ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง – บทที่ 258 กลลวงวังหลวงไร้ผู้คน

บทที่ 258 กลลวงวังหลวงไร้ผู้คน

จิ้งอ๋องมองหยุนชางอย่างรู้ทัน “เจ้าคงจะใส่ยาลงไปให้นางใช่หรือไม่?”

หยุนชางเลิกคิ้ว “ก็แหงน่ะสิเพคะ หากไม่ใช่คนเฝ้าประตูของจวนมหาเสนาบดีหละหลวม หม่อมฉันเองก็ขี้เกียจหาวิธีให้กับนางเพคะ ชางยางอวี้เอ๋อร์ผู้นี้ นางค่อนข้างที่จะคิดน้อยไปนิด”

ราวๆช่วงเที่ยงวัน สายลับที่หยุนชางส่งไปเมืองเฟิ่งไหลก็กลับมา “จิ่นเฟยเหนียงเหนียงและฮ่องเต้ทรงสบายดีพ่ะย่ะค่ะ เหตุการณ์ทั่วไปปกติดี แต่ว่า สองวันก่อน มีผู้หญิงคนหนึ่งไปเข้าเฝ้าจิ่นเฟยเหนียงเหนียง จิ่นเฟยเหนียงเหนียงให้นางอยู่ด้วยสักพัก เหมือนนางจะชื่อว่าจิ่งเหวินซี นางบอกว่านางรู้จักพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ก็ทรงรู้ว่านางเป็นธิดาของใต้เท้าจิ่ง จึงทรงอนุญาตให้จิ่นเฟยเหนียงเหนียงให้นางพักด้วยได้ ได้ยินเจิ้งมามาพูดว่า ฮองเฮากับคุณหนูจิ่งนั้นถูกชะตากันอยู่ไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”

หยุนชางรู้สึกชาไปทั่วร่าง ใจของนางสั่นไหว จิ่งเหวินซี……

หยุนชางจำได้ว่า เคยพบจิ่งเหวินซีที่จวนซุ่นชิ่งอ๋อง นางเป็นหญิงสาวที่น่ารักคนหนึ่ง แต่ว่านางและเวินหยูอวี้มักจะมีเรื่องให้ขัดแย้งกันอยู่เสมอ ทำให้หยุนชางจดจำนางได้เป็นพิเศษ ทว่า นางไม่ใช่ธิดาของใต้เท้าสำนักการบูชาหรอกหรือ? เหตุใดจึงไปปรากฏตัวอยู่ที่เมืองเฟิ่งไหลในเวลานี้ ช่างบังเอิญจริงๆ……

หยุนชางไม่เชื่อเรื่องบัญเอิญ นางยึดถือแนวคิดที่ว่า สิ่งใดผิดปกติย่อมมีเงื่อนงำแอบแฝง แล้วรีบหันไปถาม “ใต้เท้าสำนักการบูชาเป็นคนของใครเพคะ?”

จิ้งอ๋องเงียบอยู่พักหนึ่งจึงตอบ “ใต้เท้าสำนักการบูชาเป็นคนของฮ่องเต้”

หยุนชางครุ่นคิด คนของเสด็จพ่อ หากจะว่าตามหลักแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่โดยเฉพาะ นางอดกังวลไม่ได้ เกรงว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นโดยที่นางไม่รู้ไม่เห็น

หยุนชางไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ แล้วจึงหันไปบอกสายลับ “ไปสืบมาว่าเพราะเหตุใดจิ่งเหวินซีจึงไปที่เมืองเฟิ่งไหลในเวลานี้ ใต้เท้าสำนักการบูชาตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วกำชับสายลับที่ประจำอยู่เคียงข้างเสด็จแม่ที่เมืองเฟิ่งไหลด้วยว่า ห้ามให้จิ่งเหวินซีเข้าใกล้เสด็จแม่เป็นอันขาด”

“เจ้าสงสัยจิ่งเหวินซีงั้นหรือ?” จิ้งอ๋องถามขึ้นหลังจากได้ฟังสิ่งที่หยุนชางสั่งการสายลับ

หยุนชางพยักหน้า นางพูดพลางขมวดคิ้ว “เมื่อคืนตอนหม่อมฉันไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ฮองเฮาตรัสว่า นางจะลงมือกับเสด็จแม่และน้องชายของหม่อมฉัน ที่ผ่านมาหม่อมฉันต้องลำบากเพราะไม่ได้ระวังฮองเฮาเอาไว้ ครั้งนี้ หม่อมฉันจะยอมให้เสด็จแม่และน้องชายต้องมาเสี่ยงอันตรายไม่ได้เด็ดขาด การปรากฏตัวของจิ่งเหวินซีครานี้ ดูจะบังเอิญเกินไปเพคะ……”

จิ้งอ๋องมิได้ถามสิ่งใดอีก เขาเงียบไปสักพักก่อนจะพูดว่า “ข้าจะส่งสายลับไปคุ้มกันเสด็จแม่ของเจ้าเพิ่มนะ”

หยุนชางพยักหน้า หัวใจของนางเต้นรัว

กองทหารของจิ้งอ๋องกำลังมุ่งหน้ามาที่พระราชวัง ส่วนเซี่ยโหจิ้งก็กำลังซุ่มเตรียมกองกำลังอยู่ จิ้งอ๋องรู้ว่าเซี่ยโหจิ้งปักหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งในแคว้นหนิงและรวบรวมทหารได้จำนวนหนึ่งแล้ว ทว่ายังไม่กล้าเปิดศึก ทุกๆวันเซี่ยโหจิ้งจะศึกษาแผนที่แคว้นหนิงอยู่ภายในห้องหนังสือ

หยุนชางรู้สึกกระวนกระวาย แม้ว่านางจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเซี่ยโหจิ้งมากนัก แต่นางก็รู้ว่าเซี่ยหัวจิ้งยังคงเพ่งเล็งวังหลวง เขาเตรียมการอยู่ตลอดเวลา ฝีมือและความคิดของเซี่ยโหจิ้งนั้นยอดเยี่ยมมาก นางเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน นางคิดว่าไม่ควรนำตัวเองไปเสี่ยงในสถานการณ์เชิงรุกเช่นนี้

หยุนชางวิตกกังวลเรื่องความปลอดภัยของวังหลวงเป็นอย่างมาก ไหนจะเป็นห่วงสถานการณ์ที่เมืองเฟิ่งไหลอีก รายงานจากสายลับระบุว่าทุกอย่างปกติ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันจิ่งเหวินซีได้ติดตามพี่ชายที่เป็นพ่อค้าใหญ่ข้ามน้ำข้ามทะเลอ้อมแคว้นหนิงไปยังเมืองเฟิ่งไหล ดูจากกำหนดการเดินทางของพวกเขาแล้ว เหมือนว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวังหลวงเลย

แต่ว่าใต้เท้าสำนักการบูชานั้น……

วันครบรอบการสวรรคตของอดีตฮ่องเต้จะมีขึ้นในเดือน 7 นี้แล้ว เนื่องจากเสด็จแม่ใกล้คลอด เสด็จพ่อจึงไม่มีเวลาไปทำพิธีเซ่นไหว้ จึงมอบหมายให้ใต้เท้าสำนักการบูชาไปทำการสักการะสุสานหลวงแทนพระองค์ ใต้เท้าจึงมิได้อยู่ในวัง

อีกอย่าง ท่านอ๋องบอกว่า ใต้เท้าสำนักการบูชาเป็นคนของเสด็จพ่อ พิจารณาดูแล้ว คำพูดของท่านอ๋องต้องไม่ผิดแน่นอน

โดยรวมแล้วสถานการณ์ทุกอย่างปกติดี แต่สิ่งที่ผิดปกติก็คือ การที่จิ่งเหวินซีขอไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ที่ตำหนักนอกวังระหว่างทางที่นางเดินทางไปเมืองเฟิ่งไหล เมื่อคิดตามแล้ว ตนเองกับจิ่งเหวินซีหาได้สนิทสนมกันไม่ และด้วยสถานะของจิ่งเหวินซี นางมิมีเหตุผลใดที่ต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่เลย

หยุนชางขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ระวังตัวไว้ก่อนจะเป็นการดีที่สุด นางมอบหมายให้สายลับนำความไปรายงานเสด็จแม่ ให้เสด็จแม่พยายามปฏิเสธการเจอหน้ากับจิ่งเหวินซี เพื่อป้องกันการปองร้าย

สองสามวันผ่านไป ย่างเข้าปลายเดือน 8 แล้ว จักรพรรดิหนิงสั่งให้คนนำจดหมายมาส่งข่าว แจ้งว่าอีก 2-3 วันจะเสด็จกลับวังหลวง หยุนชางคำนวณวันเวลา เสด็จแม่ทรงมีประสูติการแล้ว น้องชายของตนก็อายุครบเดือนแล้ว เวลานี้จึงเป็นเวลาอันสมควรที่จะเสด็จกลับวัง อีกอย่าง กิจการหลายๆอย่างในวังหลวงก็ได้เกิดความล่าช้าขึ้น ทหารของจิ้งอ๋องก็ต้องระงับการเดินทางไว้สักครู่ เกิดการถ่วงเวลาขึ้นเล็กน้อย แต่อีกไม่เกิน 2 วัน พวกทหารก็น่าจะเดินทางเข้ามาในวังได้แล้ว

หยุนชางและจิ้งอ๋องปรึกษากัน ได้ข้อตกลงว่า จะลงมือหลังผ่าน 2 วันนี้ไป การตรวจตราที่ชายแดนยังคงมีความเข้มข้น ควรรีบหากองกำลังมาอารักขาโอบล้อมพระราชวัง และคัดเลือกกองกำลังไปช่วยหนุนสถานการณ์ที่ชายแดน

สองวันผ่านไป สีของท้องฟ้ายังคงความเข้ม หยุนชางและจิ้งอ๋องพากันแอบออกนองวังเงียบๆ กลางป่าทึบนอกวังหลวง กองกำลัง 3 หมื่นนายกำลังเตรียมการตามแผนที่วางไว้

“ทูลท่านอ๋อง สายลับได้แฝงตัวเข้าไปในจวนมหาเสนาบดีแล้ว ทหารเฝ้าประตูวังก็จัดการตามแผนเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จิ้งอ๋องพยักหน้า เขาชูแส้ม้าในมือขึ้นมา แล้วประกาศกึกก้อง “เวลานี้ จะต้องเอาชีวิตหลี่จิ้งเหยียนคนชั่วนั่นมาให้ได้ จะต้องสังหารมันให้ตายอย่างไร้ดินกลบหน้า”

จิ้งอ๋องสะบัดมือ กองกำลังด้านหลังก็ได้ติดตามเขามาจนถึงประตูวัง ที่ประตูวังมีสายลับยืนรออยู่นานแล้ว เมื่อกองกำลังบุกมาถึงประตูวัง ประตูวังก็ค่อยๆเปิดออก

รุ่งอรุณมาเยือนแล้ว อากาศยามเช้ายังคงชื้นอยู่เล็กน้อย ตามทางเดินในพระราชวัง ไม่ปรากฏเงาผู้ใดแม้แต่เงาเดียว มีเพียงเสียงนกร้องจิ๊บๆ และเสียงหยิบจับอาวุธของเหล่าทหาร

หยุนชางขมวดคิ้วมองไปรอบๆ เงียบดีจริงๆ

การเดินทางมุ่งหน้าไปยังจวนมหาเสนาบดีเป็นไปด้วยความราบรื่น บนกำแพงจวนมหาเสนาบดี มีนักแม่นธนูคอยอารักขาจวนอยู่หลายนาย จิ้งอ๋องชักดาบออกมาจากข้างเอวแล้วตวัดดาบไปมา “บุก”

สายลับบุกเข้าไปเป็นกลุ่มแรก โดยมุ่งหน้าเข้าไปทางกลุ่มนักแม่นธนู กองกำลังแผนกโล่กำบังตามเข้าไปติดๆ พวกเขาวิ่งไปเรียงแถวเป็นด่านหน้า แล้วชูโล่กำบังขึ้น

ธนูถูกปล่อยมาไม่ขาดสายราวกับสายฝน กองกำลังแผนกโล่กำบังตั้งโล่ขึ้นเพื่อป้องกันธนูแล้วเดินหน้าเข้าไปอย่างช้าๆ ด้านหลังกองกำลังแผนกโล่กำบัง ก็มีนักแม่นธนูฝ่ายจิ้งอ๋องคุกเข่าตั้งรับพร้อมยิงธนูออกไปโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลดละ ผ่านไปไม่นาน ก็ฝ่ามาจนถึงทางเข้าจวน จิ้งอ๋องสั่งการเสียงกร้าว ประตูใหญ่ทางเข้าจวนก็ถูกดันจนพังและล้มลงไป

ภายในเขตจวนมหาเสนาบดี ยังคงมีนักแม่นธนูหลบซ่อนตัวอยู่ตามจุดต่างๆ หยุนชางและจิ้งอ๋องสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จากรายงานที่ได้ฟัง ในวังหลวงนี้เป็นการซุ่มเตรียมกองกำลังกว่า 4 หมื่นนาย ภายใน 4 หมื่นนายนี้ บ้างก็คอยอยู่เฝ้าประตูวัง บ้างก็ประจำอยู่ที่จวนมหาเสนาบดี กองกำลังเหล่านี้ของหยุนชางและจิ้งอ๋องสามารถเป็นแนวต้านอยู่ได้สักระยะหนึ่ง จำนวนกองกำลังของหยุนชางและจิ้งอ๋องนั้นมีอยู่ 3 หมื่นนาย ในจวนมหาเสนาบดีแห่งนี้มีเพียงนักแม่นธนูคอยอารักขา เท่าที่ดูๆแล้ว คงมีไม่กี่พันนายเท่านั้น

“ไปลากคอมันมาให้ข้า!จงนำตัวหลี่จิ้งเหยียนคนระยำมาให้ข้าให้ได้!”จิ้งอ๋องประกาศกร้าว กลุ่มกองกำลังก็บุกเข้าไปในจวน ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค้นหาจนทั่วทั้งจวนแล้ว

“หรือว่าจะอยู่ในวัง?”หยุนชางพูดพึมพำคนเดียว “ไม่สิ คนอารักขาตรวจตราในวังหลวงก็เปลี่ยนเป็นคนของเราหมดแล้ว หากว่าหลี่จิ้งเหยียนเข้าไปในวังจริงๆล่ะก็ ไม่มีทางที่เราจะพลาดการรายงานไปได้……”

หลังจากนั้นไม่นาน กองกำลังที่ค้นหาจนทั่วทุกซอกทุกมุมแล้วก็รายงานว่าไม่พบหลี่จิ้งเหยียน ไม่พบเซี่ยโหจิ้ง ไม่พบผู้ที่เป็นชนชั้นสูงในจวนแห่งนี้เลยแม้แต่คนเดียว กองกำลัง 4 หมื่นนายที่ว่า คงจะมีอยู่ที่จวนแห่งนี้ราวๆ 3 พันนายเท่านั้น

จิ้งอ๋องและหยุนชางมองหน้ากัน ทั้งคู่รู้สึกคิดหนัก

หลังจากนั้น จิ้งอ๋องจึงเอ่ยว่า “หากเป็นไปตามกำหนดการ ฮ่องเต้จะทรงเสด็จเดินทางกลับวังวันนี้”

หยุนชางตะลึงงัน พวกเขาโดนกลลวงของเซี่ยโหจิ้งเข้าแล้ว กลลวงที่เซี่ยโหจิ้งและหลี่จิ้งเหยียนได้วางไว้แต่แรกนั้น ไม่ใช่เรื่องการยึดครองวังหลวง ตอนนี้เสด็จพ่อมิได้ประทับอยู่วัง ต่อให้ยึดครองวังหลวงได้ ก็ได้แค่เพียงพระราชวังที่ว่างเปล่าเท่านั้น

อีกอย่างหนึ่ง หากยึดครองวังหลวงได้แล้ว ก็คงต้องอยู่แต่ภายในวังหลวง วังหลวงตั้งอยู่ทางตอนกลางของแคว้นหนิง ห่างจากชายแดนค่อนข้างไกล แม้กองทัพแคว้นเซี่ยจะทำลายเมืองหน้าด่านทั้งสามเมืองได้ แต่หากคิดจะมายึดครองวังหลวง ก็ต้องใช้เวลาราวครึ่งปี หลี่จิ้งเหยี่ยนและเซี่ยโหจิ้งอยากจะยึดครองวังหลวงครึ่งปี เห็นทีจะไม่ใช่เรื่องง่าย

หยุนชางมัวแต่เคียดแค้นจนลืมนึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป หากไตร่ตรองดูดีๆแล้ว ก็จะประเมินสถานการณ์ได้ชัดเจน “เซี่ยโหจิ้งต้องการลงมือที่เสด็จพ่อ โดยใช้เสด็จพ่อเป็นหุ่นเชิดเพคะ”

จิ้งอ๋องพยักหน้า เขาขมวดคิ้ว “ไม่กี่วันมานี้ข้ารู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เกรงว่าเซี่ยโหจิ้งจะแอบนำทหารมาเพื่อเล่นงานฮ่องเต้ จึงเตรียมกองกำลัง 2 หมื่นกว่านายไปตามเสด็จฮ่องเต้ แต่ว่าข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะตบตาด้วยการละทิ้งวังหลวง

หยุนชางคิดหนัก หวังว่าทหารองครักษ์ของเสด็จพ่อ จะทำการต้านกองกำลัง 2 หมื่นนายพอได้ “พวกเราต้องรีบไปรับเสด็จเสด็จพ่อแล้วเพคะ”

จิ้งอ๋องพยักหน้า แล้วออกคำสั่ง นำทหารมุ่งหน้าสู่เมืองเฟิ่งไหล

ในขณะนั้นเอง หยุนชางก็ฉุกคิดเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ตนนั้นมองข้ามเรื่องนี้มาโดยตลอด ตอนที่ตนได้พบกับจิ่งเหวินซีที่จวนซุ่นชิ่งอ๋องนั้น เวินหยูอวี้เคยเหน็บแนมนางว่า “ในวังหลวงนี้ ผู้ใดดูไม่ออกบ้างว่าเจ้าจิ่งเหวินซีมีใจให้จิ้งอ๋อง……”

ในเวลานั้น เสด็จพ่อเพิ่งจะเริ่มจัดพิธีอภิเษกให้กับนางและจิ้งอ๋อง……นเซี่ยตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว นางหาทางหนีออกมาจากด่านคนเฝ้าประตู แล้วลอบเข้ามาในห้องนอนของมหาเสนาบดีหลี่ เมื่อได้เห็นมหาเสนาบดีหลี่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่อง ก็เกิดความคลุ้มคลั่ง นางตะโกนออกมาดังลั่น “เอาลูกของข้าคืนมา” แล้วนำมีดสั้นแทงเข้าไปที่มหาเสนาบดีหลี่ ทำให้มหาเสนาบดีหลี่ได้รับบาดเจ็บบริเวณช่องท้อง เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด

ในช่วงที่ชางยางอวี้เอ๋อร์เงื้อมือจะแทงมหาเสนาบดีหลี่อีกครั้ง บริวารที่ได้ยินเสียงร้องก็รีบกรูเข้ามาแย่งมีดออกจากมือของนาง แล้วทุบตีนางเป็นการลงโทษ จากนั้นจึงนำตัวนางกลับไปขัง

ในส่วนของหลี่จิ้งเหยียนนั้น อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสพอสมควร เขาหมดสติไปในที่สุด

เมื่อหยุนชางได้ฟังรายงานจากสายลับแล้ว นางมองไปยังจิ้งอ๋อง “ท่านอ๋องคงจะทรงเชื่อแล้วว่า ผู้หญิงคนนี้ เมื่อคลุ้มคลั่งขึ้นมาคราใด ก็มักจะทำเรื่องที่ไม่คาดคิดออกมา ช่วงเวลาที่ชางยางอวี้เอ๋อร์ใช้ชีวิตอยู่ที่แคว้นเย้หลาง นางสุขสบายราวกับว่าเป็นองค์หญิงองค์หนึ่ง หลังจากแต่งงานมาอยู่แคว้นหนิงแล้ว นางต้องใช้ชีวิตร่วมกับชายแก่ที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไหนจะคนในจวนไม่ยอมรับนาง นางสู้ยอมมีลูกเพื่อให้คนในจวนของมหาเสนาบดีเกรงใจนางบ้าง นางจึงพออยู่มาได้ แต่ก็ไม่คิดเลยว่า ลูกของนางต้องมาโดนมหาเสนาบดีหลี่กำจัด การที่ชางยางอวี้เอ๋อร์บันดาลโทสะเช่นนี้ คงจะเป็นเพราะนางนั้นสุดจะทนแล้วล่ะเพคะ”

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง

Status: Ongoing

ในภพก่อน นางเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ มีเสด็จพ่อที่ทรงโปรด “เสด็จแม่” ทรงตามพระทัย พี่หญิงที่คอยปกป้อง พระสวามีคอยดูแล จนนางมีนิสัยที่หยิ่งผยอง จนกระทั่ง นางได้เห็นด้วยตาตัวเอง ว่าพี่หญิงผู้ที่ตนเคารพนับถือที่สุด และพระสวามีที่รักของตนได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน ลูกชายที่ป่วยหนักถูกพระสวามีลงมือฆ่าด้วยตัวเอง นางจึงตระหนักว่าเรื่องทั้งหมดนี้ เป็นกลยุทธ์ที่วางแผนไว้อย่างรอบคอบโดย “เสด็จแม่” การทรยศ เหล้าที่อาบยาพิษ นางสูญเสียทุกสิ่ง…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท