“ปฏิเสธ?”ริมฝีปากบางๆของนัทธียกขึ้นเป็นมุมอย่างไม่แน่ใจนัก“ผมว่านออกจากสาเหตุนี้แล้ว ยังมีอีกสาเหตุสินะ คุณอยากเห็นผมเป็นตัวตลก?”
“ฉัน……ฉันเปล่า……”วารุณีก้มหน้าลงอย่างร้อนตัว
นัทธียืนขึ้นมา มือข้างหนึ่งยันโต๊ะไว้ มืออีกข้างยื่นออกไป เงยคางของเธอ
จากนั้นภายใต้สายตาที่สงสัยของวารุณี โน้มหน้าไปเล็กน้อย แล้วจูบไปที่ริมฝีปาก
ดวงตาวารุณีเบิกโตขึ้นมาทันที ตะลึงงันไปหมด
ป้าส้มก็ตกใจกับฉากนี้ หน้าแก่ๆนั้นแดง รีบปิดตา แอบหนีไปทีละก้าว
คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงรักกันมากเชียวนะ ฟ้าสว่างแบบนี้ ก็ยังจูบกันที่ห้องทานอาหาร
แบบนี้ก็ดี หมายความว่าความรู้สึกของทั้งสองนั้นดี ดังนั้นยัยแก่อย่างเธอ ก็ไม่อยู่รบกวนพวกเขาแล้ว
“อื้อ……”ในที่สุดวารุณีก็ได้สติคืนมา อายหน้าแดงผลักนัทธีออกไปเบาๆ อยากจะดันเขาออก
แต่นัทธีกลับจับคางเธอแน่นไม่ปล่อย จูบไปอย่างรุนแรง จูบจนเธอใกล้จะหอบ ถึงได้ปล่อยเธอออก
วารุณีได้รับอิสระ ก็อ้าปากเล็กน้อย สูดหายใจลึกๆ ขณะเดียวกันก็จ้องเขาอย่างตำหนิ“อยู่ดีๆ คุณมาจูบฉันทำไม เมื่อกี๊ป้าส้มเห็นหมด”
นัทธีเอานิ้วมือเช็ดน้ำที่มุมปาก พูดอย่างไม่คิดเช่นนั้น:“เห็นก็เห็นสิ ต่อไปเธอก็จะเห็น ตอนนี้ให้เธอชินสักหน่อยก็ดี”
“คุณ……”วารุณีพูดไม่ออกเลยกับคำพูดของเขา มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะกระตุก
นัทธียกมุมปากขึ้น“ตอนนี้คุณยังเห็นผมเป็นตัวตลกไหม?”
“อะไรนะ?”วารุณีตะลึง ยังไม่ได้สติคืนมาในทันที
นัทธีปล่อยคางของเขา แล้วถอยกลับไป“ผมเพิ่งกินซุปน่าขยะแขยงนั้นไป คุณก็ตลกผม ตอนนี้พวกเราก็ปากเหม็นเหมือนกันแล้ว คุณยังจะขำผมไหม?”
ในที่สุดวารุณีก็เข้าใจความหมายของเขา ดวงตาจ้องไปด้วยความโกรธ มือทั้งสองข้างทุบไปที่อกเขา“ดีจังเลยนะคุณเนี่ย คุณนี่มันต่ำช้ามาก”
แววตาของนัทธีมีรอยยิ้มบางๆ จับมือของเธอไว้ แล้วบีบอย่างทะนุถนอม“เอาเถอะ กินข้าวต่อดีกว่า กินเสร็จแล้วไปแปรงฟัน”
“นั่นต้องให้คุณบอกหรือไง”วารุณีกลอกตาใส่เขา ชักมือกลับมา นั่งลงไปกินข้าวต่อ
นัทธีก็ไม่ได้แหย่เธอ ก้มเอวนั่งกลับไป
ทานข้าวเสร็จ ทั้งสองก็กลับไปแปรงฟันที่ห้อง แน่ใจว่าปากไม่มีกลิ่นนั้นแล้ว จึงออกไปแล้วไปทำงานที่บริษัทของใครของมัน
วารุณีมาถึงบริษัท ก็ได้รับคำเยาะเย้ยของปาจรีย์“วารุณี คืนวันแต่งงานเมื่อคืนเป็นยังไงกันบ้าง?”
เป็นยังไงกันบ้าง?
สายตาวารุณีหม่นลงไปทันที แต่แป๊บเดียวก็หายไป หยิบกุญแจออกมาเปิดประตูออฟฟิศ“เป็นไงบ้างเธอมองไม่ออกเหรอไง?”
“มองไม่ออก”ปาจรีย์ส่ายหน้า จากนั้นวนไปรอบๆเธอ วนไปพูดไปว่า:“น้ำเสียงของเธอไม่ดีเหมือนสองสามวันก่อน สองสามวันก่อนตอนที่มา ยังหน้าตาอวบอิ่มมีเลือดฝาด แค่มองก็รู้ว่าชุ่มชื่น แต่ครั้งนี้ไม่มี กลับยังมีความอดนอนหน่อยๆ และท่าเดินก็มีปัญหา ทำไม ประธานนัทธีใช้งานไม่ได้แล้ว?”
“ฉันนี่หมดคำพูดกับเธอจริงๆ”วารุณีโกรธและขำมากกับคำพูดของเขานี้ จึงผลักเธอเล็กน้อย“เธอสิใช้งานไม่ได้”
“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย ฉันใช้งานได้ไม่ได้ไม่มีปัญหา แต่ประธานนัทธีไม่เหมือนกัน พูดตรงๆนะ เมื่อคืนเธอกับประธานนัทธีเป็นยังไงกันแน่?”ปาจรีย์เอาไหล่ถูไถวารุณี ใบหน้าเต็มไปด้วยความสอดรู้สอดเห็น
วารุณีผลักประตูออกฟิศเข้าไป“เมื่อคืนพวกเราไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น?”ปาจรีย์ตกใจมาก“พวกเธอเป็นคู่สามีภรรยาใหม่นะ ประธานนัทธีเขาทนไหวเหรอ?”
วารุณีลากเก้าอี้ทำงานออก แล้วนั่งลงไป ยกมือขึ้นบีบสันจมูก“เมื่อคืนเขาไปอยู่กับนวิยาที่โรงพยาบาล”
“อะไรนะ?”ปาจรีย์ก็ตกใจทันที“อยู่กับนวิยา?”
วารุณีตอบอือ
“ทำไมล่ะ?”ปาจรีย์สงสัยมาก
วารุณีเปิดคอม พูดเรื่องเมื่อคืนออกมา
ปาจรีย์ฟังจบ ก็โกรธจนตบโต๊ะ“ห่า หน้าด้านมาก!เธอจงใจสินะ จงใจดื่มจนตัวเองป่วย หลอกให้ประธานนัทธีไปหา เพื่อแยกพวกเธอออก!”
เธอก็รู้จักยัยนวิยา ตอนที่พงศกรอยู่โรงพยาบาล นวิยาก็มาหาพงศกรบ่อยๆ ดังนั้นเธอจึงได้รู้จักกับนวิยา และรู้ความสัมพันธ์ของนวิยากับประธานนัทธี
ดังนั้น เธอเชื่อแน่นอนว่าเมื่อคืนนวิยาจงใจ
“เอาเถอะ ไม่ว่าเธอจะจงใจหรือไม่ เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ก็ผ่านไปเถอะ”วารุณีส่ายมือ ไม่ค่อยอยากพูดถึงอีก
ปาจรีย์กลับไม่พอใจ บ่นพึมพำ“ปล่อยแบบนี้ไปได้ไงกันล่ะ เธอทำแบบนี้ ชัดเจนว่ายั่วยุเธอ ขยะแขยงเธอ ให้เธอรู้ว่า เธอสำคัญแค่ไหนในใจของประธานนัทธี สำคัญขนาดที่ว่าสามารถไปหาเธอได้โดยทิ้งเธอไว้ในคืนแต่งงาน และก็ประธานนัทธีก็เช่นกัน คิดได้ไง พวกเธอเป็นคู่แต่งงานใหม่นะ!”
วารุณีเอนหลังเก้าอี้“พวกเขาเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก และยังเป็นพี่น้องบุญธรรม นวิยาใกล้ตาย ถ้าเขาไม่ไป แบบนั้นสิคนถึงจะแปลกใจ ดังนั้นฉันเข้าใจได้”
“เธอเข้าใจได้ แต่นวิยากลับไม่ เธอเชื่อไหมว่านี่ไม่ใช่ครั้งเดียวแน่ ต่อไปจะต้องคิดหาทางเรียกประธานนัทธีไปจากเธออีก”ปาจรีย์กอดอก พูดอย่างยืนยัน
สายตาวารุณีหม่นลงไป“ฉันรู้ ดังนั้นเมื่อคืนฉันก็เลยเตือนนัทธีแล้ว เขาก็รับปากฉันนะ ว่าต่อไปจะไม่ทิ้งฉันไว้แบบเมื่อคืนอีกแล้ว”
“หวังว่าประธานนัทธีจะพูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้นนะ”ปาจรีย์ยักไหล่ ไม่ค่อยเชื่อใจนัทธีเท่าไหร่
วารุณีมองออก จึงเม้มริมฝีปากสีแดงนั้น และไม่พูดอะไร
เพราะในใจของเธอ ก็ไม่เชื่อนัทธีทั้งหมด
ถ้าครั้งหน้า นวิยาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เกือบตายอีก เขาจะไม่ทิ้งเธอไว้จริงๆเหรอ?
เธอคิด คำตอบคือทิ้งแน่ ยังไงชีวิตคนก็แขวนอยู่ตรงนั้น นัทธีปล่อยให้นวิยาตายไม่ได้แน่ๆ และแน่นอนว่า ถ้าเป็นเธอเองก็เหมือนกัน ดังนั้นเธอเข้าใจนัทธี
กำลังคิดอยู่นั้น โทรศัพท์ของวารุณีก็ดังขึ้นมา
ปาจรีย์มองไป เห็นเบอร์ที่โทรมา ก็เบะปาก“พูดถึงก็มาเลย ตายยากจริงๆ วารุณี สายของนวิยา”
พอได้ยิน วารุณีก็มองไปที่โทรศัพท์ เห็นเป็นสามคำว่านวิยา โชว์อยู่บนหน้าจอ
“ไม่รู้นะว่าเธอโทรมาทำไม แต่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่”ปาจรีย์ทำเสียงเย็นชา
วารุณีหัวเราะ แล้วไม่พูด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดลำโพง“ฮัลโหล คุณนวิยา”
“คุณวารุณี ไม่ได้รบกวนคุณใช่ไหมคะ?”ในสาย มีเสียงอ่อนแอกว่าปกติของนวิยาเข้ามา ไร้เรี่ยวแรง เหมือนว่าพูดประโยคนี้แล้ว ก็พูดประโยคถัดไปไม่ได้อีก พอฟังแล้วปาจรีย์ก็ขนลุกไปทั้งตัว
ที่เธอรำคาญที่สุด ก็คือเสียงแบบนี้ อ่อนแอ เสียงที่เหมือนจะตายให้ได้ เหมือนว่าแบบนี้สามารถกระตุ้นความอยากที่จะปกป้องของทุกคนได้ เสแสร้งมาก!
ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้ยัยนวิยาน่าจะอ่อนแอจริงๆ เธอจะต้องแย่โทรศัพท์แล้วตะโกนใส่ในสายแน่ บอกว่านวิยาอย่าแกล้งทำเป็นอ่อนแออีกเลย
“เปล่าค่ะ มีอะไรไหมคะ?”วารุณีถามด้วยรอยยิ้มบางๆ
นวิยาปิดริมฝีปากด้วยใบหน้าซีดขาว ไอออกไป“คือแบบนี้ค่ะ ฉันรู้ว่าคุณกับนัทธีแต่งงานกัน ขอโทษนะคะ เมื่อคืนทำลายคืนวันแต่งงานของพวกคุณ”
“ดังนั้นคุณเลยมาขอโทษ?”วารุณีเลิกคิ้วขึ้น
ปาจรีย์กลอกตาใส่ ทำภาษาปาก“เชื่อเธอสิแปลก!”
ขอโทษ?
กลัวว่าจะไม่ใช่มาอวดน่ะสิ!
วารุณีอ่านความคิดของปาจรีย์ออก จึงหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ สนใจไปที่สายโทรศัพท์อีกครั้ง
ที่ปลายสาย มุมปากของนวิยายกขึ้นมาอย่างมืดมน แต่คำที่พูดออกมา กลับเต็มไปด้วยความขอโทษ“ใช่ค่ะ ฉันมาขอโทษ ขอโทษนะคะคุณวารุณี ฉันไม่รู้จริงๆว่าเมื่อคืนจู่ๆนัทธีจะมาโรงพยาบาล และฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าจู่ๆพิชิตจะติดต่อเขาไป ถ้ารู้แบบนี้……”
“ถ้ารู้แบบนี้จะทำไมคะ?”วารุณีตัดบทเธอด้วยใบหน้าเรียบเฉย