฝั่งตรงข้าม

เสียงกึกกักอึกทึกของเท้ามหึมามากมายอันเหยียบย่ำลงไปบนพื้นซ้ำๆ ราวกับสายฟ้าอันฟาดเปรี้ยงปร้างข้ามสมรภูมิ

ข้างหลังรถเมฆายักษ์ ก็มีสัตว์พิสดารจำนวนมากมายอันใหญ่โตเสียยิ่งกว่าช้างมหึมาเสียอีก พวกมันวิ่งตะบึงด้วยความบ้าคลั่งพร้อมกับมารเทวะหน้าตาถมึงทึงที่ยืนอยู่บนหลังของมันพร้อมกับมารเทวะศาสตราในมือของพวกเขา

อาวุธเหล่านั้นแผ่พลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวและกวาดซัดไปบนท้องฟ้าเหนือสนามรบ ส่งเสียงหึ่งฮัมเมื่อพวกมันพุ่งยิงไปยังเทพเจ้าทั้งหลายที่ฝั่งตรงข้าม

คลื่นกระเพื่อมอันยิ่งใหญ่ตระการตา และในขณะเดียวกันก็น่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสน สร้างความปั่นป่วนบนท้องฟ้าเหนือสนามรบ พลานุภาพของเทพศาสตราและมารศาสตราปะทะกันและบิดเบี้ยวห้วงมิติ

แสงรังสีทุกประเภทเริงระบำอยู่บนท้องฟ้า คมมีดสะท้านโลกทุกสีสันกวาดซัดไปๆ มาๆ บนนภากาศ คลื่นกระเพื่อมแผ่ไปทุกทิศทาง ทำให้ใครที่อาจหาญบินขึ้นไปต้องตายอย่างแน่แท้!

ฉินมู่รีบประเมินสถานการณ์ และสีหน้าของเขาก็กลายเป็นเครียดขรึม จุดที่เขาอยู่นั้นอยู่ตรงหน้าทัพมารพอดี!

ทหารที่อยู่ตรงนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารเลวชั้นต่ำที่สุด เป็นตัวป้อนปืนที่ใช้ให้พุ่งทะลวงไปยังฐานของศัตรูเพื่อหยั่งทดสอบการป้องกันของฝ่ายนั้น!

ในเมื่อฉินมู่อยู่ท่ามกลางทหารเลวป้อนปืน และกำลังจะเข้าไปปะทะกับผู้คนของศัตรู ก็มีโอกาสสูงที่ว่าเขาก็จะกลายเป็นเหยื่อกระสุนไปด้วยเช่นกัน

“อา พูเกา นาน หาน?”

เสียงตะโกนดังมาจากรถศึกข้างหลังเมื่อมารยักษ์หลายตนมองมาทางเขาด้วยความสงสัย

“คู เตอะ เก่ย ลั่ว (เป็นพวกเดียวกับเจ้า)!” ฉินมู่รีบตะโกนกลับไปหาพวกเขา

ทหารมารจำนวนมากกระโดดลงจากรถศึก แต่ไม่เหมือนก่อนหน้า พวกเขาเป็นทหารชั้นยอดของเผ่ามาร พวกเขากรูกันเข้ามาราวกับน้ำบ่า พุ่งเข้ามายังฉินมู่อย่างบ้าคลั่งพลางตะโกน “ฮา ติ ลา (ฆ่า)!”

ฉินมู่ไม่ลังเลอีกต่อไปและหันกายวิ่งหนี เขานั้นกำลังงุนงงอยู่ ข้าก็บอกว่าข้าเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาชัดๆ ทำไมพวกเขายังจะฆ่าข้าอีก

ทหารชั้นยอดเหล่านั้นมิใช่มารชั้นเลวที่พุ่งไปข้างหน้าเป็นทัพหน้า ผู้คนเหล่านี้มีกำลังฝีมืออันแข็งแกร่งและอยู่ในบรรดาฝูงมารฟ้า ครั้งหนึ่งฉินมู่เคยต่อสู้กับเผ่าพันธุ์นี้ในแดนเป็นของคนตาย และจึงรู้ว่ากำลังฝีมือของพวกเขานั้นน่าแตกตื่น

ฝูงมารฟ้าซ่อนอยู่ข้างหลังรถเมฆาทลายเมือง และจะออกมาโจมตีก็ต่อเมื่อมารชั้นเลวในทัพหน้าไปบุกทะลวงเข้าไปในพยุหะกระบวนทัพของศัตรูและทำให้เสียกระบวนแล้ว

ในตอนนี้ ผู้คนมากมายจากฝูงมารฟ้าวิ่งไล่ล่าฉินมู่ไป หมายที่จะขจัดผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามนุษย์ผู้นี้ซึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาจากที่ใดไม่ทราบ

เสียงตะโกนดังมาจากข้างหลังและมารชั้นเลวก็ได้รับคำสั่งให้โจมตีฉินมู่ซึ่งกำลังวิ่งหนีไปเช่นกัน

“แปดพันกระบี่!” เขาตะโกนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด และกระบี่ยักษ์ในมือของเขาก็พลันพวยพุ่งออกไป แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปั่นหมุนอย่างบ้าคลั่ง และทัพหน้าก็พลันถูกหั่นเฉือนเป็นเศษเนื้อ กระบี่แปดพันเล่มราวกับลูกบอลแสงขนาดยักษ์ที่กลิ้งไปมาท่ามกลางเหล่าทัพหน้า ปั่นขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทาง

ฟิ้ววว!

ลูกบอลแสงกลิ้งไปบดขยี้ทัพมารจนกระทั่งยอดยุทธขั้นชาวสวรรค์ท่ามกลางมารชั้นเลวคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อปูดโปนก็พองทะลุเสื้อผ้าและชุดเกราะของเขา เขาขยายร่างจนสูงใหญ่ถึงสิบห้าวา และเหวี่ยงฟาดตะบองของเขาไปทุกทิศทางกำจัดมารชั้นเลวที่ขวางทางเขา

ตะบองของเขาหลอมสร้างขึ้นมาโดยใช้วิชาลับ และสามารถแยกออกเป็นสามสิบหกท่อน แต่ละท่อนเชื่อมต่อกันและหมุนปั่นกันคนละทิศละทาง บดขยี้ผู้คนของเขาให้กลายเป็นเศษเนื้อ

นายกองมารผู้นั้นกวาดล้างทุกคนออกไป จากนั้นเงื้อตะบองของเขาฟาดใส่ฉินมู่ เขาสามารถได้ยินเสียงเคร้งๆ ไม่รู้จบของกระบี่แปดพันเล่มที่รวบรวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วก่อขึ้นมาเป็นโล่ใหญ่ ป้องกันการโจมตีของเขา

ร่างของนายกองมารนั้นโงนเงน และเสียงปังอีกสองเสียงดังออกมาเมื่อแขนอีกสองข้างผุดขึ้นมาจากใต้รักแร้ของเขา พวกมันจับโล่ยักษ์ให้อยู่กับที่ และอีกสองแขนเดิมก็เงื้อตะบองขึ้นสูงเพื่อฟาดลงไปอีกครั้ง

ฉินมู่เทวาจำแลงเป็นเทพครองดาวเสาร์ ข้างหลังเขา ประตูน้อมสวรรค์อันสูงเป็นสิบวาก็ปรากฏขึ้นและเปิดออก ประตูนี้ป้องกันข้างหลังเขาโดยคร่าดวงวิญญาณของมารมากมายที่พุ่งมาทางข้างหลังเขาเข้าไปในแดนใต้พิภพ

ตูม!

เขาเงื้อมือขึ้นและส่งฝ่ามือไปปะทะกับนายกองมาร พลังวัตรของทั้งคู่แผ่พุ่งออกไปพร้อมกับทักษะเทวะของแต่ละฝ่าย ไม่ทันที่ตะบองของนายกองจะฟาดลงมาถึง ร่างของเขาก็ถูกซัดกระเด็นขึ้นไปบนอากาศด้วยฝีมือของฉินมู่ และพุ่งเข้าไปปะทะกับฝูงมาร พวกมารชั้นเลวบางคนถึงกับคอหักตายคาที่

แต่ในตอนนั้น ฝูงมารฟ้าที่ว่องไวที่สุดก็มาถึงตัวเขาแล้ว ไจมีดโบยบินมาจากท้องฟ้า พุ่งตรงไปใส่หน้าของฉินมู่

“หน้าผาสวรรค์ดาวหมีใหญ่!” ฉินมู่ตะโกนออกไป และฝ่ามือของเขาก็ผลักไปข้างหน้า

หน้าผาสวรรค์ดาวหมีใหญ่ของคณบดีป้าซานนั้นถูกขับเคลื่อนออกไปอย่างง่ายดาย และดวงดาวก็แผ่ออกไปราวกับเม็ดหมากล้อม ดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวธาตุทั้งห้าเป็นเจ็ดดาวหลัก พวกมันดวงใหญ่ที่สุดและแปรเปลี่ยนเป็นกำแพงแสงที่จับเอามีดโค้งไว้กลางอากาศ

ถัดจากนั้น หน้าผาสวรรค์ดาวหมีใหญ่ก็แตกทำลาย

ฉินมู่ร้องกระอักเสียงหนักและเซถอยหลัง บุคคลแรกจากฝูงมารฟ้าที่เร่งรุดมาถึงเป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาแห่งเผ่าอสุราจากเผ่าทั้งแปดแห่งมารฟ้า เขายื่นมือออกไป และมีดโค้งนับไม่ถ้วนก็โบยบินกลับมาก่อรูปเป็นไจมีดในมือของเขา

อสุรานั้นเหวี่ยงซัดมือ และไจมีดของเขาก็ส่งเสียงหึ่งพลางก่อขึ้นมาเป็นมีดยาวสองเล่ม ในเวลาเดียวกันนั้น มีดโค้งเล่มอื่นๆ ในไจมีดก็กลายเป็นละเอียดยิบ และไหล่ผ่านง่ามมือของเขาไปก่อขึ้นมาเป็นเม็ดทรายที่ไหลรี่ไปรอบๆ ตัวเขา

อสุรานี้เงื้อมีดโค้งในมือและโจมตีฉินมู่ราวกับพายุหมุน

เคร้ง!

ทั้งสองคนปะทะกัน และฉินมู่ก็เคลื่อนที่ไปเพื่อสลัดเอาพลานุภาพในการปะทะออก

กำลังมากอะไรอย่างนี้!

อสุรานั้นก็ถูกซัดกระเด็นไปเช่นกัน เขาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อตั้งตัวใหม่ จากนั้นพุ่งทะยานตรงไปยังฉินมู่ด้วยความเร็วสูงกว่าเดิม

ฉินมู่สืบเท้าไปหนึ่งก้าวและผลักฝ่ามือไปข้างหน้า แสงตรงหน้าเขากระเพื่อมสั่นไหว และปราณชีวิตของเขาก็เปลี่ยนเป็นคำตรึง ร่างของอสุรานั้นถูกตรึงไว้ชั่วแวบหนึ่ง แต่เมื่อเขากำลังจะขยับอีกครั้ง กระบี่ของฉินมู่ก็กวาดผ่านเขา และหัวใจก้อนหนึ่งก็ปลิวกระเด็นขึ้นไปบนฟ้า

“ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังด้อยกว่าข้าอยู่ดี”

ฉินมู่หรี่ตาลงเมื่อผู้คนจากฝูงมารฟ้าเข้ามาใกล้เขาอีกหลายคน แต่ละคนนั้นไม่ด้อยไปกว่าอสุราเมื่อครู่ อันทำให้เขาขนหัวลุก

แต่ทว่า ในตอนนั้นเอง เสียงกัมปนาทสะท้านโลกก็ดังมาจากสนามรบ มันเป็นการปะทะกับของทัพสองทัพ ในพริบตานั้น เลือดและเนื้อปลิวกระจายไปในอากาศ

ท้องฟ้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดมิด และที่ใจกลางสนามรบ แท่นสังเวยหนึ่งก็ผงาดขึ้นมาท่ามกลางความนองเลือด แผ่นดินที่ยกตัวสูงขึ้นมาเหวี่ยงฉินมู่และฝูงมารฟ้าและกระเด็นกระจัดกระจาย

ฉินมู่รีบมองไป และหัวใจของเขาก็กระโดดโครมครามด้วยความตื่นตระหนก แท่นสังเวยนั้นใช้เพื่อการสังเวยโลหิต และคล้ายคลึงกับอันที่เขาใช้เคลื่อนย้ายตนเองมายังโลกนี้

เป้าหมายหลักของแท่นสังเวยใหญ่นี้ก็เพื่อจะใช้เลือดและเนื้อในการสงครามเพื่ออัญเชิญตัวตนอันทรงพลังมาจากโลกอื่น

แท่นสังเวยนี้ใหญ่กว่าที่ข้าสร้างเป็นร้อยๆ เท่า…ใครกันที่ฝังมันเอาไว้ที่นี่

เมื่อเขาลงเหยียบพื้น เขาก็ถูกฝูงมารฟ้ากรูเข้ามาโจมตีจนไม่มีเวลาคิดวอกแวก

แท่นสังเวยจุดแสงติดขึ้นมาในเวลานั้น และอักษรรูนจำนวนมากก็หมุนเป็นเกลียววนรอบๆ มัน ส่องแสงสว่างไปทุกทิศทาง แสงเลือดสาดส่องข้ามท้องฟ้า พวยพุ่งไปเป่ารูทะลุในชั้นเมฆ

ตูม!

ขวานใหญ่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ตามมาด้วยพยัคฆ์ร้ายที่สวยงามและดุดัน ร่างของมันห้อมล้อมไปด้วยรอยประทับเทวะทุกชนิด

“นายท่าน!”

พยัคฆ์ดุคำรามลั่น และเงาร่างที่คุ้นตาก็ปรากฏบนหลังของมัน ฉินมู่มองไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า เพราะว่าความเผลอไผลชั่วแวบนั้น เขาเกือบถูกฝูงมารฟ้ากระซวกเอา

บนแท่นสังเวย เขาได้เห็นบุคคลที่คุ้นเคยถือขวานอยู่พลางขี่เสือเทพยดา

นั่นคือนักบุญคนตัดไม้ผู้ซึ่งถ่ายทอดคำสั่งสอนของเขาบนก้อนหิน

…………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท