ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 519 ผู้ใหญ่บ้านกลับเข้าเมือง

ตอนที่ 519 ผู้ใหญ่บ้านกลับเข้าเมือง

“ปีนี้ข้าอายุยี่สิบสาม” ฉินมู่ตอบไปอย่างซื่อสัตย์ “ข้าได้เสียเวลายี่สิบสามปีและก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ข้าอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างท้อแท้ไม่รู้จบ และปาดป้ายน้ำตาในความเงียบงัน”

“หมอเทวดาฉินอายุยี่สิบสามปีก็ได้ประสบความสำเร็จมากมากแล้ว นี่นับว่าเหนือธรรมดา” ซิงอ้านหันกลับไป และยกกระจกในมือของเขาขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็อุทานด้วยความทึ่งอย่างจริงใจ “ไม่เพียงแต่เจ้าจะเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้าอันควบคุมบัญชาผู้ฝึกวิชาเทวะนับล้านที่อายุยี่สิบสามปี เจ้ายังมีตำแหน่งสูงส่งอื่นๆ อีกอย่างเช่นอธิการบดีแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์และกษัตริย์มนุษย์”

“เจ้าเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหล้า และมีเครือข่ายมิตรสหายอันกว้างขวาง มีสักกี่คนที่จะประสบความสำเร็จเช่นเจ้าในอายุยี่สิบสามขวบปี มีแต่เจ้าเท่านั้น!”

เขายกกระจกขึ้นเพื่อส่องหาเด็กหนุ่ม แต่เขากลับมองไม่เห็นอีกฝ่ายเลย ด้วยความตะลึง เขาได้ยินเสียงฉินมู่ดังมาจากไกลๆ “มังกรอ้วน มังกรอ้วน! บอกผู้ฝึกวิชาเทวะที่มาถึงพวกนั้นว่าอย่าออกไปข้างนอกตอนกลางคืน ที่นี่คือแดนโบราณวินาศ พวกเขาจะตายเอา! พวกที่มีเสียงดัง มานี่ ตะโกนบอกผู้ฝึกวิชาเทวะพวกนี้ว่าอย่าออกนอนกเมืองเวลากลางคืน!”

ซิงอ้านเก็บกระจกและเดินตามเขาไป เมื่อฉินมู่หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็นำกระจกออกมาเพื่อจับเอาภาพสะท้อนของเขา แต่กระนั้นก็ไม่ปรากฏเงาร่างของฉินมู่ในกระจกอีกครา

เสียงของเด็กหนุ่มดังมาจากที่ไกลๆ “อวี้จิว เจ้าไปตามจิตรกรจากวังหลวงมาสักจำนวนหนึ่งได้หรือไม่ พี่ซิงอ้านให้รูปภาพข้ามาอันจำเป็นต้องคัดลอกพันฉบับเพื่อส่งไปยังทุกแว่นแคว้นของจักรวรรดิ”

ซิงอ้านเลิกคิ้วสูงและคิดในใจ หากว่าบุคคลที่ลู่หลีต้องการเสาะหาคือเขา เขาคงจะไม่สำรวจตรวจตราภาพวาดของจี้หยกนั้นอย่างละเอียด หรือว่าข้าจะขี้ระแวงจนเกินไป แต่ทว่า ทำไมเขาถึงพยายามหลบหลีกข้า

เขาตามทันฉินมู่อีกครั้ง และประกายตาของเขาก็วูบวาบ หากว่าเขาหนีไปอีกรอบ ข้าจะตรึงเขาไว้กับที่ด้วยพลังวัตร!

ในตอนนั้นเอง เด็กสาวผู้อวบอึ๋มแห่งตระกูลหลิงก็เหลือบมองเห็นภาพวาดและกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “จี้หยกอันนี้ ข้าดูเหมือนจะเคยเห็นมาก่อน!”

ซิงอ้านสะดุดสนใจขึ้นมา และเขาหยุดตามตอแยฉินมู่ทันที เขารีบไปถาม “องค์หญิงแห่งตระกูลหลิง เจ้าเคยเห็นนี่มาก่อนจริงๆ น่ะหรือ”

หลิงอวี้จิวนั้นเป็นผู้บัญชาการสถานการณ์ศึกที่ชายแดนเหนือ ดังนั้นผิวของนางจึงขาวสล้างจากการบ่มบำรุงของที่ราบหิมะ นางก็กำลังแตกเนื้อสาวด้วย ใบหน้าของนางจึงเรียวขึ้น ดูบอบบางและสะคราญมากขึ้น แต่ทว่าทรวดทรวงองค์เอวก็ยังอึ๋มอั๋นอยู่ดี

เมื่อนางกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อรายงาน ฉินมู่ก็ได้ติดตั้งระหว่างเป็นตาย ดังนั้นนางจึงฉวยโอกาสมายังเมืองเขตมังกร นอกจากจะมาท่องเที่ยวกับคนรักของนางแล้ว นางก็ยังมาที่นี่เพื่อฝึกฝนอีกด้วย

“ข้าเคยเห็นมันมาก่อน” หลิงอวี้จิวผ่านการฝึกของกองทัพ ดังนั้นนางจึงมีวุฒิภาวะมากกว่าแต่ก่อน แต่กระนั้นนางก็ยังคงแต่งกายเป็นชายและดูอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง “ข้าเคยเห็นมันในซากโบราณแห่งหนึ่งแห่งแดนโบราณวินาศ”

“แดนโบราณวินาศ!” ซิงอ้านสะท้านใจอย่างรุนแรง และเขาถามด้วยความเร่งร้อน “คนผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่มหรือ”

“ไม่เชิง ข้าเพียงแต่เห็นภาพวาดเช่นนี้ในซากโบราณ มันมีผ้าอ้อมและม้าไม้ของเล่นอยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นจึงดูเหมือนว่ามีเด็กอาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อน”

ฉินมู่มองไปยังซิงอ้านผู้ซึ่งเงียบงันไปอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสื่อสารกับดวงตาประหลาดในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา

เขามองไปยังกระจกในมือซิงอ้านด้วยความสนใจใคร่รู้ ซิงอ้านเอาแต่คอยส่องกระจกมาใส่เขา อันเป็นสาเหตุให้เขาคอยแต่จะหลบหลีกมัน

“ศิษย์พี่ซิงอ้าน ท่านก็ชอบพกกระจกติดตัวด้วยหรือ หรือว่ากระจกบานนี้เป็นสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง” ฉินมู่ตาเป็นประกาย และเขายื่นมือไปจับกระจก “ท่านให้ข้ายืมหน่อยได้หรือไม่ ข้าคิดว่าบนหน้าข้ามีสิวอยู่เม็ดหนึ่ง ข้าอยากจะลองดู–”

เพี๊ยะ!

ซิงอ้านตบมือเขากระเด็นไป และเก็บกระจกเข้าไปในถุงเต๋าตี้พลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “อย่ามาแตะต้องของของข้า เจ้าน่ะมีพิษสงมากเกินไป องค์หญิงหลิง สถานที่ที่เจ้าเคยไปนั้นอยู่ที่ไหน เจ้าพาข้าไปที่นั่นได้หรือไม่”

เขาได้สื่อสารกับดวงตาประหลาดในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา ดังนั้นมันอาจจะเป็นดวงตาประหลาดนั้นที่ต้องการให้เขาไปดู

หลิงอวี้จิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ข้ายังมีธุระต้องเดินทางไปยังยมโลก ดังนั้นข้าไม่มีเวลาพาท่านไป แต่ทว่า ข้าจดจำเส้นทางได้ ดังนั้นข้าเขียนแผนที่ให้กับท่าน”

ซิงอ้านกล่าวขอบคุณ

หลิงอวี้จิวขอพู่กันและหมึกจากฉินมู่และวาดแผนที่ภูมิประเทศ ซิงอ้านจึงถามอย่างเยือกเย็น “ที่นั่นมีอันตรายอะไรไหม”

หลิงอวี้จิวส่งยิ้มให้เขา “หากว่ามันมีอันตราย ข้าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างไร ใครกันที่จะแข็งแกร่งที่สุดในโลก นอกเสียจากผู้อาวุโสซิงอ้าน”

ซิงอ้านยิ้มกลับไป “หากว่าเจ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ ข้าก็ย่อมทำได้เช่นกัน หมอเทวดาฉิน มากับข้า”

ฉินมู่ลังเล “ศิษย์พี่ ทำไมท่านถึงต้องพาข้าไปด้วยในเมื่อท่านเพียงแค่เข้าไปในแดนโบราณวินาศเพื่อตามหาคน ข้าเองก็ได้ช่วยท่านตามหาเขาแล้ว และข้าก็ยังช่วยท่านแขวนภาพนี้ไว้ทั่วแว่นแคว้นของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ตราบใดที่มีข่าวคราว ข้าก็จะรายงานท่าน ท่านสามารถไปเสาะหาร่องรอยของจี้หยกในขณะที่ข้าก็จะไปโถงกษัตริย์มนุษย์เพื่อปัดกวาดหลุมศพ หากว่าข้าเอาแต่ชักช้า อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายก็คงจะแช่งชักหักกระดูกข้าให้ตายตามพวกเขาลงไปไวๆ”

ซิงอ้านมองไปยังแผนที่ภูมิประเทศที่หลิงอวี้จิววาดให้เขาและกล่าวอย่างจริงจัง “องค์หญิงหลิง หากว่าข้าไม่พบอักษรบนจี้หยกอยู่ที่นั่น เจ้าก็คงรู้ผลลัพธ์ของมันนะ ตระกูลหลิงของเจ้าจะถูกทำลายล้างไปจากโลก!”

หลิงอวี้จิวตัวสั่นเทิ้มพลางเค้นรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้โกหกท่าน…”

ซิงอ้านหันกายเดินจากไป

ฉินมู่และหลิงอวี้จิวถอนหายใจอย่างโล่งอก หลิงอวี้จิวปาดเหงื่อบนหน้าผากและกำลังจะอ้าปากพูด แต่ฉินมู่ยกมือห้ามนางจึงรีบปิดปาก

พวกเขารู้ใจกันดี และจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาออกจากร่างเคลื่อนที่ไปไกล

หลังจากหลายหมื่นลี้ที่ห่างจากเมืองเขตมังกร จิตวิญญาณดั้งเดิมของหลิงอวี้จิวก็ถาม “เด็กเลี้ยงวัว นั่นมันคือที่ไหน มันอันตรายหรือไม่ ความเป็นตายของตระกูลหลิงขึ้นอยู่กับเรื่องนี้นะ!”

สาเหตุที่นางพูดไปอย่างนั้นก็เพราะว่าฉินมู่ฉวยโอกาสตอนที่ซิงอ้านไม่ทันระวังเพื่อใช้คลื่นสมองแห่งเผ่าขนนกสวรรค์สื่อสารกับนาง บอกนางให้วาดภาพและแผนที่

ระหว่างเผ่าขนนกสวรรค์ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด พวกเขาอาศัยคลื่นสมองเพื่อสื่อสารซึ่งกันและกัน โดยปราศจากเสียง และเพียงแค่เคลื่อนสำนึกรู้ของตนเอง พวกเขาก็สามารถบอกกล่าวกับอีกฝ่ายได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขาสามารถกระทำการใดไปโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้คล่องตัวเป็นอย่างยิ่ง

แม้ว่าการสื่อสารผ่านสำนึกรู้จะมีช่องโหว่ใหญ่โต แต่วิธีการเช่นนั้นมีประโยชน์ในการรักษาความลับ

“ไม่ต้องกังวล ทุกสิ่งที่เจ้าบอกซิงอ้าน เขาจะไปพบมันที่นั่นทั้งหมด แต่ทว่าเขาจะไม่ได้เบาะแสอันเป็นประโยชน์จากที่นั่น” จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่กล่าว “หลังจากที่เขาไปที่นั่น หากว่าเขารีบกลับไปในทันที ก็จะยังคงสามารถเดินออกมาได้ แต่หากว่าเขาดึงดันที่จะบุกเข้าไปข้างในต่อเพื่อเสาะหาเบาะแสเพิ่ม ก็จะขึ้นกับสติปัญญาของเขาแล้วว่าจะเดินออกมาได้หรือไม่”

“เมื่อครั้งนั้นที่ผู้ใหญ่บ้านและผู้เฒ่าคนอื่นๆ ได้บุกเข้าไป พวกเขาเกือบไม่รอดกลับมา หลังจากซิงอ้านกลับมาเขาจะไม่สังหารเจ้าเพราะเรื่องนี้ ในเมื่อเจ้าไม่ได้โกหกเขาเลยสักคำ”

สถานที่อันซิงอ้านกำลังไปนั้นคือสถานที่อันพวกเขาเคยสงสัยว่าจะเป็นหมู่บ้านไร้กังวล มันคือเรือใหญ่มหึมาอันถูกหลอมสร้างโดยเผ่าเทพวิศวกรรม แต่พวกเขาไม่สามารถเดินทางไปถึงหมู่บ้านไร้กังวลได้ พวกเขาถูกดักซุ่มโจมตีจากศัตรูและติดกับอยู่ในลูกบาศก์ใหญ่มหึมาพร้อมๆ กับเรือ

เผ่าเทพวิศกรรมได้ใช้ผู้คนหลายรุ่นต่อหลายรุ่น และสละชีวิตคนร่วมเผ่ามากมายเพื่อให้ในท้ายที่สุดก็ส่งเด็กผู้หนึ่งเดินออกจากเขตปิดผนึกได้ ฉินมู่สงสัยว่าเฒ่าใบ้น่าจะเป็นเด็กผู้นั้น

เพราะถึงอย่างไร ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ก็ต้องอาศัยเฒ่าใบ้ให้นำทางพวกเขาออกมา

หากว่าซิงอ้านก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นและหันกลับมาโดยพลัน เขาก็จะยังพอบุกออกมาได้ แต่ทว่า ถ้าเขาเข้าไปลึก ก็จะถูกกักตัวเอาไว้โดยเขตปิดผนึก

หลิงอวี้จิวถอนหายใจโล่งอกและถาม “ทำไมซิงอ้านถึงตามหาตัวเจ้า จี้หยกนั่นเป็นของเจ้านี่”

ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้ แต่ทว่ามันมีตัวตนอันทรงพลังร้ายกาจซ่อนอยู่ในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา และมันน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ซิงอ้านจะต้องถูกมันข่มขู่บังคับ ข้าเพียงแต่เห็นดวงตาของมันแต่มิใช่ร่างกาย ถึงอย่างไร การที่ซิงอ้านร่วงลงไปในแดนใต้พิภพและกลับมาได้ทั้งยังเป็นๆ ดวงตาในสมบัติเทวะของเขาจะต้องเป็นของมารเทวะแห่งแดนใต้พิภพสักตนหนึ่ง”

หลิงอวี้จิวขมวดคิ้ว “หากว่าซิงอ้านหนีออกมาได้?”

ฉินมู่ส่ายหัว “มันน่าจะกักขังเขาเอาไว้ได้อย่างน้อยก็ครึ่งปี หลังจากที่เขาหลุดออกมา พวกเราก็จะช่วยเขาตามหาเด็กหนุ่มที่มีจี้หยกนั้นต่อ” สายตาของเขากลายเป็นแปลกพิลึกพลางกล่าวด้วยเสียงเบา “เมื่อเขาออกมา เขาก็จะพบว่าไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินภาคกลาง แผ่นดินตะวันตก ทุ่งหญ้า ที่ราบน้ำแข็ง หรือแดนโบราณวินาศ จี้หยกนี้ก็จะถูกพบได้ในทุกหนทุกแห่ง ลองเดาดูสิว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”

หลิงอวี้จิวกลอกตาใส่เขา “ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งกาจ หยุดคุยโม้ได้แล้ว!”

ฉินมู่หัวเราะ และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็คืนกลับไปยังร่างเนื้อ ท้องฟ้าข้างนอกได้กลายเป็นมืดดำเรียบร้อย ข้างๆ แม่น้ำในระหว่างเป็นตาย เรือสำราญกำลังจะออกจากท่า ฮู่หลิงเอ๋อและซีอวิ๋นเซี่ยงให้ผู้คนที่จ่ายเงินแล้วขึ้นไปนั่ง และพวกเขาก็เดินทางผ่านแม่น้ำบนท้องฟ้าไปยังยมโลก หลิงอวี้จิวก็ขึ้นเรือไปด้วย

ข้างนอกเมือง ฉินมู่เดินออกไปในความมืด ตามไปโดยกิเลนมังกรที่นั่งไปบนหีบอันเต็มไปด้วยข้าวของอย่างผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ หีบนั้นไม่ชอบใจกับของพวกนี้ แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อฉินมู่บังคับยัดของพวกนี้เข้าไปในพุงของมัน

โถงกษัตริย์มนุษย์ก็เหมือนกับนครหยกน้อย เป็นชิ้นส่วนแตกหักของปราสาทสวรรค์แห่งจักรพรรดิก่อตั้ง

ฉินมู่ประกายตาวูบวาบเมื่อเขาเดินผ่านความมืดพลางถือก้อนสีดำไว้ในมือ เขาคิดในใจ บรรพชนสองและคนอื่นๆ ไม่บอกข้าว่าจะต้องไปที่ไหน เพียงแต่ข้าต้องกระตุ้นการทำงานของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ แต่ทว่ามันจะใช้ตามหาโถงกษัตริย์มนุษย์ได้อย่างไร…

ปราณชีวิตของเขาไหลบ่าเข้าไปในลัญจกร และมันก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย มันแตกต่างจากครั้งที่เขากระตุ้นการทำงานของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์เมื่อคราวก่อน ครั้งก่อนนั้น เขาได้เห็นเดือนปีอันเหนื่อยยากของเผ่าพันธุ์มนุษย์หลังจากสิ้นสุดยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง สำนึกรู้ที่ซ่อนอยู่ในลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ได้พุ่งออกไปในทุกทิศทางและแพร่กระจายไปทั่วโลก

แต่ทว่า ผู้ใหญ่บ้านและกลุ่มยอดฝีมือในตอนนั้นได้ช่วยเขา บัดนี้มีเพียงแค่ฉินมู่โดยลำพัง ดังนั้นเขาย่อมมิอาจปลดปล่อยการเพรียกขานของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ได้ด้วยเพียงแค่สำนึกรู้ของตนคนเดียว

ฉินมู่ใช้ปราณชีวิตเพื่อหยั่งทดสอบ และหัวใจของเขาก็พลันสะท้าน ปราณชีวิตของเขาได้แตะเข้ากับรอยประทับในลัญจกรกษัตริย์มนุษย์

ในพริบตาถัดมา ลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ก็สั่นไหวเบาๆ และรังสีแสงก็สาดส่องออกไป กระทบกับดวงตาของฉินมู่ จากนั้นแสงดังกล่าวก็หายวับ

ฉินมู่สลัดศีรษะไปมาและลืมตาขึ้นมอง แสงสาดส่องจากที่ใดสักแห่ง และตกลงมาใต้เท้าของเขา

ด้วยความตกตะลึง ฉินมู่หันกลับไปมอง “มังกรอ้วน เจ้ามองเห็นแสงไหม”

กิเลนมังกรกำลังหลับอยู่ แต่เขาก็รีบโงหัวขึ้นมามองไปรอบๆ “แสงอะไรหรือ”

มีแต่ข้าที่เห็นแสงนี้หรือ

ฉินมู่นำกระจกออกมาและส่องเข้าหาตนเอง เขาพบว่ามีอักษรรูนประหลาดอยู่ในดวงตา และเขาคะเนว่ามันจะต้องเป็นสาเหตุที่เขามองเห็นแสงนั้น!

ที่แท้นี่ก็คือวิธีการไปโถงกษัตริย์มนุษย์! ฉินมู่ตามแสงไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็กลับไปยังยมโลกอันกำลังคึกคัก มันมีแม่น้ำสายยาวและสะพานหนึ่งพาดผ่านท้องฟ้าเหนือเมือง สะพานนั้นเต็มไปด้วยเทพและมาร ขณะที่มีกลุ่มโครงกระดูกยืนอยู่บนเรือสำราญข้างล่าง

เกิดอะไรขึ้น

ผู้ใหญ่บ้านตกตะลึง เขาพลันเห็นกษัตริย์มนุษย์ฉีคังบนสะพาน และดวงตาของเขาก็ลุกวาบ เขาโบกไม้โบกมือและตะโกนเรียก “ตาแก่ฉีคัง ทางนี้! ข้ากลับมาแล้ว! ข้ามีข่าวอันน่าแตกตื่น บางอย่างเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดิน! ฮี่ๆ เจ้าคงไม่เชื่อเรื่องนี้แน่ๆ เมื่อสี่หมื่นปีก่อน ถึงกับมีปรากฏกายาจ้าวแดนดินตัวเป็นๆ! ลงมาเร็วเข้า ข้าเอาคัดลอกหลักศิลาจารึกนั้นมาด้วย!”

กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกระโดดลงจากสะพาน และชี้ไปยังผู้ใหญ่บ้าน “อย่าขยับ! อย่าขยับ! ข้าจะไปเรียกบรรพชนสองและคนอื่นๆ มา!”

ผู้ใหญ่บ้านยิ้มให้เขา “เจ้าไม่มาดูจารึกก่อนหรือ”

“เสพสุขสำราญแต่ลำพังไม่ดีเท่ากับแบ่งปันระหว่างผองเพื่อน รอให้กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ มาถึงก่อน แล้วพวกเราค่อยอ่านด้วยกันทั้งหมด” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังมองไปที่เขาด้วยความจริงใจในแววตา

ผู้ใหญ่บ้านงงงวย รอยยิ้มของผายลมเฒ่านี่ดูคุ้นตาจริงๆ ทำไมเขาถึงสุภาพกับข้าขนาดหนักในวันนี้…

………………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน