ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 534 หินแข็ง

ตอนที่ 534 หินแข็ง

 แขนของดาบเทวะลั่วอู๋ชวงถูกเจ้าตัดไป? 

ทุกคนในบริเวณรอบๆ พบว่านี่มันเหลวไหลเกินไปแล้ว ขนาดฉู่เหยาที่มั่นคงที่สุดก็ยังอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะออกมา  ศิษย์พี่ฉินนักฟาดฟ่อนข้าว ตั้งใจตีเหล็กของเจ้าไปเถอะ 

ฉินมู่เบือนสายตาไป และสีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งเครียดอย่างประหลาด ทันใดนั้น อวี่เหอ หวงเยว่ ฉู่เหยา ซังฮั่ว และคนอื่นๆ ก็ผงะถอยออกห่างจากฉินมู่ไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

ในเสี้ยววินาทีนั้น พวกเขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่กำลังตีเหล็กข้างๆ พวกเขาจู่ๆ ก็กลายเป็นกระบี่ที่กำลังจะถูกชักออกจากฝัก รังสีแสงกำลังจะระเบิดออกมาในทุกทิศทาง จิตวิญญาณอันเฉียบขาดของเขาคุกคามร้ายกาจ แต่ทว่ามันถูกเก็บไว้ในฝักกระบี่โดยมิได้ถูกชักออกมา

คนหนุ่มสาวทั้งหลายผงะไปเพราะสัญชาติญาณของพวกตน หลีกเลี่ยงจิตหาญสู้และจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว

เคร้ง เคร้ง

เสียงของเหล็กถูกฟาดทุบดังมาเมื่อฉินมู่เดินกลับไปที่โต๊ะตีเหล็ก จดจ่อกับการตีเหล็กกระบี่บินของตนเอง

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเป็นประสาทสัมผัสพวกเขาที่พลุ่งพล่านไปเองเมื่อครู่นี้หรือเปล่า

ในขณะเดียวกันนั้น อีกฟากหนึ่ง มารสาวข้างๆ เจ๋อหัวหลีมองปราดหนึ่งและกล่าวอย่างตกตะลึง  บุคคลในภาพวาดของเจ้า เหมือนกับไอ้เด็กที่กำลังตีเหล็กฝั่งนั้นเลย! 

เจ๋อหัวหลีม้วนภาพวาดของเขาและเก็บมันไป เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย  อาจารย์ของข้าตามหาเขามาเป็นเวลานานแล้ว เขากล่าวว่าเหตุผลที่วิชามีดของเขาบรรลุถึงระดับขั้นนี้ก็มาจากตัวคนผู้นี้นั่นล่ะ ตาเฒ่าร่ายรำเพลงมีดของเขาให้ข้าดู ก่อนที่ข้าจะลงมายังแดนต่ำใต้และให้ภาพวาดนี้กับข้า เขาต้องการให้ข้าเสาะหาตัวคนผู้นี้และร่ายรำเพลงกระบี่แสดงแก่เขา 

มารสาวอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นพลางหัวเราะคิกคัก  อาจารย์ของเจ้าดูเหมือนจะใส่ใจเขามากทีเดียว คำสั่งของเขานั้นให้เจ้าแสดงพลานุภาพของเพลงมีดเขาให้ไอ้เด็กตีเหล็กนั่นดู ข้าสัมผัสได้ถึงความเกลียดแค้นในหัวใจอาจารย์เจ้า แต่มันก็มีวี่แววของความยกย่องนับถือด้วยเช่นกัน แต่ทว่า ไอ้เด็กตีเหล็กนั่นเป็นเพียงคนหนุ่มอายุเยาว์ เช่นนั้นเขาจะไปจับความสนใจของอาจารย์เจ้าได้อย่างไร 

 นี่ ข้าก็ไม่รู้  สายตาของเจ๋อหัวหลีจับลงบนฉินมู่  เพียงไม่กี่เดือนก่อนนี้ อาจารย์ถึงกับติดต่อข้าข้ามพิภพ กล่าวว่าบุคคลที่เขาต้องการตามหาได้ปรากฏตัวแล้ว เขาบอกให้ข้าเดินทางไปยังโลกใบนั้นเพื่อแสวงหาตัวคนผู้นั้น แต่ทว่าด้วยศึกใหญ่ที่กำลังมา ทำให้ข้าไม่มีเวลาเดินทางไปยังโลกมิตินั้น ไม่คิดฝันเลยจะได้พบพานเขาที่นี่ 

เขาระบายลมหายใจขาดห้วงและเสริมด้วยเสียงต่ำ  การที่ดาบเทวะให้ความสำคัญแก่เขาอย่างสูงส่ง ข้าก็อยากจะเผชิญกับเขานัก! 

ฉินมู่ผู้ซึ่งกำลังหลอมสร้างไม่เผยอารมณ์ใดๆ และเพียงแต่หลอมตีกระบี่บินของเขาไปอย่างไม่อนาทรสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ทว่าเจ๋อหัวหลีสัมผัสได้ว่าสายตาของเขาทำให้เด็กหนุ่มผู้นั้นรู้สึกไม่สบายตัว

เมื่อสายตาของเขาจ้องลงไปยังร่างของฉินมู่ เขาเห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ปรับเปลี่ยนท่าทาง

เจ๋อหัวหลีแย้มยิ้ม ไม่อาจจะระงับความตื่นเต้นของเขาได้ ดวงตาบนดาบมารของเขาก็ตื่นเต้นอย่างสุดๆ และกลอกไปมาสองสามรอบ ขยายขนาดขึ้นมาทั้งกลายเป็นแดงฉานด้วยเลือด

ทันใดนั้น เสียงของฟู่ยื่อลัวก็ดังมา  ครูบาสวรรค์ ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมพรักแล้ว พวกเราก็เริ่มกันเถอะ 

 พวกเราควรตั้งกฎกติกาอะไรไหม 

 กฎกติกา? มีกฎกติกาใดสำหรับการต่อสู้หมายชีวิต 

ฟู่ยื่อลัวหัวร่อด้วยเสียงอันดัง และในสนามจัตุรัส ทวนดำก็สั่นเทิ้ม จัตุรัสแตกร้าว และระเบิดดังมาจากใต้พื้นดินเมื่อเกิดรอยแยกแผ่ขยายไปทั่วสารทิศ

ฉินมู่และคนอื่นๆ พลันกลายเป็นยืนไม่มั่น พวกเขารีบเร่งเร้าปราณชีวิตของตน

นักบุญคนตัดไม้เลิกคิ้ว และขวานยักษ์ก็สั่นสะเทือนเช่นกันเพื่อต่อสู้กับทวนมาร การปะทะกันของสองเทพศาสตราพลันฉีกทำลายห้วงอวกาศในใจกลางจัตุรัสและแผ่ขยายมันออกไป!

ท่ามกลางเสียงระเบิดสะท้านโลก สีหน้าของฉินมู่และคนอื่นๆ ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พื้นดินใต้เท้าของพวกเขาพลันยกตัวสูงขึ้น พวกเขาไม่อาจยืนอยู่ได้ด้วยสองขาหากว่ายังคงต้องการขาทั้งสอง แต่จะต้องกระโดดไปอีกฝั่งหนึ่งก็เพราะว่าแผ่นดินกำลังขยายตัวออกไป

ภูมิประเทศของลานจัตุรัสใต้เท้าของพวกเขาเปลี่ยนแปลง ในพริบตานั้น ขุนเขาผุดขึ้นมา และระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ยิ่งขยายออกไปอย่างมากมาย

พลานุภาพของสองเทพศาสตราปะทะกันและถึงกับยืดขยายจัตุรัสนี้ราวกับว่ามันมีพลานุภาพอันไร้ประมาณที่เสกสรรภูเขามากมายขึ้นมาจากความว่างเปล่า!

หุบเหวตัดกันไปมา และภูเขาก็งอกเงยขึ้นแผ่ขยายทอดยาวไปยังทิศไกลๆ พลานุภาพอันยิ่งใหญ่ตระการนี้ทำให้พวกหนุ่มสาวได้แต่ชมดูด้วยความทึ่งอัศจรรย์ใจ

ฉินมู่มองไปที่การเปลี่ยนแปลงตรงหน้าเขาด้วยความตื่นตระหนก จัตุรัสอันแบนราบเมื่อครู่ราวกับทะเลครามเปลี่ยนเป็นทุ่งหม่อน มันผ่านการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อผ่านระยะเวลาเป็นแสนๆ หรือล้านๆ ปีเท่านั้น และเกิดขึ้น ณ บัดนี้ภายในเวลาแสนสั้น!

นี่คือฤทธานุภาพของเทพและมาร ฤทธานุภาพที่ปุถุชนไม่มีวันบรรลุได้!

มีก็แต่ตอนนี้แหละที่เขาได้ประจักษ์ว่าเทพและมารถือครองพลังอำนาจมากแค่ไหน มันเป็นฤทธานุภาพที่ซิงอ้าน เทพเจ้าอันปะเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ไม่มีทางคิดฝันว่าจะครอบครอง!

 การที่ฟู่ยื่อลัวสามารถสกัดขัดขวางนักบุญคนตัดไม้ได้ กำลังฝีมือของเขานับว่าไม่ธรรมดา 

ฉินมู่หัวใจสะท้านเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงกระบี่บินของเขา ยังมีพวกมันบางส่วนที่เอาไปเผาในไฟหลีและไฟมาร และเขาไม่ได้เรียกพวกมันกลับมาอย่างทันท่วงที

เขารีบเรียกพวกมันด้วยตนเอง และกระบี่บินก็เหินทะยานขึ้นจากที่ไกลๆ มันอยู่ห่างจากเขาไปยี่สิบลี้ แต่เขาพลันเห็นภาพอันแปลกประหลาด

ความเร็วของกระบี่บินนั้นว่องไวอย่างยิ่งยวด แต่ระยะห่างระหว่างเขากับกระบี่กลับยิ่งขยายถ่างออก!

เห็นได้ชัดว่านี่เกิดจากการเสกสรรโลกมิติของเทพและมาร ความเร็วการขยายตัวของห้วงอวกาศนั้นเหนือล้ำกว่าความเร็วการเคลื่อนที่ของกระบี่บิน!

ตูม!

ทันใดนั้น ห้วงอวกาศสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง และภูเขาก็หยุดงอกเงย ห้วงอวกาศก็คงที่เสถียร

กระบี่บินพวกนั้นพุ่งเข้ามา และฉินมู่ยกมือของเขาขึ้น กระบี่บินทั้งหลายก็ปะทะซึ่งกันและกัน ก่อนจะกลายร่างเป็นไจกระบี่ที่หมุนติ้วๆ อยู่บนอากาศ

เขาระบายลมหายใจโล่งอกและมองไปรอบๆ เขาไม่อาจมองเห็นซังฮั่วและคนอื่นๆ ได้อีกต่อไป

ในบริเวณโดยรอบ มีภูเขามากมายนับไม่ถ้วน แต่มันไม่ได้สูงลิ่วเป็นพิเศษ พวกมันเหมือนกับภูเขาที่โลกภายนอก เพียงแต่ย่อขนาดลงไปสิบเท่า ฉินมู่เฉือนตัดก้อนหินมากระหยิบหนึ่งและตรวจดูมันอย่างละเอียด จากนั้นเขาก็บดมันเป็นผง

พริบตาถัดมา หินนี้ก็กลายเป็นรอยประทับอักษรรูนละเอียดยิบ ที่เปล่งแสงสุดท้ายออกมา ก่อนที่จะสลายไปกับสายลมและหายสาบสูญไปโดยสิ้นเชิง

 พวกมันไม่ใช่ของจริง จริงๆ ด้วย 

ฉินมู่ยืดหลังขึ้นและมองไปรอบๆ ภูเขาทั้งหลายที่ลดหลั่นซับซ้อนไปยังทิศไกลๆ น่าจะก่อสสารขึ้นมาโดยอักษรรูนของฟู่ยื่อลัวและนักบุญคนตัดไม้ กำลังฝีมือของพวกเขาดูจะยังไม่ถึงขั้นที่สามารถเสกสรรสสารอันแท้จริงออกมาได้

ทันใดนั้น เสียงของฟู่ยื่อลัวก็ดังกัมปนาทราวกับสายฟ้าจากนอกอวกาศ  ในการต่อสู้ชิงเป็นชิงตาย ไม่มีกฎใดๆ! โต๊ะจำลองศึกทรายนี้จะเป็นสนามรบของพวกเขา และทั้งสองฝั่งจะมีฝั่งละสิบคน ฝ่ายที่ชนะเอาชัยมาได้ ก็จะเป็นผู้ชนะ! อย่างนี้เป็นเช่นไร 

ฉินมู่หัวใจสั่นสะท้าน โต๊ะจำลองศึกทราย?

เขาเงยหน้าขึ้นมองยังทิศทางเสียง และเห็นใบหน้าอันใหญ่มหึมาไร้ปานเปรียบของฟู่ยื่อลัวและนักบุญคนตัดไม้เหนือท้องฟ้า พวกเขาดูเหมือนกับดาวเคราะห์บนห้วงอวกาศนอกพิภพ

นี่หมายความว่า ถึงแม้จัตุรัสจะดูขยายใหญ่ขึ้นมาหลายเท่า แต่มันก็น่าจะมีขนาดเท่าเดิมเมื่อมองจากข้างนอกสินะ

ฉินมู่ตกตะลึงอย่างไม่รู้จบ เรื่องทำนองนี้นับว่าเหนือจินตนาการของเขาจริงๆ!

ระหว่างที่เข้ามา เขาก็ได้คำนวณขนาดของจัตุรัสแล้ว

มันมีราชวังอยู่สองฝั่ง โดยดูเหมือนว่าจะตั้งอยู่ระหว่างหยินซ้ายและหยางขวา

ฉินมู่ได้เดินตลอดทางมาตามถนนเส้นหลัก จากนั้นก็ขึ้นบันไดมายังสนามจัตุรัส มันมีความกว้างสามร้อยสิบคืบ และมีความยาวห้าร้อยคืบ แต่ละด้านมีบันไดไปยังราชวังที่ติดกัน

หากมองจากท้องฟ้า สองราชวังใหญ่และจัตุรัสน่าจะจัดเรียงในแบบผังทำนายหลี ดังนั้นไฟหลีจึงเกิดขึ้น

บัดนี้ พื้นที่ภายในของจัตุรัสได้ขยายออกไม่ไม่รู้กี่เท่า แต่สำหรับโลกภายนอกแล้ว มันยังคงดูกว้างสามร้อยสิบคืบและยาวห้าร้อยคืบดุจเดิม มันยังคงเป็นผังทำนายหลีอันประกอบกับโถงวังใหญ่ทั้งสอง

ในสายตาของนักบุญคนตัดไม้ ฟู่ยือลัว ผางอวี้ กับเทพและมารตนอื่นๆ ฉินมู่ตั้งอยู่บนโต๊ะจำลองศึกทรายเล็กๆ การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาถูกเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับเส้นบนฝ่ามือ

ฉินมู่หรี่ตา ตอนนี้เขามีทางเลือกสองทาง ทางหนึ่งคือการถอยกลับไปที่ข้างราชวังใหญ่แห่งหนึ่งและยังคงใช้ไฟหลีขัดเกลากระบี่ของเขาต่อ อีกทางหนึ่งคือมุ่งหน้าไปยังจุดศูนย์กลางของโลกจำลองศึกทราย

สถานที่นั้นเป็นจุดที่ขวานของนักบุญคนตัดไม้ และทวนของฟู่ยื่อลัวปักอยู่ แทนที่จะไปเสาะหารอบๆ ก็ไปยังจุดที่ทุกๆ คนรู้ว่าแต่ละฝ่ายก็จะไปที่นั่นเช่นกันจะดีกว่า

ตราบเท่าที่พวกเขามีหัวคิด พวกเขาก็จะรู้ทันทีว่าผู้ใดที่ไปถึงสถานที่อันขวานกับทวนไขว้กันเป็นคนแรก ก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ นั่นเพราะว่าการล่วงหน้าไปถึงก่อนก้าวหนึ่ง ทำให้พวกเขาสามารถจัดตั้งกับดักและพยุหะค่ายกล พลางรอให้คนอื่นๆ มามอบชีวิตให้เอง!

ข้าขัดเกลากระบี่เสร็จไปสามร้อยสิบหกเล่ม นั่นเพียงพอแล้ว

ฉินมู่ขยับ เพิ่มพูนความเร็วของเขาอย่างรวดเร็วเพื่อพุ่งทะยานไปยังจุดศูนย์กลางของโลกจำลองศึกทราย ขาเทวะขโมยสวรรค์ของเฒ่าเป๋ถูกขับเคลื่อนจนถึงขีดสุด และเขาก็ว่องไวประดุจแสงอันพริบพราย!

ตูม!

ความเร็วของเขาเหนือเสียง และกำแพงอากาศตรงหน้าเขาก็ระเบิดประดุจเมฆขาว ไอน้ำซัดผ่านใบหน้าของเขาเมื่อเขาพุ่งผ่านมันไป

ในตอนนั้น ฉินมู่ได้ยินเสียงระเบิดดัง และมองไปยังทิศทางเสียง เงาร่างในที่ไกลๆ ก็ได้ทะลุความเร็วและทิ้งเมฆไอน้ำไว้ท่ามกลางภูเขา

เมฆไอน้ำวงกลมค่อยๆ แผ่กระจายออกไปอย่างสะดุดตา

มันมีเมฆวงกลมทั้งหมดสิบเก้าวง และพวกมันชี้ตำแหน่งของยอดฝีมือสิบเก้าคนที่มีกายเนื้ออันกล้าแข็งอย่างอัศจรรย์ จนสามารถทะลุความเร็วเสียงได้ในเวลาพร้อมๆ กัน!

เห็นได้ชัดว่า พวกเขาล้วนตระหนักว่า หากพวกเขาไปถึงก่อนคนอื่นสักหนึ่งก้าว ยังจุดที่ขวานไขว้กับทวนอยู่ พวกเขาก็จะได้เปรียบเป็นอย่างมาก และเหนือล้ำกว่าผู้อื่น!

เส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผากฉินมู่ปุดๆ ถึงตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักว่าตัวเขาคือผู้ที่เชื่องช้าที่สุดในบรรดายี่สิบคนในโลกจำลองศึกทราย!

แม้แต่ความเร็วของซังฮั่วก็ยังเร็วกว่าเขาอยู่นิดหน่อย!

ยอดฝีมือทั้งสิบเก้าล้วนแต่เป็นผู้คนที่เทียบเท่ากับเทพเที่ยงแท้เยาว์ วิชาฝึกปรือที่พวกเขาฝึกมาทำให้ร่างกายของพวกเขารุดหน้าจนเหนือล้ำกว่าฉินมู่!

แบบนี้ ความเร็วที่ฉินมู่ภูมิใจนักหนาก็พ่ายแพ้แก่ยอดฝีมือคนอื่นๆ ในขั้นวรยุทธเดียวกันในที่สุด!

ทันใดนั้น ฉินมู่ก็หยุด และหันกายกลับ ทุกคนมุ่งหน้าไปยังจุดที่ขวานกับหอกไขว้กัน ดังนั้นสถานที่ดังกล่าวจะต้องกลายเป็นสถานที่อันตรายที่สุดไปแทน ไม่มีใครสามารถทิ้งห่างใครได้ในแง่ความเร็ว ดังนั้นผลลัพธ์ของการมุ่งหน้าไปที่นั่นก็จะกลายเป็นการปะทะฆ่าฟันของผู้ฝึกวิชาเทวะยี่สิบคน ในท้ายที่สุด มันก็จะกลายเป็นการตะลุมบอนที่เละตุ้มเป๊ะ

ในสถานการณ์โกลาหลเช่นนั้น ง่ายที่จะเกิดอุบัติเหตุ ต่อให้เขามีกำลังฝีมือดีกว่า เขาก็อาจจะถูกกลุ้มรุมและสังหารเอาได้

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาไม่ไปที่นั่นจะดีกว่า

ในพริบตาถัดมา เงาร่างสิบเก้าเงาร่างที่กำลังพุ่งทะยานไปยังจุดที่ขวานกับทวนไขว้กันอยู่ก็พลันล่องหนและหายวับไป เขามองไม่เห็นว่าพวกเขาหายไปไหน

ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย และสีหน้าของเขากลายเป็นเครียดขรึม ผู้ที่รอดชีวิตมาเป็นเวลานานในสวรรค์ไท่หวงนับว่าไม่มีใครโง่เขลาเลยจริงๆ และล้วนแต่ฉุกคิดในสิ่งเดียวกันขึ้นมา น่าสนใจ ในที่สุดข้าก็ได้พบคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อ…ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่ไปตามหาพวกเจ้า แต่รอให้พวกเจ้าเสาะหาข้า!

ร่างของเขาพลันพุ่งทะลวงอากาศและวิ่งตะบึงไปยังเขตขอบของโลกจำลองศึกทราย ตรงนั้นมีกำแพงไฟอันสูงยี่สิบลี้และโถงวังไหม้ไฟอันก่อขึ้นมาระหว่างไฟหลีและไฟมาร

ผ่านไปสักพัก เสียงของการตีเหล็กก็ดังมาจากโลกจำลองศึกทราย มันถึงกับดังไปไกลยี่สิบลี้

ไม่นานนัก ฉินมู่ก็เห็นบุคคลแรกเข้ามา มันเป็นเด็กสาวทรงเสน่ห์ที่มีท่วงท่าอันยั่วยวน

 สิบผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงล้วนแต่ทรงพลัง แต่เจ้านั้นอ่อนแอที่สุด  เด็กสาวยั่วยวนมองไปที่ฉินมู่และหัวเราะคิกคัก  ข้าไม่มีความมั่นใจที่จะจัดการกับคนอื่นๆ ดังนั้นข้าจึงได้แต่มารับความดีความชอบแรก 

 น้องสาว  ฉินมู่หันกลับไปยิ้มสดใสให้แก่นาง  ดูเหมือนเจ้าจะเตะโดนหินแข็งเข้าแล้วนะ 

………………..

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท