ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 530 สาวงามประดุจหยก กระบี่ประดุจรุ้ง

ตอนที่ 530 สาวงามประดุจหยก กระบี่ประดุจรุ้ง

ซังฮั่วลุกขึ้นและหันหลังให้ฉินมู่ นางปลดกระดุมเสื้อเพื่อดูบาดแผลของนางที่ใต้คออันขาวสล้าง นางนำเอาขวดหยกออกมา และรีดไล่เลือดคั่งในบาดแผลออก ก่อนที่จะทายาลงไปให้ตนเอง

“คืนนั้นข้าบอกเจ้าไปตั้งหลายอย่าง จนข้าเองก็จำพวกมันไม่ได้อีกต่อไป” ใบหูของนางเป็นสีแดงขึ้นเล็กน้อย

อันที่จริงแล้ว ในคืนนั้นที่นางรู้สึกว่าอาจจะหลบหนีไม่ได้อีกต่อไป นางบอกฉินมู่หลายสิ่งหลายอย่าง และถ้อยคำเหล่านั้นแม้แต่เด็กหนุ่มรับฟังก็คงต้องหน้าแดง แต่ทว่านางพูดอย่างกล้าหาญชาญชัยก็เพราะว่าถึงอย่างไรฉินมู่ก็ไม่มีทางได้ยินอยู่ดี

โดยไม่คาดคิด นางรอดผ่านค่ำคืนนั้นมาได้ และเมื่อนางคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้พบกับฉินมู่อีกครั้ง คำพูดเหลวไหลที่นางพูดในคืนนั้นก็ได้กลายเป็นอีกอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งในความทรงจำ นางไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นเด็กหนุ่มในความมืดอีกครั้ง ผู้ซึ่งนางได้แบ่งปันความคิดมากมายอันคั่งค้างอยู่ในใจ

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองดวงตะวัน และพอกัดฟันอดใจไว้ไม่ให้เหาะขึ้นไปทุบทำลายดวงตะวันนี้ให้เป็นผุยผง เขาจึงเดินอ้อมเด็กสาวไป และยื่นมือไปช่วยนางทายา

ซังฮั่วรีบปิดเนื้อตัวเอาไว้ “ชายและหญิงไม่ควรสัมผัสกัน…”

“ข้าเป็นหมอยา และข้าเพียงแต่ต้องการช่วยเจ้าทายาเท่านั้น ข้าปฏิบัติต่อคนไข้ราวกับบิดามารดาพึงกระทำ และไม่มีความคิดไม่บริสุทธิ์ใดๆ”

ตอนนี้ซังฮั่วถึงเพิ่งจำได้ที่เขาบอกว่าเขาเป็นหมอยาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นางจึงค่อนคลายใจลง นางมองไปอย่างสนใจใคร่รู้ถึงวิธีการที่เขาทายาให้แก่นาง พบว่าวิชามือของเขานั้นได้ฝึกปรือมาเป็นอย่างดี นางถามอย่างฉงนใจ “ความสำเร็จของเจ้าในพีชคณิตก็สูงล้ำแล้ว ทำไมเจ้ายังมีความเชี่ยวชาญในด้านการเยียวยาอีก”

ฉินมู่ตรวจดูบาดแผลบนหน้าอกของนางอย่างละเอียด “ข้าได้ร่ำเรียนศาสตร์แห่งการเยียวยามาสิบกว่าปี ขณะที่ข้าศึกษาพีชคณิตมาเพียงแค่สามปี หากว่าจะพูดแล้ว ข้าเก่งด้านการเยียวยามากกว่า”

“เจ้าจะมองดูอีกนานแค่ไหน” ซังฮั่วกล่าวอย่างโกรธขึ้งและยกมือขึ้นเพื่อปิดบังเอาไว้

ฉินมู่รีบหยุดนางเอาไว้ และค่อยๆ ปลดเสื้อของนางมาถึงหัวไหล่ เขากล่าว “ข้ารักษาคนไข้เหมือนบิดามารดาพึงทำ อืม ผิวเจ้าขาวดีจริงๆ แถมหัวไหล่เจ้าก็เนียนยิ่งนัก…ช้าก่อน!”

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย บาดแผลของซังฮั่วนั้นเกิดจากน้ำมือของยอดฝีมือมาร และมันมีทักษะเทวะและปราณมารอยู่ข้างในนั้น กัดกร่อนเลือดเนื้อและปราณชีวิตของนาง

ยากอย่างยิ่งที่จะห้ามเลือดจากบาดแผลเช่นนี้ และก็ยิ่งยากที่จะกำจัดปราณมารออกไปด้วยเช่นกัน ขี้ผึ้งยาที่ทาลงไปบนแผลนั้นได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสีดำไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์พลังยาของมันถูกปราณมารแปดเปื้อน

ฉินมู่บีบไล่ขี้ผึ้งที่กลายเป็นสีดำออกและดมฟุดฟิด เขาส่ายหัว

ขี้ผึ้งยาเช่นนี้ไม่มีผล

“โอ๊ย! ขี้ผึ้งนี้ใช้เพื่อดึงพิษออก หลังจากทาลงไปแล้ว มันจะรวบรวมปราณมารเข้ามาและเปลี่ยนสีไป” ซังฮั่วร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และนำขวดขี้ผึ้งยาออกมาอีกหลายขวด “สำหรับบาดแผลเช่นนี้ ข้าก็จะต้องทามันซ้ำๆ ไปกว่าสิบหนเพื่อดึงเอาพิษออกมาให้หมด…สายตาของเจ้าเอาแต่คอยแอบมองดู ให้ข้าทำเองดีกว่า!”

ฉินมู่นำส่วนผสมของตัวยาออกมาจากถุงเต๋าตี้ และใช้วิธีการหลอมปรุงยาของเขาเพื่อหลอมปรุงยาจำนวนหนึ่ง “พิษมารนั้นมิใช่พิษ ปัญหานั้นอยู่ในการที่ปราณชีวิตในมรรคาเทพที่เจ้าฝึกปรือนั้นไปปะทะกับวิชามรรคามาร ขี้ผึ้งที่เจ้าใช้มิใช่ขี้ผึ้งสำหรับดูดพิษออกมา แต่เป็นสิ่งที่แปรผันไปจากยาเม็ดวิญญาณอันมิได้ถูกหลอมปรุงจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ดังนั้นมันจึงอยู่ในรูปของขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งชนิดนี้ก็มีแต่จะแปดเปื้อนปราณมารเท่านั้น ดังนั้นจึงหมดเปลืองไปเปล่าๆ ที่จะใช้มันดูดซับปราณมารออกมา”

ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เตาหลอมยาอันก่อขึ้นมาจากปราณชีวิตของเขาก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือและเขาก็หลอมปรุงยาวิญญาณข้างในนั้น เขาย้อนพลิกน้ำและไฟ ผสมผสานพวกมัน และใช้วิธีหลอมปรุงยาอีกมากมายอันละลานตาซังฮั่ว

ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินมู่ก็สลายปราณชีวิต และยาเม็ดกว่าสิบเม็ดก็ร่วงลงมาใส่อุ้งมือของเขา

เขาบดหนึ่งเม็ดให้เป็นผงและทามันลงไปบนบาดแผลของซังฮั่ว “ในโลกของข้า ข้าคือจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์อันถูกเรียกว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าโดยผู้คน ข้ามีความเข้าใจอันเลิศล้ำต่อมรรคามาร มารนั้นกำเนิดขึ้นมาในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมาร ก็ล้วนแต่กำเนิดขึ้นในหัวใจ ถึงอย่างไร ข้าก็มีประสบการณ์ในการรักษาบาดแผลอันเกิดจากทักษะเทวะของมรรคามาร”

ไม่นานนัก ซังฮั่วก็รู้สึกว่าบาดแผลของนางเริ่มรู้สึกเย็น และปราณมารก็ถูกดึงออกไปทั้งหมด บาดแผลนางเริ่มที่จะคันยิบๆ อันเป็นสัญญาณว่ามันเริ่มจะสมานฟื้นฟู

“แผลของข้าหายเร็วขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าเพิ่งบอกไปว่าเจ้าแค่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในโลกของเจ้าไม่ใช่หรือ” ซังฮั่วจ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง ก่อนที่จะลอบนำเปียของนางมาปิดบังหน้าอกเอาไว้ นางถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “หมอยาที่มีชื่อเสียงนิดหน่อยสามารถหลอมปรุงยาเพื่อต่อต้านปราณมารได้เร็วขนาดนี้เลย”

ฉินมู่ยื่นยาวิญญาณที่เหลือให้แก่นางและยิ้มแฉ่ง “ข้าถ่อมตนอย่างไรเล่า จริงๆ แล้วข้าไม่ได้มีชื่อเสียงนิดหน่อย แต่โด่งดังอย่างสุดๆ ในโลกนั้น แต่เจ้าคงไม่ข้าใจมันได้จากเพียงแค่คำพูดของข้าหรอก จริงไหม” เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงใจในตนเอง “คนส่วนใหญ่ไม่อาจจะได้ยินมัน!”

ซังฮั่วฉงนฉงาย “เจ้าไม่ช่วยข้าทายาแล้วหรือ”

ฉินมู่เดินไปยังคนอื่นๆ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขา “เมื่อครู่นี้ข้าเพียงแต่จะตรวจดูบาดแผลเท่านั้น เจ้าทายาเองได้ คนอื่นก็ต้องได้รับการช่วยชีวิตเช่นกัน”

ซังฮั่วดึงเสื้อของนางขึ้นและมองไปที่เขารีบวิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ที นางคิดในใจ เขาปฏิบัติต่อคนไข้เหมือนที่บิดามารดาพึงทำจริงๆ และไม่มีความคิดไม่บริสุทธิ์ใดๆ บุคคลนี้เป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยาก เพียงแต่ว่าสายตาของเขาชอบสอดส่ายไปทั่วเท่านั้น…

ฉินมู่รักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายบนแท่นสังเวย ก่อนที่จะมองลงไปยังผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน และทหารฝูงมารฟ้ามากมายที่นอนก่ายกองในสนามรบ มีผู้คนที่ออกมาเคลื่อนย้ายคนเจ็บ และมีบางกลุ่มที่มาปลิดชีวิตพวกมารที่ยังคงไม่ตายสนิท

สนามรบกว้างใหญ่เต็มไปด้วยเพลิงไฟอันหลงเหลือจากทักษะเทวะ พวกมันเผาไม้รถศึก ซากร่างที่ล้มร่วง ธง และอาวุธวิญญาณอันปักตั้งอยู่กับพื้น

ไกลออกไปลิบๆ การสังหารเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อ

โลกที่ฉินมู่ได้เข้ามานี้ช่างโหดร้ายทารุณอย่างประหลาด แม้ว่าเขาจะเคยผ่านสนามรบมาแล้วหลายแห่ง แต่ภาพตรงหน้าเขาก็ยังคงทำให้เขาสะท้านใจ

“ศาสตร์วิชาแพทย์มิอาจกู้โลกแห่งนี้ได้หรือ”

ฉินมู่ส่ายหัว การรักษาเยียวยาของเขาสามารถช่วยชีวิตคนได้เพียงไม่กี่คน หากว่าเขาต้องการจะช่วยเหลือทุกคนที่บาดเจ็บในสนามรบแห่งนี้ เขาก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ ที่นี่มีศึกเล็กทุกสามวันและศึกใหญ่ทุกห้าวัน เขาไม่มีความสามารถที่จะรักษาเยียวยาทุกๆ คนได้ทัน

เขาเงยหน้าขึ้นมาท้องฟ้า ดวงตะวันอันพิกลพิการมืดมัวลงและกลายเป็นสีแดง

ดวงตะวันสองดวงคาอยู่กับที่และไม่เคลื่อนไหว มันคงจะถูกตั้งเวลาเอาไว้ว่าทุกๆ กี่ชั่วโมงมันจะเริ่มหรี่แสง

‘เทพเจ้าที่สร้างดวงตะวันมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี แต่ความสำเร็จเชิงพีชคณิตของเขาไม่ค่อยสูงเท่าไร… ฉินมู่เบือนสายตาออกไปไกล รู้สึกเหมือนดวงตะวันนี้กำลังเผาดวงตาของเขา น่าเกลียดเหลือเกิน! หากว่าข้ายังมองพวกมันอยู่ ข้าคงอดไม่ได้ที่จะขึ้นไปซ่อมพวกมัน…

เขาเคลื่อนที่ไปรอบๆ แท่นสังเวย พลางโคจรปราณชีวิตของเขาเพื่อขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ทารกวิญญาณและดวงวิญญาณของเขาหลอมรวมกันเพื่อก่อขึ้นมาเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม หลอมรวมจิตวิญญาณและร่างเนื้อเข้าเป็นหนึ่งเดียว

จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเหยียบอยู่บนแท่นวิญญาณ และผสานทิศทั้งหก ด้วยดวงตะวันและจันทราเหนือหัวของเขา ปราณชีวิตก็เคลื่อนคล้อย ไหลผ่านทุกส่วนของร่างกาย เส้นผมเขาปลิวไสวขึ้นมาเล็กน้อย

ในการต่อสู้ เขาได้เห็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกแห่งนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ผ่านประสบการณ์เป็นตายบนสนามรบ ได้เปลี่ยนกรอบคิดจิตใจของเขาให้ดีขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ตั้งแต่การต่อสู้กับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก เขาก็ได้หดหู่ซึมเศร้ามาตลอด เมื่อต่อสู้ เขาถึงกับไม่สามารถร่ายรำกระบวนท่าออกไปได้ และถูกคนแล่เนื้อดุด่าอย่างหนัก

ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าออกกระบวนท่าไป เขาเพียงแต่รู้สึกว่าไม่ว่ากระบวนท่าหรือทักษะเทวะใดที่เขาใช้ออกมา มันก็ผิดไปทั้งหมด

สาเหตุที่มันผิดไปทั้งหมดนั้นมิใช่เพราะว่าความมั่นใจของเขาสูญเสียไปจากการเผชิญหน้ากับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ปัญหาอยู่ที่ว่าการปะทะกันครั้งนั้นได้ถ่างขยายขอบฟ้าวิสัยทัศน์และนำเขาไปอยู่บนจุดที่มองลงมาสูงกว่าที่เคยจะคิดฝัน

เมื่อมองลงมาจากบนนั้นดูทักษะเทวะและกระบวนท่าที่เขาได้เรียนมาก่อน เขาก็เห็นแต่ช่องโหว่เต็มไปหมด!

ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของเขาสูง แต่รากฐานของเขาไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองและก้าวย่างไปสู่เขตขั้นถัดไป ดังนั้นเขาจึงไม่อาจร่ายรำกระบวนท่าหรือทักษะเทวะใดๆ เขารู้สึกว่ามันก็จะถูกทำลายไปอยู่ดี และเขาก็คงจะตายในพริบตาถัดมา

เขาได้ถือเอาคู่ต่อสู้เป็นกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก อันทำให้เขามีความรู้สึกเช่นนี้

กระนั้นเมื่ออยู่บนสนามรบ ฉินมู่ไม่มีเวลามาคิดเรื่องทั้งหมดนั่น สถานการณ์ที่นั่นเปลี่ยนแปลงไปทุกๆ เสี้ยววินาที ดังนั้นเขาจึงไม่อาจมัวมาใส่ใจว่ากระบวนท่าของเขาจะมีช่องโหว่หรือไม่ เขาได้แต่ขับเคลื่อนมันออกไปเพื่อสังหารศัตรูที่ทรงพลังหรือเช่นนั้นก็จะต้องตาย

หลังจากการต่อสู้ ฉินมู่รู้สึกว่าเขาได้ย่างสู่เขตริมขอบที่กำลังจะไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ตราบเท่าที่เขาผ่านประตูนั้นไป เขาก็จะมองเห็นท้องฟ้าผืนใหม่อย่างแน่นอน ถนนสายกว้างรออยู่ตรงหน้าเขา!

ร่างกายของเขาเริ่มเปล่งแสงสุกสกาวของดวงอาทิตย์เมื่อปราณชีวิตเคลื่อนคล้อยไปข้างในตัวเขา เชื่อมต่อทารกวิญญาณ ห้าธาตุ และหกทิศ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายเปล่งแสงจำรัสออกมาส่องสว่างสมบัติเทวะ เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นมนุษย์แสง

แม้แต่สมบัติเทวะชาวสวรรค์ของเขาก็ฉายโชนจนกระทั่งมองเห็นประตูของมัน

ในขณะเดียวกันนั้น ข้างใต้สมบัติเทวะหกทิศ ประตูอันลึกล้ำและมืดมิดก็มองเห็นอยู่ลางเลือน มันคือประตูแห่งขั้นวรยุทธเป็นตายที่เชื่อมโยงไปยังแดนใต้พิภพ

ฉินมู่เดินไปด้วยฝีเท้าอันมั่นคง ในนครหยกน้อย เขาได้สังเกตดูสมบัติเทวะของเทพเที่ยงแท้ฉินชงหมิง แห่งนครหยกน้อยเป็นเวลานาน

จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้เริ่มต้นยกเครื่องสมบัติเทวะของเขา และซ่อมปะในสิ่งที่เขาบกพร่อง

โฮกกก!

ปราณชีวิตในร่างกายของเขาเขย่าและส่งเสียงคำรามมังกรออกมาระลอกหนึ่ง ปราณมังกรกระหวัดพันรอบกายเขา มุดเข้าและออกเพื่อเคี่ยวกรำบ่มเพาะมัน ทันใดนั้น ด้วยฝ่ามือของเขาต่างมีด ฉินมู่ก็โจมตีระหว่างที่เดินไปรอบๆ ขอบแท่นสังเวย

ลมเริ่มพัดอื้ออึง และมีดก็ร่วงกราวลงมาราวห่าฝน ลมฝนราตรีทลายเมือง!

ดวงตะวันโผล่ขึ้นและกระโดดออกมาจากผิวมหาสมุทร ตะวันทะเลบูรพา คลื่นซัดพันระลอก!

มีดทองประดับด้วยหยกขาว แสงวาบวาวเสียดราตรีทะลุบานเกล็ด ชายวัยห้าสิบไร้ความสำเร็จ ด้วยใจเด็ด…แบกมีดเดี่ยวท่องแดนดิน!

หลังเผชิญวิกฤตการณ์อันกริ่งเกรง ความหวังคนย่อมมาเองและผลิบาน เหลียวมองดูน่านฟ้าทะเลไกล การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่เป็นเพียงควัน!

ในสนามรบอันกว้างใหญ่และนองเลือด เพลงมีดของคนแล่เนื้อพลันกลายเป็นพลุ่งพล่านและเปี่ยมชีวิตชีวา สะท้อนภัยพิบัติในโลกหล้า

เพลงมีดของฉินมู่เร็วขึ้นและเร็วขึ้น ทันใดนั้น แสงมีดทั้งหมดก็หายวับ ลม ฝน ดวงตะวัน มหาสมุทร ทั้งหมดหายสาบสูญไปเช่นกัน ฉินมู่คีบนิ้วเป็นกระบี่ และปราณชีวิตของเขาก็สั่นสะเทือนเพื่อก่อขึ้นมาเป็นเส้นด้ายกระบี่ เขาพลิกและเฉียดมันเบาๆ เพลงกระบี่ของเขาเพริศแพร้วอย่างอัศจรรย์ ทันใดนั้น พวกมันก็เร็วขึ้นและเร็วขึ้น ในพริบตาเดียว กระบี่ยาวของเขาก็กรีดพุ่งผ่านอากาศและเริงระบำบนเวหาเหนือแท่นสังเวยราวกับมังกรไร้เขาสีเงินตัวหนึ่ง

ฉินมู่เดินไปรอบๆ แท่นสังเวยขณะที่แสงกระบี่ของเขากวาดซัดผ่านอากาศ กลายเป็นว่องไวขึ้นและว่องไวขึ้น เร่งร้อนขึ้นและเร่งร้อนขึ้น

ภัยพิบัติของสวรรค์ไท่หวงทำให้เขาได้รับมรรคผลบางอย่าง และเขาก็ปลดปล่อยอารมณ์ทั้งหมดออกไปโดยไม่รู้คัว เขาเรียนรู้มันผ่านเพลงกระบี่ของเขา ผ่านปราณชีวิตของเขา

กระบวนท่าที่สามของภาพกระบี่ ภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่ง

กระนั้นเมื่อภัยพิบัติมาถึงจุดที่ร้ายกาจดุดันที่สุด ฉินมู่ก็พลันสลายแสงกระบี่ทั้งหมด และนิ้วกระบี่ของเขาก็พลันแตะไปที่หว่างคิ้วของตนเอง มันไม่เพียงแต่แตะลงไปยังตำแหน่งทางกายภาพของร่างกายเขาเท่านั้น แต่ยังแตะลงไปบนหว่างคิ้วของทารกวิญญาณเขาอีกด้วย

จิตวิญญาณทั้งหมดของเขา และปราณกระบี่ทั้งหมดเข้ามารวบรวมอยู่ในนิ้วของเขา

เขาได้ตรึกตรองเข้าใจแล้วว่าภัยพิบัติหมายถึงอะไร

ภัยพิบัติหมายถึงภัยอันตรายอันแผ่กว้างที่ผู้คนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด อันเหมือนกับแสวงหาความหวังในขุมนรก วีรบุรุษอย่างคนแล่เนื้อใช้มีดของเขาเพื่อสลักเสลาความหวังออกมาให้แก่ผู้คน กษัตริย์มนุษย์อย่างผู้ใหญ่บ้าน แบกรับความยากลำบาก และภาระความรับผิดชอบให้แก่ทุกคนมาตลอดทั้งชีวิต และยังมีการดิ้นรนต่อสู้ของผู้คนที่อยู่ข้างหลังวีรชนเหล่านี้อีกด้วย

มันคือชีวิตที่ต้องกลบฝังให้แก่ญาติมิตรของตนเองในทุกๆ วัน

สองนิ้วกระบี่ของฉินมู่แทงไปข้างหน้า และกระบี่พรรณรายดุจสายรุ้งก็พวยพุ่งไปไกลกว่าสิบลี้

บนนภากาศ ดวงตะวันครึ่งซีกหนึ่งหรี่มัวลง มีก็แต่แสงกระบี่ที่ปรากฏ

ระหว่างที่แสงกระบี่สาดส่องอยู่บนฟากฟ้า ฉินมู่ก็ยืนอยู่บนแท่นสังเวยด้วยความตะลึงงัน กระบวนท่านั้นมิได้เกี่ยวข้องกับภาพกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าเขาเสาะพบมรรคาของตนเอง

…………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท