ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 528 หนุ่มเงากับสาวเปีย

ตอนที่ 528 หนุ่มเงากับสาวเปีย

“เจ้าคือ…เด็กสาวเปียยาว!” ขณะที่ฉินมู่เพ่งพิศเด็กสาวสองเปียนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเด็กสาวที่เขาพบในความมืด เขาถามด้วยความยินดี “นี่คือเจ้าจริงๆ หรือ”

เด็กสาวที่เขาพบในครั้งนั้นมีเปียถักยาวสองเปีย แต่เพราะว่าพวกเขาอยู่กันคนละโลกมิติ พวกเขาจึงมิอาจสนทนากันหรือแม้แต่เห็นใบหน้าซึ่งกันและกัน พวกเขาทำได้เพียงแต่จดจำรูปร่างของแต่ละฝ่ายเอาไว้เท่านั้น

พวกเขาได้ผ่านราตรีอันยาวนานด้วยกันมาก่อน และหลบหนีการไล่ล่าของฝูงมารฟ้าไปด้วยกัน แต่ดวงอาทิตย์ขึ้นมาขับไล่ความมืดให้ล่าถอย เด็กสาวก็หายวับไปพร้อมๆ กับแดนมืด

เด็กสาวผู้ที่ยืนอยู่บนบ่าของเทพเจ้าตรงหน้าของฉินมู่ ก็มีเปียอันยาวถึงสะเอวของนางเช่นกัน

เมื่อนางได้ยินเขาพูดถึงเด็กสาวเปียยาว นางก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแกมยินดี นางรีบกระโดดลงจากบ่าของเทพเจ้า และมายังฉินมู่ด้วยการก้าวย่างไม่กี่ก้าว บนแก้มของนางพลันผุดลักยิ้มขึ้นมาสองจุด “เจ้าคือเด็กหนุ่มเงาคนนั้น! ท่านพ่อ เขาคือเด็กหนุ่มเงาที่ในตอนหลังก็หายไป!”

เทพเจ้าก้มหัวลงมาดูที่ฉินมู่ เขาถามอย่างสงสัย “หากว่าเจ้าคือเงา แล้วตอนนี้เจ้ามีกายเนื้อได้อย่างไร ข้าเห็นเจ้าต่อสู้เมื่อครู่นี้ และมันก็ไม่ธรรมดาจริงๆ พวกเรากำลังสงสัยอยู่พอดีเลยว่ายอดฝีมือเช่นนี้โผล่มาจากที่ไหน! เจ้าอยู่ในวรยุทธขั้นเจ็ดดาวอย่างนั้นหรือ การที่ผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวจะประสบความสำเร็จเหมือนเจ้านั้นหายากนักในสวรรค์ไท่หวง เจ้าเป็นเด็กหนุ่มที่เก่งกาจเกินคนจริงๆ!”

ฉินมู่สะท้านใจเล็กน้อย “มีผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวที่นี่ที่แข็งแกร่งกว่าข้าด้วยหรือ พวกเขาคือกายาจ้าวแดนดินหรือ”

“กายาจ้าวแดนดิน?” เทพเจ้ายกพวกเขาขึ้นและพาแบกไปข้างหน้าพลางถามด้วยสีหน้าว่างเปล่า “กายาจ้าวแดนดินคืออะไร ข้าไม่เคยได้ยินมันมาก่อน พวกเขาที่เจ้าถามนั้นเป็นคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ เป็นราชันย์ท่ามกลางหมู่กายาวิญญาณทั้งหลาย พวกเขากำเนิดมาอย่างเหนือธรรมดาและมิใช่กายาจ้าวแดนดิน”

“ราชันย์ท่ามกลางกายาวิญญาณทั้งหลาย?”

ฉินมู่กะพริบตา เขาไม่เคยได้ยินราชันย์ท่ามกลางกายาวิญญาณทั้งหลายมาก่อน และจิตใจเขาว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง แต่ทว่า ความตื่นเต้นผุดขึ้นมาในหัวใจของเขาอีกครั้ง ราชันย์ท่ามกลางกายาวิญญาณ คนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้–เขาคิดถูกแล้วที่มายังโลกแห่งนี้!

เขาได้ใช้ตนเองเป็นเครื่องสังเวยเพื่อเคลื่อนย้ายร่างกายมายังโลกแห่งนี้ ในสนามรบ เขาได้สังเกตพบจุดเด่นไม่ธรรมดาของฝูงมารฟ้า กำลังฝีมือของพวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง และหากว่าไม่ใครก็คนหนึ่งในพวกเขาถูกเอาไปไว้ที่สันตินิรันดร์ พวกเขาก็ล้วนจะเป็นผู้คนที่ไม่ด้อยไปกว่าผานกงสั่ว แน่ล่ะ ในด้านฝีมือการหลบหนีนั้น ผานกงสั่วก็ยังคงไร้เทียมทานอยู่ดี

สวรรค์ไท่หวงได้ผ่านการเคี่ยวกรำของศึกสงครามมาสองหมื่นปี มรรคา วิชา และทักษะเทวะของที่นี่จะต้องรุดหน้าไปด้วยความเร็วดุจเทพยดา ที่นี่ ข้าอาจจะค้นพบหนทางในการเอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก!

มือของเขากำขึ้นเป็นหมัดแน่น เอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้กลายเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ในเมื่อเขาไม่อาจค้นพบความหวังในการเอาชนะเขาได้ในสันตินิรันดร์ ก็เลยน่าจะลองมาหาดูในสวรรค์ไท่หวง!

ต่อให้เขาหาไม่พบ การเรียนรู้มรรคา วิชา และทักษะเทวะเพิ่มขึ้นอีกก็จะช่วยเขาในการพัฒนาตนเอง

ทันใดนั้นเทพเจ้านี้ก็พุ่งเข้าไปในสนามรบ ปล่อยพวกเขาเอาไว้ข้างหลัง “พวกเจ้ารอที่นี่!”

ห่างไกลออกไป ห้วงอวกาศมีรอยฉีกขาด และมือดำสนิทหกมือก็โผล่ออกมา พวกมันจับเอาขอบของรอยแยกห้วงอวกาศและดึงมันเปิดให้กว้างขึ้นอีก

เทพเจ้าพุ่งตัวไปและชักกระบี่ของเขาออกเพื่อตัดมือเหล่านั้น แต่ขณะที่เขาสะบั้นไปได้สองมือ ค้อนใหญ่ก็พลันพุ่งเข้ามาและซัดเขากระเด็นไป มารเทวะตนหนึ่งเข้ามาขัดขวางเขา

เด็กสาวเปียยาวมองไปที่สนามรบเขม็งเป็นระยะเวลาหนึ่ง นางค่อยระบายลมหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าบิดาของนางปลอดภัยดี และได้วกกลับไปสังหารมารเทวะที่โจมตีเขาเมื่อครู่

“เฮ้ พวกเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่แต่แรกนี่นา แล้วทำไมพวกเจ้าถึงปรากฏตัวที่นี่ได้”

เขานั้นก็สับสนเล็กน้อย สถานที่ที่เขาพบกับเด็กสาวคือส่วนลึกของแดนโบราณวินาศที่ห่างจากเมืองเขตมังกรไปถึงสองหมื่นสามหมื่นลี้ ที่ถูกแล้ว นางน่าจะไม่ได้อยู่แถวๆ นี้

สีหน้าของเด็กสาวเปียยาวตกวูบ “หลังจากที่เจ้าหายไป เมืองของพวกเราก็ถูกรุกราน และผู้คนมากมายก็ตกตาย ท่านพ่อเป็นคนที่ช่วยเหลือพวกเราและนำพวกเรามายังเมืองนวลอาภาแห่งนี้…”

นางพุ่งไปข้างหน้า และฉินมู่ก็ติดตามนางไปอย่างเร่งร้อน “เมื่อข้าหายไป มันก็เพราะว่ากลางคืนได้กลับมาเป็นกลางวัน เช่นนั้นฝูงมารในสวรรค์ไท่หวงของเจ้าก็ไม่ได้หายไปด้วยหรอกหรือ”

เด็กสาวเปียยาวฉงน “ทำไมพวกเขาถึงจะหายไปล่ะ”

ฉินมู่ตะลึง

เขาเคยคิดว่าสวรรค์ไท่หวงนั้นเหมือนกับแดนโบราณวินาศและกำลังเผชิญกับการรุกรานของความมืดเช่นกัน เมื่อเขาได้เดินผ่านมันและความมืดล่าถอยไป เขาก็ได้ออกไปจากสวรรค์ไท่หวงด้วย แต่จากที่เห็นในตอนนี้ สถานการณ์ในสวรรค์ไท่หวงแตกต่างจากของแดนโบราณวินาศ มารพวกนี้ไม่หายตัวไปหลังจากดวงอาทิตย์ขึ้น แต่ยังคงอยู่ที่นี่โดยไม่มีข้อจำกัดใด

ดูเหมือนว่าราชามารตู้เถียนจะพูดถูก ม่านคุ้มกันโลกของสวรรค์ไท่หวงและโลกแห่งมารได้ถูกบีบอัดและแตกทำลาย ฉินมู่ตกตะลึง ในเมื่อการสันนิษฐานของเขาแม่นยำเป๊ะๆ การคาดเดาอื่นๆ ของเขาก็อาจจะเป็นความจริงด้วยเช่นกัน หลังจากที่มารพวกนี้ได้ยึดครองสวรรค์ไท่หวงแล้ว พวกเขาก็จะบูชายัญมัน เพื่อนำโลกของมารพุ่งเข้าชนกับโลกสันตินิรันดร์! แต่ว่าข้าจะยับยั้งเรื่องนี้ได้อย่างไร

เด็กสาวเปียยาวพุ่งลงไปยังแท่นสังเวยพลางกล่าวอย่างเร็วปรื๋อ “เจ้าได้สู้ศึกมาสักพักแล้ว ดังนั้นเจ้าน่าจะไปที่เมืองนวลอาภาเพื่อพักผ่อนก่อน ข้ายังคงจะต้องไปสู้รบพร้อมกับกองทัพ”

“บาดแผลเล็กน้อยพวกนี้ไม่นับว่าเป็นอะไร” ฉินมู่ตามนางไปและกล่าว “ข้าก็เป็นหมอยาด้วยเช่นกัน และค่อนข้างโด่งดังในโลกของข้า ข้าได้รักษาตัวเองไปเมื่อครู่นี้ ข้ามาที่นี่เพื่อเสาะหาทักษะวิชาที่แข็งแกร่งขึ้น ในเมื่อทักษะวิชาต่างๆ มากมายในโลกของข้าได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว”

แท่นสังเวยใหญ่เท่าภูเขาได้ถูกยึดครองโดยฝูงมารฟ้า ใต้การนำของแม่ทัพใหญ่มารฟ้าผู้ซัดฉินมู่กระเด็นไปสิบลี้ ทหารหลายร้อยแห่งฝูงมารฟ้ากำลังต่อสู้กับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงบนแท่นสังเวยนั้น สถานการณ์ของฝ่ายหลังดูจะย่ำแย่

แม่ทัพมารซึ่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดของแท่นสังเวยกำลังร่ายทักษะเทวะ ในท้องฟ้า กระจุกสายฟ้าดำทมิฬม้วนกลิ้งมาและกระจายไปทั่วพื้น ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด เลือดเนื้อของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงก็จะหลอมละลาย กลายเป็นโครงกระดูกที่วิ่งได้

ฉินมู่หรี่ตา ความดุร้ายและความพิลึกกึกกือในทักษะเทวะของเผ่ามารนั้นยังสูงล้ำกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะที่ฝึกวิชามารในลัทธิมารฟ้าเสียอีก!

เด็กสาวเปียยาวพุ่งขึ้นไปบนแท่นสังเวย “ท่านพ่อและข้าได้เห็นเรื่องนั้นแล้วตอนที่พวกเราเฝ้าสังเกตการณ์ศึกในเมืองนวลอาภา แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง พลังวัตรของเจ้าร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อ ความสำเร็จในทักษะเทวะก็สูงล้ำเกินพรรณนา แต่วิชาฝึกปรือของเจ้าเหมือนจะมีปัญหา เจ้าไม่เผยแสดงวิชาฝึกปรือในเขตขั้นเทวะเลยแม้แต่นิด และท่านพ่อกล่าวว่าอารยธรรมของเจ้ามีช่องว่างที่ขาดหายไป”

เด็กสาวเผชิญกับไพร่พลฝูงมารฟ้าอันเป็นเผ่าอสุราซึ่งมีกำลังฝีมือและกายเนื้ออันกล้าแข็ง การโจมตีของเขาว่องไวอย่างเหลือแสนเมื่อเขาพลันร่างสั่นเทิ้ม เผยให้เห็นรอยประทับอักษรรูนทุกชนิดราวกับว่าพวกมันถูกสักเข้าไปในผิวหนัง

แต่ทว่าร่างเนื้อของเด็กสาวเปียยาวก็แข็งแกร่งจนเหลือเชื่อเช่นกัน ทั้งสองคนต่อสู้กันด้วยความเร็ว ซ่อนทักษะเทวะของแต่ละฝ่ายเอาไว้ระหว่างฝ่ามือและนิ้ว เช่นนั้น ผลลัพธ์การต่อสู้จึงตัดสินกันในพริบตา

เด็กสายเปียยาวบดขยี้หัวใจของศัตรูนางด้วยการจี้ไปที่หว่างคิ้วของอสุรา ศีรษะของเขาระเบิดออก และศพก็ร่วงลงกับพื้น กลิ้งลงไปจากบันไดแท่นสังเวย

หางตาของฉินมู่กระตุก เขาพบว่าทักษะเทวะของเด็กสาวผู้นี้ไม่ได้เพริศแพร้วพิสดารไปกว่าเขา–อันที่จริงแล้ว พวกมันหยาบกร้านเป็นอย่างยิ่ง–แต่วิชาฝึกปรือของนางมีหลายจุดที่เลิศล้ำเหนือธรรมดา

เด็กสาวเปียยาวต่อสู้บุกตะลุยขึ้นไปบนแท่นสังเวยพลางสนทนากับเขา “ท่านพ่อกล่าวว่าร่างกายของเจ้าหลายส่วนมิได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะผู้มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ ยกตัวอย่างเช่น มือ หัวใจ ตันเถียน ขา และดวงตา ได้บรรลุความสำเร็จอันสูงล้ำเรียบร้อยแล้ว”

“แต่ทว่ามือของเจ้ายังคงเป็นมือ ขาก็ยังเป็นขา หัวใจก็ยังเป็นหัวใจ ตันเถียนก็ยังเป็นตันเถียน เมื่อแยกมองเดี่ยวๆ ความสำเร็จของเจ้าสูงล้ำอย่างสุดขีดขั้ว แต่กายเนื้อของเจ้าไม่ร้อยรัดสิ่งเหล่านั้นเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่บรรลุพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ เทียบกับเทพเที่ยงแท้เยาว์แล้ว เจ้ายังด้อยกว่าเล็กน้อย”

ระหว่างที่นางพูด นางก็ได้สังหารมารฟ้าไปหลายคนด้วยความดุดัน นางรุกคืบไปทีละก้าวทีละก้าวมุ่งหน้าไปยังจุดยอดของแท่นสังเวย

ด้วยมีนางบุกทลายกระบวนรบ ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ ก็ฟื้นฟูกำลังใจขึ้นมา และลุกไปยังยอดแท่นสังเวยด้วยความบ้าบิ่น กระนั้นฝูงมารฟ้าอีกมากก็ยังคงท่วมท้นเข้าใส่เพื่อขัดขวางพวกเขา ถ่วงรั้งความเร็วและการรุกคืบ

ฉินมู่เทวาจำแลงเป็นเทพครองดาวเสาร์และซัดประตูน้อมสวรรค์ไปข้างหน้า ไพร่พลฝูงมารฟ้าที่ถูกประตูจับเอาได้พลันสูญเสียดวงวิญญาณและร่วงล้มลงไป

เขามองไปรอบๆ และพยักหน้า เด็กสาวเปียยาวพูดถูกต้อง ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงนับว่ามีความได้เปรียบเหนือผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์จริงๆ

ทักษะเทวะของพวกเขาไม่เพริศแพร้วพิสดาร และพลานุภาพรุนแรงกว่า การเปลี่ยนแปลงในกระบวนท่าของพวกเขาไม่อาจเทียบกับพวกในสันตินิรันดร์ได้ แต่เพราะกายเนื้อที่แข็งแกร่งของพวกเขา พลานุภาพของกระบวนท่าจึงยิ่งใหญ่กว่ามาก

นี่น่าจะเป็นผลจากวิชาฝึกปรือของพวกเขา

แม้แต่ผู้คนที่แข็งแกร่งอย่างคนแล่เนื้อ เฒ่าใบ้ เฒ่าเป๋ ท่านยายซี เฒ่าบอด และคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่มีเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาเชี่ยวชาญและฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะ พวกเขาไม่อาจบรรลุสูงล้ำระดับนั้นได้ในทุกๆ ด้าน

แม้แต่อัจฉริยะปีศาจอย่างราชครูสันตินิรันดร์ อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี เขาเองก็ไม่สามารถบรรลุเขตขั้นเทวะในทุกๆ ด้านได้

กระนั้นวิชาฝึกปรือของผู้ฝึกวิชาเทวะในสวรรค์ไท่หวงนั้นก็สูงล้ำกว่าหนึ่งระดับชั้น ดังนั้นทุกส่วนในร่างกายของเขาจึงได้รับการฝึกฝน พวกเขาพัฒนาในทุกๆ ด้าน ทำให้พลังการต่อสู้ของพวกเขายิ่งเลิศล้ำกว่า!

มิน่าล่ะ เหล่าผู้ฝึกวิชาเทวะและเหล่ามารในสวรรค์ไท่หวงจึงแข็งแกร่งนัก!

ฉินมู่พลันมีความรู้สึกเหมือนกับเมฆมืดดำแยกแหวกออกและท้องฟ้าก็กลายเป็นกระจ่าง เป้าหมายในการเดินทางของเขาครั้งนี้ก็เพื่อค้นหาวิธีการในการเอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และบัดนี้เขาก็ได้เห็นแสงแห่งอรุณแล้ว

“แต่ทว่า พลังวัตรของเจ้าแข็งแกร่ง และทักษะเทวะก็เพริศแพร้วพิสดาร ดังนั้นต่อให้เจ้าขาดพร่องไปบ้าง เจ้าก็ยังคงยืนหยัดสู้ในสนามรบได้ ที่สวรรค์ไท่หวง คงมีไม่กี่คนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าในขั้นวรยุทธเดียวกัน”

เด็กสาวเปียยาวสนทนาต่อด้วยเสียงดัง บอกเล่าถึงความคิดเห็นของบิดานางที่มีต่อฉินมู่ “วิชาฝึกปรือของเจ้ากระจัดกระจายเกินไป เมื่อเจ้าฝึกปรือดวงตา เจ้าก็ฝึกแต่ดวงตา เมื่อเจ้าฝึกปรือมือ เจ้าก็ฝึกแต่มือ และเมื่อเจ้าฝึกปรือหัวใจ เจ้าก็ฝึกแต่หัวใจ เจ้าฝึกทุกสิ่งทุกอย่างแยกจากกัน”

“หากว่าเจ้าร้อยรัดทุกส่วนในร่างกายเป็นหนึ่งเดียว และสามารถฝึกปรือร่างเนื้อ พลังวัตร จิตวิญญาณดั้งเดิม อีกทั้งทักษะเทวะไปด้วยกันได้ เจ้าก็จะมีพลานุภาพก้าวหน้าขึ้นไปอย่างใหญ่หลวง! แต่ทว่า ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เพราะว่าวิชาฝึกปรือของเจ้ากระจัดกระจายมากเกินไป หากว่าเจ้าต้องการที่จะร้อยรัดทุกอย่างเป็นหนึ่งในตอนนี้ มันก็คงจะยากเย็นอย่างสุดๆ”

ฉินมู่ระบายลมหายใจขาดห้วง เด็กสาวเปียยาวเพียงแค่ส่งผ่านความคิดเห็นของบิดานาง ในเมื่อนางมิได้มีสายตาตัดสินและความรู้ระดับนี้ด้วยตัวนางเอง แต่นางได้ชี้ไปยังจุดอ่อนของฉินมู่อย่างแม่นยำจริงๆ หรืออันที่จริงแล้ว จุดอ่อนของทั้งสันตินิรันดร์

ตามประวัติศาสตร์ของแดนดิน ตราบเท่าที่ผู้ฝึกวิชาเทวะประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะให้พวกเขายืนอยู่บนจุดสุดยอดของโลกหล้า แต่ทว่า ในเมื่อพวกเขามิได้ร้อยรัดความสำเร็จทั้งหมดเหล่านั้นเข้าด้วยกัน วิชาฝึกปรือจึงไม่เคยกลายเป็นระบบครบวงจร

นี่ก็เพราะว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นชนรุ่นหลังของผู้คนที่หลบหนีภัยพิบัติมาเมื่อสองหมื่นปีก่อน และก็มีช่องว่างที่หายไปในมรดกยุทธของพวกเขา พวกเขาได้ฝึกปรือมาอย่างหนักและอุทิศปัญญาในการศึกษาค้นคว้าทักษะเทวะ แต่พวกเขาไม่มีทางทลายฝ่าขีดจำกัดของวิชาฝึกปรือได้

ในที่สุด ทั้งคู่ก็ต่อสู้ตะลุยไปถึงยอดแท่นสังเวย ผู้ฝึกวิชาเทวะเรือนร้อยต่อสู้ปะทะกับฝูงมารฟ้าที่โจมตีลงมาจากเบื้องล่าง ในขณะที่พวกที่เหลือเข้าไปกลุ้มรุมแม่ทัพมารฟ้า

“ก็แค่พวกหมาไม้และไก่กระเบื้อง!” แม่ทัพมารฟ้าหัวเราะด้วยเสียงอันดังและมีจิตวิญญาณดั้งเดิมอันพวยพุ่งด้วยเพลิงไฟยืนอยู่เบื้องหลังเขา ศีรษะทั้งสี่ของเขามองไปรอบทิศขณะที่ธงข้างหลังลอยขึ้นไปบนอากาศ เขายิ้มหยันและกล่าว “สังหารพวกเจ้าง่ายแค่พลิกฝ่ามือ!”

เด็กสาวเปียยาวและคนอื่นๆ มองไปที่เขาด้วยสีหน้ามืดครึ้ม กำลังฝีมือของแม่ทัพมารฟ้านั้นสูงล้ำเหลือเกิน แม้แต่ฉินมู่ก็ไม่กล้ารับการโจมตีของเขาตรงๆ มารสี่หัวนี้อาจจะสามารถคร่าชีวิตพวกเขาไปได้ด้วยการโจมตีเดียว

ดูเหมือนว่าการปฏิรูปขั้นต่อไปของสันตินิรันดร์น่าจะต้องจัดการเรื่องวิชาฝึกปรือ…

ข้างๆ เด็กสาวเปีย ฉินมู่ดูจะจมในห้วงคิดเมื่อเขานำดวงตาหยกลูกใหญ่ออกมาจากถุงเต๋าตี้ มือของเขาบิดกลไกข้างหลังมันเล็กน้อย

“เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถสร้างสะพานเพื่อเชื่อมต่อสันตินิรันดร์เข้ากับสวรรค์ไท่หวงได้หรือไม่” ฉินมู่ถาม “ข้าต้องการให้ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์มาที่นี่เพื่อแสวงประสบการณ์และเปิดโลกทัศน์ขอบฟ้า”

เด็กสาวเปียยาวกระวนกระวายอย่างยิ่ง และเหงื่อเย็นเยียบก็ร่วงลงจากหน้าผากของนาง นางกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “เจ้าถามอะไรมากมายนัก เลิกคิดเรื่องอื่นได้แล้วตอนนี้! มีศัตรูอยู่ตรงหน้าพวกเรา หากว่าพวกเราไม่สังหารเขา…”

แสงสาดส่องจากเนตรหยก และแม่ทัพมารฟ้ากระโดดขึ้นไป กระนั้นเขาก็ถูกผ่าเป็นสองเสี่ยงกลางอากาศ

ฉินมู่ปิดเนตรหยกและนำเอาเครื่องมือในการคำนวนมากมายออกมาพร้อมกับปึกกระดาษ ก่อนที่จะนั่งยองๆ กับพื้นเพื่อจดบันทึกสัญลักษณ์คณิตศาสตร์จำนวนหนึ่ง ถัดไปนั้นเขาก็นำเอาอาวุธวิญญาณสำหรับใช้วัดมาตราส่วนออกมา และเริ่มวาดภาพ

เขาไม่เงยหน้าเลยด้วยซ้ำระหว่างที่กล่าว “ข้าต้องการสร้างสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสองโลก แต่ทว่า นั่นจำเป็นต้องอาศัยการคำนวณปริมาณมหาศาล เจ้ามีผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณมากไหม ข้าคิดว่าหากพวกเราสามารถรักษาสมดุลของพลังงานระหว่างสองโลกเอาไว้ได้ มันก็น่าจะเป็นไปได้…เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเจ้ามองข้าแปลกๆ อย่างนั้นล่ะ”

……………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท