ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 544 แหลกสลาย

ตอนที่ 544 แหลกสลาย

ฉินมู่นั้นยังคงรู้สึกไม่สบายใจและวางแผนที่จะคิดคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างใหม่อีกครั้งเพื่อตรวจสอบดูว่าเขาคำนวณผิดพลาดตรงไหนหรือไม่ นี่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจเสือเทพยดาขนดำ แต่เพราะว่าการเชื่อมต่อสองโลกมิติและการสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน หากว่ามีบางอย่างผิดพลาดไป เขาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น ยาวิญญาณชนิดใหม่ๆ ที่ฉินมู่หลอมสร้างขึ้นมาเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ ทุกๆ ครั้งมันก็จะมีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงอันแปลกประหลาด เขาสามารถแก้ไขบรรเทาได้หากว่ามันเป็นปัญหาเรื่องวิชาแพทย์ แต่ว่าเขาจะแก้ไขบรรเทาได้อย่างไรหากว่าสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณดั้งเดิมที่เชื่อมระหว่างสองโลกมีอันผิดพลาดไป

เสือเทพยดาขนดำเก็บรวบรวมพิมพ์เขียวทั้งหลายอย่างรวดเร็ว และพุ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น  เร็วเข้า เร็วเข้า! ข้าอดใจรอที่จะทดสอบมันไม่ไหวแล้ว! 

ฉินมู่ได้แต่ตามเขาออกไปจากป้อมปราการเมือง ระหว่างทางเขาถามซังฮั่ว  น้องสาวฮั่ว มีธุระอะไรหรือเปล่า 

 เมืองหลีได้รับการบูรณะเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าบริเวณโดยรอบยังมีความเคลื่อนไหวของเผ่ามาร มารพวกนี้ใช้เลือดเนื้อและดวงวิญญาณของผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงของพวกเราเพื่อฝึกวิทยายุทธ และมันนับว่าเป็นอันตรายใหญ่หลวง  เด็กสาวตอบไป  พวกเราตามหาตัวเจ้าอยู่พักใหญ่แล้ว เพื่อจะชวนออกไปฝึกฝนด้วยกัน พวกเราหมายที่จะกำจัดผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารที่เพ่นพ่านอยู่ข้างนอกนั่น 

 เมื่อฟู่ยื่อลัวอยู่ในเมืองหลี เขาได้ควบคุมมารพวกนั้นไม่ให้ทำอันตรายผู้คนใดๆ แต่บัดนี้เมื่อเขาจากไปแล้ว มารที่เหลือก็ยับยั้งชั่งใจไม่ได้อีกต่อไป สำหรับพวกเขาแล้ว มนุษย์อย่างเราๆ คืออาหารและวัตถุดิบในการฝึกวิชากับหลอมสร้างสมบัติวิเศษ  อวี่เหอกล่าว

 นั่นจึงเป็นเหตุให้ในช่วงไม่กี่วันมานี้ หมู่บ้านในบริเวณรอบๆ หลายหมู่บ้านถูกทำลายจนราบคาบ ศิษย์น้องซังฮั่วเดิมทีอยากจะไปเจดีย์สยบเทพ แต่ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเลื่อนออกไปก่อน 

ฉินมู่ขมวดคิ้วและถาม  ฟู่ยื่อลัวควบคุมมารพวกนั้นไม่ให้ทำร้ายผู้คน? ทำไมเขาถึงออกคำสั่งเช่นนั้น 

 เพื่อเอาชนะใจคน  ฉู่เหยากล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึม  เมืองอาจจะถูกรุกราน จักรวรรดิอาจจะล่มสลาย เทพเจ้าก็อาจจะตกตายในการศึก แต่กระนั้นหัวใจของผู้คนก็เป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะช่วงชิงมันมา ฟูยื่อลัวเป็นมารเทวะที่มีความทะเยอทะยานสูงส่ง ดังนั้นวิธีการเข้ายึดครองของเขาก็ไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน 

 หากว่าเขาไม่ทำร้ายผู้คน ผู้คนเหล่านั้นก็จะไม่สู้กลับ ต่อให้เขาขูดรีดพวกเขามากขึ้น เปลี่ยนพวกเขาให้เป็นทาสแรงงานในเหมืองแร่และไร่สมุนไพรทั้งหลาย พวกเขาก็จะยังคงเชื่องอยู่ 

 ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะทำให้มารชั้นเลวทั้งหลายสามารถจดจ่อกับการต่อสู้ได้ ศัตรูที่สามารถโจมตีไปที่หัวใจได้เช่นนี้ นับว่าเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด 

ฉินมู่ผงกหัว และความประทับใจของเขาที่มีต่อฟู่ยื่อลัวก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

ฟู่ยื่อลัวไม่ใช่คนมุทะลุบุ่มบ่ามที่รู้จักแต่เข้ายึดครองเมืองและแย่งชิงดินแดน เขาเข้าใจวิธีการปกครอง และรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้กับเผ่ามารได้มากที่สุด

มารชั้นเลวมีศักดิ์ฐานะต่ำต้อย และฉินมู่ก็ได้เห็นมารชั้นเลวเหล่านั้นในสนามรบแล้ว พวกเขาเป็นตัวป้อนกระสุนปืนในสนามรบ หากว่าก่อนที่จะใช้เป็นไพร่พลป้อนกระสุน แต่ใช้สอยให้เป็นทาสแรงงานก่อน ก็คงยากที่จะปกครอง

เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวการณ์นั้น ฟู่ยื่อลัวได้ทำให้มนุษย์เป็นทาสแรงงาน เพื่อให้มารชั้นเลวได้รับการรับใช้ปรนนิบัติอย่างสุขสบาย จากนั้นพวกเขาก็จะเข้าไปสู้ศึกในสนามรบด้วยชีวิตเป็นเดิมพันโดยไม่ต้องพะวงทำเรื่องอื่น และการปกครองของเขาก็จะมั่นคงสถาวร

 ฟู่ยื่อลัวเป็นผู้เปี่ยมความสามารถอันใหญ่หลวงผู้หนึ่ง มิน่าล่ะครูบาศักดิ์สิทธิ์ถึงระแวงระไวเขานัก  ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว  จากสนามรบคงจะมีอาวุธวิญญาณเผ่ามารที่เก็บรวบรวมมาได้มากมายเลยสินะ? พวกเจ้าคิดจะทำอย่างไรกับพวกมันล่ะ 

 เพราะว่าอาวุธพวกนั้นเปี่ยมไปด้วยสันดานมารและปราณมาร พวกมันจึงจะต้องถูกทำลายเพื่อมิให้เผ่ามารมีโอกาสแย่งชิงพวกมันกลับไปได้  อวี่เหอกล่าว

ฉินมู่แย้มยิ้มให้แก่นาง  พี่เสือและข้ากำลังจะก่อตั้งสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกเราจึงต้องการทองคำทมิฬและเหล็กดำจำนวนมาก ในเมื่ออาวุธวิญญาณของมารไม่มีประโยชน์ใช้สอย พวกเจ้าให้พวกข้ายืมได้หรือไม่ สันดานมารและปราณมารที่อยู่ในนั้นก็พอดีว่าเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการ! 

อวี่เหอยิ้มกลับไปให้เขา  อาจารย์ของข้าสามารถนำอาวุธวิญญาณเผ่ามารมาได้มากมาย ไม่ทราบว่าจ้าวลัทธิต้องการมากเท่าใด 

 ยิ่งมากก็ยิ่งดี!  ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม  ขอบคุณที่เจ้าเป็นธุระให้ หัวหน้าโถงอวี่! 

เมื่อหันกลับไป นางก็กล่าว  จ้าวลัทธิสุภาพเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรของเผ่ามารพวกนั้นก็ไร้ประโยชน์ พวกเจ้าไปกันก่อนเถอะ อาจารย์ของข้าและข้าจะมาจัดส่งอาวุธเหล่านั้นภายหลัง 

ฉินมู่มองไปที่ซังฮั่วและคนอื่นๆ และเขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง  น้องสาวฮั่ว พี่เสือและข้าต้องใช้เวลาสักพักในการจัดตั้งสะพาน ดังนั้นพวกเจ้าไปฝึกฝนกันก่อนเถอะ ค่อยกลับมาอีกทีในอีกสิบวันให้หลัง ตอนนั้นพวกเราน่าจะทำเสร็จแล้ว และข้าก็ยังอาจจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักสหายใหม่จำนวนหนึ่งด้วย 

 นอกจากมาชวนเจ้าไปฝึกฝนด้วยกัน พวกเรายังมีจุดมุ่งหมายอื่นอีก พวกเราอยากที่จะเข้าร่วมลัทธิของเจ้า  ซังฮั่วกล่าวด้วยเสียงเบา

ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ แห่งสวรรค์ไท่หวงรีบพยักหน้า

ฉินมู่จ้องไปยังฉู่เหยาด้วยความตะลึงใจ

 หลังจากที่จ้าวลัทธิบอกเล่าถึงหลักปรัชญาของลัทธินักบุญสวรรค์ ศิษย์พี่อวี่เหอและข้ารู้สึกว่ามันโน้มน้าวให้คล้อยตาม ดังนั้นพวกเราจึงเข้าร่วมและกลายเป็นหัวหน้าโถง ภายหลัง ข้านั้นพูดมากเกินไปและบอกสหายต่างๆ ของข้าเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของลัทธิ และพวกเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีงามเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาก็จึงมาเพื่อขอเข้าร่วมด้วย 

ฉินมู่ลิงโลดอย่างสุดๆ แต่เขาไม่เผยออกมาทางสีหน้า  ลัทธินักบุญสวรรค์นั้นทั้งเที่ยงธรรมและโดดเด่นเหนือธรรมดาในสันตินิรันดร์ ดังนั้นไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถเข้าร่วมได้ แต่ทว่าข้ารู้สึกตื้นตันใจที่เห็นพวกเจ้าทุกๆ คนต่อสู้กับเผ่ามารอย่างไม่พะวงชีวิตของตนเอง และรู้ว่าทุกคนที่นี่ล้วนแต่เป็นบุคคลอันเที่ยงธรรม พวกเรามีจิตใจที่คล้ายๆ กัน ดังนั้นข้าจะไม่กีดขวางสร้างความลำบากไม่ให้พวกเจ้าเข้าร่วมหรอก 

 แต่ทว่า การที่จะได้เป็นหัวหน้าโถงนั้น เจ้าจะต้องมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในด้านใดด้านหนึ่ง ลัทธิศักดิ์สิทธิของข้ามีโถงทั้งหมดสามร้อยหกสิบเอ็ดโถง อันเป็นตัวแทนของวิชาชีพทั้งหมดสามร้อยหกสิบเอ็ดวิชาชีพ ดังนั้นจึงไม่ได้ขึ้นกับว่าเจ้ามีกำลังฝีมือมากเท่าใด 

ซังฮั่วและคนอื่นๆ มีสีหน้าผิดหวัง แต่ฉินมู่แย้มยิ้มให้แก่พวกเขา  แต่ทว่า ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เพิ่งก่อตั้งสาขาในสวรรค์ไท่หวง ดังนั้นจึงมีเรื่องต้องทำหลายสิ่ง พวกเราจำเป็นต้องจัดการกับเรื่องเร่งด่วนด้วยความฉับไว จึงไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดนัก นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมพวกเจ้าทุกคนจึงจะได้เป็นหัวหน้าโถงแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์ไท่หวง 

ซังฮั่วดีใจ  พวกเราจำเป็นต้องปาดเลือดที่ริมฝีปากตามพิธีบูชายัญโลหิตและสาบานว่าจะไม่ทรยศลัทธิไหม 

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เขาส่ายหัวและกล่าว  ลัทธินักบุญสวรรค์ของพวกเราไม่ใช่ลัทธิมารที่มีชื่อเสียงย่ำแย่ ดังนั้นพวกเราจึงไม่ทำเรื่องอย่างป้ายเลือดใส่ตนเองหรอก และก็ไม่มีใครต้องมาเคารพบูชาจ้าวลัทธิด้วยเช่นกัน เจ้าเพียงแต่ต้องคารวะทักทายข้า ไม่มีพิธีรีตองคุกเข่า จ้าวลัทธิเป็นครูบาศักดิ์สิทธิ์ มิใช่จักรพรรดิ 

 ตอนนี้ข้ากำลังรีบเร่งไปก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาสนทนา ค่อยกลับมาใหม่ในอีกสิบวันให้หลัง เมื่อสองโลกเชื่อมต่อกัน ข้าจะให้พี่น้องจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในสันตินิรันดร์มาอธิบายทุกอย่างโดยละเอียด 

ซังฮั่วและคนอื่นๆ พึงพอใจ และจากไปพร้อมกับฉู่เหยา

ก่อตั้งลัทธิในสวรรค์ไท่หวงนั้นง่ายดายกว่าที่ข้าคิดเสียอีก ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน จากนั้นสายตาของเขาก็วูบวาบเมื่อปรายตามองไปยังเทพเสือขนดำข้างๆ เขา  ไม่ทราบว่าพี่เสือต้องการเข้าร่วมลัทธิด้วยไหม 

เทพเสือขนดำกลอกตาแล้วยิ้มหยัน  นายท่านของข้าไม่เคยรับรองลัทธินักบุญสวรรค์ของเจ้า อย่ามาเสียแรงเปล่าและรีบไปสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณจะดีกว่า 

หนึ่งคนและหนึ่งเสือมาถึงหน้าแท่นบูชามหึมาในเวลาไม่นาน อันสูงลิ่วราวกับภูเขา มันมีขั้นบันไดที่ทอดสูงไปยังท้องฟ้าอันบนนั้นจะมีแท่นเวทีกว้างใหญ่ อักษรรูนสังเวยเลือดถูกฝังประทับอยู่รอบๆ มัน และซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงถูกก่ายกองอยู่บนพื้น และเพราะมีเครื่องสังเวยเหล่านั้น จึงมีรูปสลักหินและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าทั้งหลายถูกอัญเชิญมาจากแดนโบราณวินาศ

อักษรรูนของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณที่ฉินมู่และเทพเสือขนดำได้ออกแบบมาจากรากฐานแท่นสังเวย ดังนั้นจึงต้องปรับเปลี่ยนอักษรรูนเดิมบนแท่นสังเวยไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หนึ่งคนและหนึ่งเสือรีบลงมือเพื่อทำตามที่ตั้งใจไว้โดยพลัน

สักพักหนึ่ง เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ก็นำอวี่เหอและอาวุธวิญญาณมารมากมายก่ายกองที่สุมกันเท่าภูเขามา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม  สหายน้อย นี่เพียงพอสำหรับเจ้าไหม หากว่าไม่ ยังมีอีกนะกองใหญ่กว่านี้ในเมืองนวลอาภา 

ฉินมู่แย้มยิ้มด้วยความยินดี  นี่เพียงพอแล้ว ขอบคุณท่านมาก เทพเที่ยงแท้! 

 มีตรงไหนอีกไหมที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือของพวกเรา  เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ถาม อวี่เหอเองก็อดใจรอไม่ไหวที่จะได้ช่วยอีกแรง

เสือเทพยดาขนดำกำลังจะตกปากรับการช่วยเหลือ แต่ฉินมู่รีบส่ายหัว  ไม่ต้องหรอก! เทพเที่ยงแท้ท่านมีธุระมากมาย และศิษย์พี่หญิงอวี่เหอก็ยังต้องออกไปฝึกฝนฝีมือ ข้าไม่บังอาจรบกวนท่านทั้งสอง! 

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้นั้นติดพันกับธุระปะปังมากมายจริงๆ ดังนั้นเขาจึงกล่าวลาพร้อมกับอวี่เหอ และจากไป

 มีหลายชิ้นส่วนที่จำเป็นจะต้องหลอมสร้างมาประกอบเป็นสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ และพวกเราสองคนทำเองก็จะใช้เวลานาน ทำไมเจ้าไม่ให้พวกเขาช่วยล่ะ  เทพเสือขนดำบ่นพึม

 ศิษย์พี่ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าสิ 

เสือเทพยดาขนดำเงยศีรษะขึ้นมอง และพลันกระจ่าง  พวกเราปล่อยให้เทพแห่งสวรรค์ไท่หวงมาช่วยไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางรู้ว่าพวกเขาจะนำความฉิบหายแบบไหนมา! 

หนึ่งคนและหนึ่งเสือเริ่มหลอมละลายอาวุธมารทั้งหลาย วัตถุดิบสำหรับสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณไม่จำเป็นต้องสกัดสันดานมารออก ดังนั้นพวกเขาจึงแค่หลอมละลายมันและหลอมสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาใหม่

พวกเขาทั้งคู่ล้วนแต่เป็นมืออาชีพด้านการตีเหล็กและเชี่ยวชาญการคำนวณ ดังนั้นแต่ละชิ้นส่วนจึงถูกผลิตออกมาอย่างแม่นยำเป็นที่สุด รอยประทับอักษรรูนบนทุกๆ สิ่งจำเป็นจะต้องมีสัดส่วนถูกต้องและแม่นย่ำจนถึงทศนิยมชุ่นซี พวกเขามุ่งผลสมบูรณ์แบบ

ผู้สร้างตะวันได้หลอมสร้างดวงตะวันบิดเบี้ยวก็เพราะว่าการออกแบบของเขา เขามิได้มุ่งให้ทุกส่วนประกอบของเขาแม่นยำถนัดถนี่ ในข้อสันนิษฐานของฉินมู่ แบบแปลนของดวงตะวันครึ่งซีกอย่างมากก็ถูกคำนวณถึงจุดทศนิยมฮูไม่ก็เวย อันเป็นผลให้ผลลัพธ์สุดท้ายบิดเบี้ยว และระคายตา

การที่จะให้ดวงตะวันบนท้องฟ้าดูกลม ทศนิยมจำเป็นจะต้องคำนวณถึงซูอวี๋หรือชุ่นซีเป็นอย่างต่ำ

ดวงตะวันครึ่งซีกนั้นใหญ่กว่าแท่นสังเวยยักษ์หลายสิบเท่า ดังนั้นอัตราความแม่นยำที่ฉินมู่ต้องการจึงสูงลิบลิ่ว ทุกส่วนประกอบจำเป็นต้องคำนวณถึงทศนิยมชุ่นซี ในเมื่อเขาไม่อาจทนดูดวงตะวันบนท้องฟ้าอันอุบาทว์ตาเสียเหลือเกิน

นักบุญคนตัดไม้เป็นยอดฝีมือในเชิงคำนวณและหลอมสร้าง ดังนั้นเขาก็ไม่สามารถทนมองดูดวงตะวันแห่งสวรรค์ไท่หวงได้

สิบวันถัดมา ซังฮั่ว ฉู่เหยา และคนอื่นๆ รีบรุดมาพร้อมกับผู้ฝึกวิชาเทวะหลายร้อยคน พวกเขามาพบฉินมู่และเทพเสือขนดำกำลังกระตุ้นการทำงานของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ

ฉินมู่และเทพเสือขนดำยังคงวุ่นวายไปมาบนแท่นสังเวย ทำการทดสอบและปรับแต่งต่างๆ มากมาย พวกเขาไม่กล้าที่จะเผลอไผลเลยแม้แต่น้อย มากกว่าสิบวันที่ผ่านมา พวกเขาได้งีบหลับเพียงแค่สองสามครั้ง และเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด แต่จิตวิญญาณของพวกเขายังคงคึกคักแจ่มใส

ไม่นานนัก เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ เทพซังเย่ และทวยเทพอื่นๆ ที่เหลือก็มาพร้อมกับผู้ฝึกวิชาเทวะอีกนับพัน พวกเขามองไปที่แท่นสังเวยอันเต็มไปด้วยส่วนประกอบต่างๆ มากมายอันใหญ่มหึมาและเป็นสีดำเมี่ยมหลอมรวมเข้าไปในแท่นนั้น พวกมันมีขนาดที่แตกต่างกันและดูเหมือน ทวน ง้าว มีด กระบี่ ที่ถูกหลอมละลายไปครึ่งหนึ่ง และทั้งหมดนั้นก็ชี้ตรงไปยังท้องฟ้า

พวกมันถูกปกคลุมในอักษรรูนที่ลึกล้ำอันยากจะเข้าใจ ส่วนใหญ่แล้วอยู่ใกล้พื้นดิน ส่วนฐานล่างสุดของแท่นสังเวยแทบจะถูกกวาดให้เหี้ยนด้วยฉินมู่และเทพเสือขนดำ และก็มีชิ้นส่วนประกอบใหญ่โตมากมายติดตั้งไว้แทน ทุกอย่างดูซับซ้อนอย่างสุดๆ

ช่องทางมากมายถูกขุดผ่านตลอดแท่นสังเวย และทุกช่องทางสร้างขึ้นจากส่วนประกอบจำนวนนับไม่ถ้วน มีอักษรรูนเชื่อมต่อระหว่างชิ้นส่วนเหล่านั้น

ทั้งแท่นสังเวยนั้นมองจากข้างนอกเป็นชิ้นเดียว แต่โครงสร้างภายในของมันซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง

ผู้ฝึกวิชาเทวะหลายพันและเทพเจ้าทั้งหลาย ยืนห้อมล้อมบริเวณนั้นหลายรอบวง พลางอุทานด้วยความชื่นชม ฉินมู่และเทพเสือขนดำได้เผยให้เห็นความงามที่มหาสมบัติวิเศษโลหะขนาดมหึมาสามารถมีได้!

ความงามเช่นนี้มิได้เป็นความงามแบบสมมาตร เงาต่างๆ ทอดตกลงมาอย่างสะเปะสะปะขณะที่ชิ้นส่วนโลหะและอักษรรูนก็เผยแสดงความงามอันแสนประหลาด

ฉินมู่และเทพเสือขนดำติดตั้งชิ้นส่วนสุดท้ายและเชื่อมต่อมันเข้ากับแท่นสังเวยในอีกโลกมิติ ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันและเห็นความตื่นเต้นในแววตาของอีกฝ่าย

 เจ้าพร้อมหรือยัง 

เทพเสือขนดำเลิกคิ้ว  ข้าพร้อมที่จะกระตุ้นพลานุภาพของอักษรรูนแล้ว! 

ฉินมู่ผงกหัวอย่างหนักแน่น และลำแสงของพลังเทพชีวาก็พวยพุ่งออกมาจากเทพเสือขนดำเพื่อกระตุ้นการทำงานของอักษรรูน แสงเจิดจ้าค่อยๆ กล้ำกรายไปข้างหน้า จุดแสงอักษรรูนเพิ่มขึ้นอีก ราวกับว่ามันจะเชื่องช้าเกินไป สายเส้นแสงก็แยกออกเป็นสอง และพวยพุ่งไปตามอักษรรูนต่างๆ ราวกับน้ำไหล!

เสียงหึ่งฮัมดังออกมาเมื่อแสงเข้มข้นไหลเข้าไปข้างในแท่นสังเวย และเล็ดลอดออกมาตามขั้นบันไดต่างๆ ค่อยๆ จุดแสงรอยประทับอักษรรูนทั้งหมด

ท้ายที่สุด มันก็ไหลไปถึงส่วนฐานและรวมรวมกันอยู่ตรงนั้น

ตึง!

การสั่นสะเสือนรุนแรงกึกก้องไปมา และขั้นบันไดต่างๆ ของแท่นสังเวยก็ลอยขึ้นไปบนฟากฟ้า พวกมันแยกตัวออกเป็นชั้นต่างๆ มากกว่าเก้าร้อยชั้น แต่ละชิ้นส่วนหมุนวนไปในทิศทางอันแตกต่างกัน และหลังจากที่หมุนวนไปแต่ละรอบ อักษรรูนบนแต่ละชั้นก็จะมาเชื่อมต่อกันดังคลิกๆ กระบวนการที่ดำเนินไปนั้นดูเพริศแพร้วประณีตเป็นอย่างยิ่ง!

ฉินมู่และเทพเสือขนดำที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดหนึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงข้างใต้แท่นสังเวย และทวยเทพทั้งหลายที่ยืนตระหง่านอยู่บนท้องฟ้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน

ภาพของมหาสมบัติโลหะขนาดยักษ์ที่ถูกกระตุ้นให้ทำงานนั้นอลังการเสียเหลือเกิน!

แท่นสังเวยหมุนไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง และทุกๆ การหมุนไปได้เศษหนึ่งส่วนสี่รอบ มันก็จะมีคลื่นพลังจิตวิญญาณแผ่ออกมา พวกมันคือปราณมารและสันดานมานที่ซ่อนอยู่ในอาวุธอันถูกกระตุ้นให้ทำงาน

จากการคำนวณอย่างรอบคอบของฉินมู่และเทพเสือขนดำ ตราบใดที่พวกเขาสามารถฝ่าทะลุม่านคุ้มกันระหว่างสองโลกมิติ และก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณในรูปปล่องได้ พลังงานระหว่างสองโลกก็จะรักษาเสถียรภาพเอาไว้ และช่องทางก็จะไม่พังทลายลงไปโดยง่าย ปราณมารและสันดานมารในอาวุธทั้งหมดก็จะเหือดแห้งไปในพริบตาที่เกิดการเชื่อมต่อ

ชั้นต่างๆ ของแท่นสังเวย หมุนไปนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อปริมาณพลังงานมหาศาลถูกสะสมเข้าไป ลำแสงสีดำก็พวยพุ่งไปยั้งท้องฟ้า พลานุภาพอันไร้ประมาณสร้างเสียงอึงอลอันสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

ผู้ฝึกวิชาเทวะนับพันและทวยเทพ เช่นเดียวกับฉินมู่และเทพเสือขนดำ เงยศีรษะของพวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นก็พลันชะงักค้างบนใบหน้า

ข้างบนนั้น ลำแสงสีดำอันกร้าวแกร่งไร้ต่อต้านยิงพุ่งเข้าไปปะทะกับดวงตะวันครึ่งซีก วัตถุอัปลักษณ์นั้นพลันระเหิดหายไปในพริบตา

หูของเทพเสือขนดำที่แต่เดิมตั้งตรงแหน็วพลันลู่ราบไปข้างหลัง และปากของเขาก็อ้าหวอ  พวกเราตายแน่…ศิษย์น้อง นี่คือการก่อเรื่องวุ่นวายหรือการก่อเรื่องใหญ่ล่ะ? 

เหงื่อเย็นเยียบขนนาดเท่าลูกปัดร่วงตกจากขอบตาซ้ายของเขาและร่วงลงไปยังแก้ม จากนั้นเหงื่อก็ไหลโซมลงมาจากหน้าผากของเขาราวกับน้ำตกก่อนที่จะก่อเป็นสองเส้นทางจากสองหางตาของเขา

ฉินมู่เบือนหน้ากลับไปอย่างยากลำบากมองไปยังคู่หูสมคบคิดของเขา เทพเสือขนดำที่มีรูปลักษณ์เยาว์วัยนั้นก็ยิ่งมีเหงื่อร่วงลงมาท่วมหน้ามากกว่าเขาเสียอีก และเสื้อของเขาก็เปียกไปหมด

 ศิษย์พี่ หันไปมองสีหน้าของผู้คนที่อยู่ข้างล่างหน่อยไหม  ฉินมู่เสียงแหบพร่า พลางพยายามควบคุมความดังเสียงของตน

 เจ้าดูเองเถอะ ข้าไม่กล้า ข้ากลัวว่าพวกเขาคงจะอดใจไม่ไหวที่จะมากระทืบพวกเราให้ตาย…เจ้าคิดว่าพวกเขาจะกระทืบพวกเราให้ตายไหม 

…………………….

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท