ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 531 หนึ่งกระบี่ภัยพิบัติ

ตอนที่ 531 หนึ่งกระบี่ภัยพิบัติ

เพียงแค่เพลงกระบี่นี้ยังไม่เพียงพอที่ข้าจะใช้เอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก

ฉินมู่เก็บกระบี่ของเขาและมองไปที่สวรรค์ไท่หวงที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด เมื่อเขาทำเช่นนั้น แสงกระบี่อันน่าแตกตื่นสะท้านโลกบนท้องฟ้าก็ปลาสนาการไป

บนสนามรบ ไฟฟอนยังคงแผดเผาเปรี๊ยะปร๊ะและยังไม่ดับมอด กลิ่นฉุนของเนื้อที่ถูกเผาไหม้ลอยอบอวลไปทั่ว

ฉินมู่ได้ระบายอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของเขาในกระบี่เมื่อครู่ และได้บรรลุถึงจุดสูงส่งอันเขามิเคยก้าวไปถึงมาก่อน แต่ทว่าก็ยังคงมีความห่างชั้นระหว่างกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกับเขาอยู่มาก

ถึงอย่างนั้น หากว่าปราศจากแรงกดดันจากกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และโดยปราศจากการพบพานในแดนมืด ก็คงยากที่เขาจะก้าวมาถึงขั้นนี้ เดินออกไปจากภาพกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน และออกจากเพลงมีดของคนแล่เนื้อ

เมื่อเขาแทงกระบี่นั้นออกไป มันก็ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเขาได้คิดค้นเพลงกระบี่ที่เป็นของตน แต่เขายังได้โจมตีไปยังเมฆทะมึนที่คลี่คลุมหัวใจเขาอยู่ในช่วงนี้

ซังฮั่วมองไปที่แผ่นหลังของเขา การฝึกกระบี่ของเด็กหนุ่มได้ตราประทับลงไปในหัวใจของนางอย่างลึกซึ้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนท่าสุดท้ายของเขา เมื่อเขาแตะที่หว่างคิ้วของตนเองแล้วจึงแทงกระบี่ออกไป อารมณ์ที่แฝงอยู่ในนั้นได้ปลดปล่อยออกมาอย่างกว้างขวาง ทันใดนั้นนางก็แทบจะมองเห็นภาพของโลกหล้าอันเปลี่ยนแปลงไปด้วยการปฏิรูป ผู้คนทะเยอทะยานมากมายต่อสู้กันในลมร้ายและฝนโลหิต พุ่งไปข้างหน้าตามหลังใครคนหนึ่ง

ในเพลงกระบี่ที่ฉินมู่ร่ายรำออกไปเมื่อครู่ ความเพริศแพร้วของมันได้เป่าจิตวิญญาณกระเจิดกระเจิง แม้ว่ากระบี่ย่างไปในทิวทัศน์จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรและมีจิตวิญญาณของเทพสวรรค์ที่ก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ แต่มันก็บรรยายเพียงแค่ภูเขาและแม่น้ำ

กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันและเขื่องโขดุดัน มีพรสวรรค์ของกระบี่เทวะ แต่เจตจำนงกระบี่ในนั้นหวนรำลึกถึงมรณสักขีทั้งหลาย ยังคงยึดติดกับอดีต

ภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่งเต็มไปด้วยความโศกเศร้า บรรยายถึงการตายจากของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง

เพลงกระบี่ทั้งสามนี้มีจุดเด่น แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีจุดด้อย

ในด้านจิตวิญญาณแล้ว ซังฮั่วรู้สึกว่าพวกมันล้วนแต่ด้อยกว่ากระบวนท่าสุดท้ายของฉินมู่ ส่วนว่ากระบวนท่าไหนจะใช้งานได้ดีกว่าในการศึก นางก็บอกไม่ได้ชัดเจน

 เพลงกระบี่ล้ำเลิศ  นางยืนขึ้นและเดินมายังข้างกายฉินมู่  นั่นคือเพลงกระบี่อะไรหรือ 

 กระบี่ภัยพิบัติ 

ฉินมู่เหลียวหน้ากลับไปและเห็นนางเดินเข้ามาหา นางจึงเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศไกลๆ

ทันใดนั้น ลมพายุหอบหนึ่งก็พัดมาปะทะหน้าพวกเขา และแปรเปลี่ยนเป็นเสืออันดูองอาจหล่อเหลาตัวหนึ่ง มันมีหนังสีเหลืองและลายพาดกลอนสีดำ อันขยับเยื้องไปมาตามการเคลื่อนไหวของขนและดูน่าประทับใจเหนือธรรมดา กระจุกขนอ่อนงอกเงยในหูของเขาเช่นกัน สามารถหมุนไปมาได้ทุกองศา

 เพลงกระบี่ล้ำเลิศ! เพลงกระบี่นั้นนับว่าน่าประทับใจจริงๆ! 

เสือเทพยดาเดินลงมาตามขั้นบันไดหินของแท่นสังเวย เท้าของเขายกขึ้นจากพื้นเมื่อเขาแปลงกายเป็นเทพเจ้าหัวเสือที่เดินตรงมายังฉินมู่ เสียงของเขาสะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อเขากล่าววาจา  ทำไมมันถึงเรียกว่ากระบี่ภัยพิบัติ 

เสือเทพยดานี้เป็นสัตว์ขี่ของนักบุญคนตัดไม้ ซึ่งถูกอัญเชิญมายังโลกใบนี้พร้อมกับนายของเขา เขาได้แบกนักบุญคนตัดไม้เข้าไปในการศึกและกล้าหาญชาญชัยเป็นอย่างยิ่ง

ฉินมู่หัวใจเคลื่อนเล็กน้อย เสือเทพยดาขนดำกลับมาจากแนวหน้านั้นหมายความว่านายของเขาได้ปราบปรามมารเทวะที่แนวหน้าหมดแล้ว  การเปลี่ยนแปลงของฟ้าและดินหมายถึงภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่! ฟ้าและดินอาจเปลี่ยนแปลงมิใช่เพียงแค่ภัยธรรมชาติ การรุกรานของมารฟ้า หรือว่าการที่ผู้คนตายไปเพราะอัคคีและอุทกภัย การเปลี่ยนแปลงในฟ้าและดินยังเป็นการเปลี่ยนแปลงในความคิดของผู้คนและการปฏิรูปทักษะเทวะ เปลี่ยนแปลงทักษะวิชาให้เป็นเต๋าอันยิ่งใหญ่ 

เสือเทพยดาหันมาหาเขาและยิ้มหยันขณะที่เขาเดินขึ้นมา  เปลี่ยนหัวหัวใจผู้คน ทักษะเทวะ กฎเกณฑ์ มรรคา เป็นถ้อยคำอันจองหองอะไรอย่างนี้! เพียงแค่เพลงกระบี่ของเจ้าโดยลำพัง สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ เปลี่ยนแปลงจักรวาลนี้ เปลี่ยนแปลงความคิดของสรรพชีวิตได้หรือ เพลงกระบี่ของเจ้านั้นไม่เลว แต่หัวใจเจ้าทะเยอทะยานเกินไป! 

สายตาของฉินมู่กลายเป็นบ้าบิ่น และน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น  หากว่าหัวใจผู้คนเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็จะไม่กลัวเทพเจ้าอีกต่อไป และเมื่อผู้คนไม่กลัวเทพเจ้า เทพเจ้าก็จะไม่มีอิทธิพลอำนาจ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ทักษะเทวะก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างอิสระ ด้วยวิธีนั้น กฎเกณฑ์จะเปลี่ยนแปลง และเช่นเดียวกับมรรคา แบบนี้ ฟ้าและดินก็จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน! 

ซังฮั่ว มองไปที่เด็กหนุ่มข้างๆ นางซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันมีชีวิตชีวา แม้แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับเสือเทพยดาขนดำอันมีรัศมีเหนือธรรมดา เขาก็ไม่กริ่งเกรงเลยแม้แต่น้อย

ฉินมู่ยกมือขึ้นชี้ไปยังสนามรบที่น่าสังเวชในความมืด เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย แต่ในยามราตรีเช่นนั้นมันก็บีบคั้นหัวใจคน

 ดูสิ! นี่คือภัยพิบัติที่เทพและมารโยนมาใส่พวกเรา เพื่อให้ผู้คนยังคงยำเกรงเทพและมารทั้งหลาย เพื่อให้หวาดกลัวและเคารพนบนอบ บูชาพวกเขา! กระบี่ภัยพิบัติของข้าจะริเริ่มภัยพิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงหัวใจผู้คน เป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทักษะเทวะและมรรคาเต๋า จากที่นั่น ข้าจะเปลี่ยนแปลงโลกหล้า! 

เขายิ่งดื่มด่ำเข้าไปอีก แม้ว่าซังฮั่วจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังกล่าว แต่นางก็สัมผัสได้ถึงแรงบันดาลใจอันเร่าร้อนที่แผดเผาอยู่ในหัวใจของเขา!

เด็กหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะมีเสน่ห์อันแพร่ติดต่อไปยังผู้อื่นได้ และทำให้ผู้คนต้องรับฟังเขา ไม่อาจต้านทานที่จะถูกอารมณ์ของเขาโน้มน้าวส่งผล

เสือเทพยดาขนดำมองลงไปยังฉินมู่ก่อนที่จะแย้มยิ้มด้วยหนวดของเขาที่แยกออกจากกัน  ข้ารู้ว่าเจ้านั้นโดดเด่นไม่ธรรมดา ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดทั้งหมดดี แต่ข้ารู้สึกว่ามันเป็นถ้อยคำที่ทรงพลัง กระบวนท่านี้ของเจ้ามีชื่อว่าอะไร 

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นไปมองที่เขาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม  เพลงกระบี่นี้เรียกว่า ริเริ่มภัยพิบัติ! 

เสือเทพยดาขนดำอึ้งไปเล็กน้อย  ริเริ่มภัยพิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงหัวใจผู้คน? เพื่อการเปลี่ยนแปลงในทักษะเทวะ? เพื่อการเปลี่ยนแปลงในมรรคาเต๋า? ชื่อที่ยอดเยี่ยม! 

ซังฮั่วก็เข้าใจบ้างเป็นบางส่วน เด็กหนุ่มข้างๆ นางซึ่งมาจากโลกมิติอื่นกำลังจะส่งภัยพิบัติไปยังเทพและมารที่ทำให้ชีวิตของพวกนางยับเยินทนทุกข์ และเช่นนั้นเพลงกระบี่จึงเรียกว่าริเริ่มภัยพิบัติ

มันดำเนินไปตามแนวทางแห่งการปฏิรูป พัฒนาวิถีทางแห่งอดีต และเปลี่ยนแปลงชีวิตของเทพแลมาร

 กระบี่ภัยพิบัติของเจ้ามีกี่กระบวนท่า  เสือเทพยดาขนดำถาม

ฉินมู่หน้าแดงและพึมพำ  ถึงตอนนี้ก็มีเพียงหนึ่งท่า ข้ารู้สึกว่าข้าได้ใช้สอยความรู้ทั้งหมดของข้าไปจนสิ้นเพียงเพื่อสรรค์สร้างกระบวนท่านี้… 

 นั่นก็สมควรแล้ว เจ้าไม่มีทางสั่งสมได้มากมายขนาดนั้นหรอกที่อายุของเจ้าน่ะ  หนวดของเสือลายติดอยู่ที่ใบหน้าของเขา  ที่อายุเท่าเจ้า สามารถคิดค้นเพลงกระบี่นั้นก็นับว่าโดดเด่นเหนือธรรมดาแล้ว ข้ามาตามบัญชาของนายท่านเพื่อรับตัวเจ้าไป เขากำลังจะไปแลกหมัดกับใครบางคนและต้องการตัวเจ้า ตามข้ามา 

ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย และก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา  นักบุญคนตัดไม้ต้องการพบข้าหรือ 

เสือเทพยดาขนดำแปลงกลับร่างที่แท้จริงและกล่าว  เจ้าได้ยินไม่ชัดหรือ เขากำลังต่อสู้กับใครบางคน และจู่ๆ เขาก็นึกถึงเจ้าขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงต้องการให้เจ้าไปหา ขึ้นมาบนหลังข้า บนเส้นทางนี้ยังคงมีอันตรายด้วยมารทั้งหลายยังเพ่นพ่านกันอยู่ ดังนั้นเจ้าคงไปสถานที่นั้นด้วยตนเองไม่ได้หรอก 

 นักบุญคนตัดไม้กำลังต่อสู้กับใครบางคน…บ๊ะ หากว่าเขากำลังต่อสู้ แล้วเขาจะต้องการข้าที่นั่นทำไม 

ฉินมู่ฉงนฉงาย แต่เขาก็ยังคงกระโดดขึ้นไปบนหลังของเขา ซังฮั่วรีบกระโดดขึ้นไปด้วยเช่นกันพลางกล่าว  พ่อของข้าก็อยู่ที่แนวหน้า ข้าอยากจะไปตามหาเขา! 

เสือเทพยดาผู้งดงามในสีดำและสีเหลืองวิ่งตะบึงไปยังแนวหน้าสนามรบ ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด

แม้ว่าร่างกายของเขาจะใหญ่มหึมา แต่เขาก็เต็มไปด้วยมัดกล้ามและยามที่วิ่งไปก็เงียบกริบไร้สุ้มเสียง

เร็วกว่ามังกรอ้วนเยอะ!

ฉินมู่กำหมัดแน่นและพลันรู้สึกรวดร้าวใจ แม้ว่ากิเลนมังกรจะเร็วกว่าเดิมมาก แต่ฝีเท้าของเขาก็ยังคงหนักหน่วง และถึงกับเหยียบหินภูเขาแตกเมื่อเขาวิ่งไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด

ซังฮั่วมองไปยังราตรีอันมืดมิด กังวลเล็กน้อย พวกเขาได้ผละจากสนามรบและกระโดดผ่านไปยังแนวหน้า พวกเขามุ่งหน้าไปยังเมืองหลีอันเหล่ามารตั้งค่ายทัพอยู่ มารเทวะมากมายรวมตัวกันที่นั่น และท่ามกลางพวกเขาก็ยังมีมารเที่ยงแท้ฟู่ยื่อลัว!

กลับไปเมื่อตอนที่เมืองหลีถูกรุกราน ก็เป็นฟู่ยื่อลัวนี่แหละที่โจมตีด้วยตนเอง เขาขับเคลื่อนวิชามารของตนเพื่อสังหารผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนในเมืองนี้ แม้แต่เทพเที่ยงแท้แห่งสวรรค์ไท่หวงก็ถูกเขาสังหาร นับว่าเขาน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!

เสือเทพยดาขนดำกระโดดข้ามกองทัพและมุ่งตรงไปยังเมือง กระทำเช่นนี้มิใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ

 ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงระบุได้อย่างไรว่าบุคคลใดมีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้  ฉินมู่นึกขึ้นได้และถามเด็กสาวข้างๆ เขา  พวกเจ้าฝึกปรือกันอย่างไร 

ซังฮั่วข่มระงับความว้าวุ่นในหัวใจและกล่าว  อันดับแรกเราจะดูที่พรสวรรค์แต่กำเนิด กายาวิญญาณที่มีพรสวรรค์แห่งราชันย์ย่อมไม่มีพรสวรรค์ที่ย่ำแย่ หากว่าพวกเขาฝากตัวกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียง กายเนื้อของพวกเขาก็จะบรรลุไปถึงขั้นของเทพเที่ยงแท้เยาว์ นอกจากนั้นแล้ว สวรรค์ไท่หวงของพวกเรายังมีการทดสอบที่เรียกว่าเจดีย์สยบเทพ พวกที่สามารถผ่านออกมาจากเจดีย์ได้จะได้รับการรับรู้ว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ 

ฉินมู่กะพริบตาแก่นาง  เจดีย์สยบเทพ? มันคืออะไรหรือ 

ไม่ทันที่ซังฮั่วจะตอบ เสียงของเสือเทพยดาขนดำก็มาถึงพวกเขา  เจดีย์สยบเทพนั้นเป็นสมบัติวิเศษจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง และใช้เพื่อทดสอบความสำเร็จในกายเนื้อ หากว่าผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบของมันไปได้ มิได้หมายความว่าคนผู้นั้นจะมีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ เพียงแต่ว่ากายเนื้อของผู้นั้นพอจะผ่านเกณฑ์เทพเที่ยงแท้เยาว์อย่างเฉียดฉิว 

 ท่ามกลางผู้ที่ผ่านเจดีย์สยบเทพในสวรรค์ไท่หวง อย่างมากก็ครึ่งหนึ่งที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ การบรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้นั้นยากยิ่งกว่ายาก ดังนั้นเอาเหตุผลที่ไหนมาบอกว่าใครก็ตามสามารถกลายเป็นเทพเที่ยงแท้ได้เพียงแค่ฝึกวิชาฝึกปรือของเทพเที่ยงแท้อย่างขะมักเขม้น 

ซังฮั่วก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย  ผู้อาวุโส ถ้าเช่นนั้น แบบไหนถึงจะนับได้ว่ามีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ 

 พรสวรรค์ที่แท้จริงย่อมไม่อยู่เพียงแค่ด้านกายเนื้อเท่านั้น แต่ยังอยู่ในจิตวิญญาณดั้งเดิมอันแยกออกเป็นดวงจิตและดวงวิญญาณ ทารกวิญญาณของเจ้าได้บรรลุถึงพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้หรือยัง ดวงวิญญาณของเจ้าได้บรรลุถึงพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้หรือยัง 

 นอกจากจิตวิญญาณดั้งเดิม ยังมีกรอบคิดจิตใจ แต่ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะบรรลุถึงเขตขั้นเทวะ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะกลายเป็นเทพเที่ยงแท้ เพราะยังมีอย่างอื่นอีก ได้แก่ทักษะเทวะและมรรคา  เสือเทพยดาขนดำอธิบาย

 ผู้ฝึกวิชาเทวะที่พวกเจ้าถือกันว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้นั้นยังคงห่างไกลนักจากการเป็นเทพเที่ยงแท้จริงๆ! ยกตัวอย่างเช่น…เจ้าหนุ่ม เจ้าชื่ออะไร 

 ชื่อของข้าคือฉินมู่!  เขาจึงรีบเสริม  จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์คนปัจจุบัน 

 จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์? ไม่เคยได้ยินมาก่อน 

ฉินมู่สีหน้ามืดดำทันที ตั้งแต่เมื่อลัทธิมารฟ้าก่อตั้งขึ้นมา ทุกคนก็มองว่านักบุญคนตัดไม้ว่าเป็นประมุขสูงสุดและครูบาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่มีทางคิดฝันเลยว่าสัตว์ขี่ของนักบุญจะไม่เคยได้ยินถึงพวกเขาเลยสักนิด!

เสือขนดำจึงกล่าวต่อ  ยกตัวอย่างเช่นฉินมู่ กำลังฝีมือของเขาไม่อ่อนด้อย แต่ในสายตาของพวกเจ้า ร่างเนื้อของเขาไม่ได้บรลุถึงพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ กระนั้นด้วยกำลังฝีมืออันแข็งแกร่งของเขา เขาสามารถต่อสู้ปะทะกับผู้ฝึกวิชาเทวะที่ว่ากันว่ามีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ได้ 

 นั่นเพราะว่าข้าคือกายาจ้าวแดนดิน!  ฉินมู่กล่าวด้วยความตื่นเต้น

 กายาจ้าวแดนดิน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน  เสือเทพยดาขนดำวิ่งตะบึงฝ่าราตรีไปพลางพูดจา  วิชากระบี่ของเจ้าเกือบจะเข้าสู่เขตขั้นมรรคาเต๋า ดังนั้นปฏิภาณความเข้าใจของเจ้าในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ ก็เกือบจะถึงขั้นพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ กรอบคิดจิตใจของเจ้าอ่อนแอกว่าเล็กน้อย ไม่แข็งแกร่งเพียงพอ 

 ส่วนจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า มันทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง และนับได้ว่าเป็นชั้นหนึ่งท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะในรุ่นปัจจุบัน นั่นจึงเป็นเหตุที่เขามีพละกำลังพอที่จะต่อสู้กับยอดฝีมือเยาว์ผู้มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้…พวกเรามาถึงเมืองหลีแล้ว! 

ตรงหน้าพวกเขา เพลิงไฟพวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า เมืองอันยิ่งใหญ่มลังเมลืองอาบย้อมอยู่ในแสง บนยอดเมืองนั้นมีมารเทวะมากมายและมารอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนยืนตระหง่าน

ซังฮั่วมองไปยังภาพนี้ด้วยความผงะ กระนั้นมารเทวะและไพร่พลมารเหล่านั้นก็ไม่ยับยั้งเสือเทพยดาขนดำ ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในเมืองโดยไม่ปริปาก

………………………

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน