วิชากลืนวิญญาณของฉินเฉิงมันค่อนข้างคล้ายกับของชายชุดดำคนนี้
และสภาพร่างกายหลังตายก็คล้ายกันมาก
“ฉินเฉิงใช้วิชาที่ชั่วร้ายแบบนี้เพื่อฝึกฝนจริงๆเหรอ?” สายตาที่ดุร้ายปรากฏขึ้นในแววตาของเลขาเจิ้ง “ไม่น่าแปลกใจที่เค้าสามารถบรรลุระดับขั้นดังกล่าวได้ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี”
“ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว” ชางโจวพยักหน้า “ยิ่งไปกว่านั้น ไอ่หมอนี่มันยั่วยุผู้คนเอาไว้มากมายแล้วตระกูลซูเองก็ต้องการกำจัดมันมานานแล้ว ถ้าเราจัดฉินเฉิงได้ ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย ”
ข้อเสนอนี้ได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็วจากเสียงข้างมาก
“ฉันไม่เห็นด้วย!” ในตอนนี้เอง ผู้อำนวยการที่ชื่อรุ่ยถางก็ได้เสนอความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป
เค้ายืนขึ้นแล้วพูดว่า: “เนื่องจากเราเป็นตัวแทนของศิลปะการต่อสู้ของทั้งประเทศ เราต้องรับผิดชอบต่อนักศิลปะการต่อสู้ส่วนใหญ่ อย่างน้อยๆก็ต้องมีท่าทีที่ยุติธรรมในการจัดการกับเรื่องทุกอย่าง ฉินเฉิงเองก็ไม่ใช่ฆาตกร เราจะผลักเค้าออกมาเป็นแพะรับบาปไม่ได้”
สีหน้าของชางโจวเย็นชาง จากนั้นเค้าก็ถอนหายใจออกมา: “รุ่ยถาง นายบ้าไปแล้วเหรอ ต่อให้ฉินเฉิงมันจะเป็นฆาตกรหรือไม่ก็ตาม มันใช้เวทมนตร์! สมาคมศิลปะการต่อสู้ของเราจะต้องประหารชีวิตมัน! ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างก็กำลังกดดันพวกเรา นายทนต่อแรงกดดันนี้ได้เหรอ!”
“ก็ใช่” คนอื่นๆต่างก็พยักหน้า แม้แต่เลขาเจิ้งเองก็เห็นด้วย
สำหรับคนพวกนี้แล้ว พวกเค้าไม่สนใจเลยว่ามันจะเป็นเวทย์มนต์หรือไม่
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการแก้ปัญหาแรงกดดันที่มีอยู่ในตอนนี้
“แต่เห็นได้ชัดว่าฉินเฉิงเค้าไม่ได้เป็นคนทำ” รุ่ยถางขมวดคิ้ว “ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ผมยอมรับไม่ได้”
“รุ่ยถาง แก!” ในตอนที่ผู้อำนวยการคนอื่นกำลังจะพูดนี้เอง จู่ๆชางโจวก็โบกมือแล้วหัวเราะขึ้นมา: “รุ่ยถางเป็นคนยุติธรรม เค้าเป็นคนรักความเป็นธรรม! เนื่องจากมีข้อโต้แย้ง อย่างงั้นเดี๋ยวเราก็ค่อยมาหารือกันใหม่ ”
หลังจากพูดจบ ชางโจวก็มองไปที่เลขาเจิ้งแล้วพูดว่า: “คุณคิดอย่างไร?”
เลขาเจิ้งเอามือลูบไปที่คางแล้วพูดว่า: “อืม ผู้อำนวยการชางมีเหตุผล”
“เอาล่ะ การประชุมครั้งนี้จะยุติลงชั่วคราว” ชางโจวยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ทุกคนออกไปได้”
ทุกคนลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกประตู
ทันทีที่รุ่ยถางหันกลับมา แววตาของชางโจวก็ส่องประกายออกมาอย่างชั่วร้าย
เค้ากำมืดพกในมือจนแน่น ทันใดนั้นเองร่างของเค้าก็หายไปแล้วมีดพกนั่นก็แทงเข้าไปที่ด้านหลังของรุ่ยถางในทันที!
“ฉวก!”
มีดนี้เกิดจากความแข็งของพลังปราณที่ควบแน่น มันแทงเข้าไปที่เอวของรุ่ยถางโดยตรงทะลุเข้าไปยังช่องท้องส่วนล่าง! มันทำให้จุดตันเถียนแตกในทันที!
“แก…แก…” รุ่ยถางหันกลับมา สีหน้าของเค้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ชางโจวพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “รุ่ยถาง แกเป็นคนตรงไปตรงมา น่าเสียดายที่คนซื่อตรง…ส่วนมากอายุไม่ยืน!”
หลังจากพูดจบ ชางโจวก็ยกมือขึ้นมาแล้วตบไปที่หัวของรุ่ยถาง มันเป็นการปะทะกันครั้งสุดท้าย
ทุกคนหันหลังกลับมา พวกเค้าต่างก็ตกใจกับฉากนี้
ชางโจวพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “แผนนี้จะต้องเป็นความลับสุดยอด มันจะต้องไม่มีข้อผิดพลาด รุ่ยถางเป็นส่วนประกอบที่จะทำให้เสียเสถียรภาพ เราควรกำจัดเค้าโดยเร็ว หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ”
ทุกคนเงียบ แม้ว่าความคิดเห็นของรุ่ยถาง พวกเค้าจะไม่เห็นด้วย แต่วิธีที่ชางโจวทำนี้มันเลวร้ายเกินไป
เลขาเจิ้งที่อยู่ข้างๆดูเหมือนว่าจะรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของทุกคน ดังนั้นเค้าก็แสร้งทำเป็นโกรธแล้วพูดว่า: “ชางโจว! คุกเข่าลงซะ!”
ด้วยเสียงที่ดังขึ้นมา มันก็ทำให้ขาของชางโจวอ่อนแรง เค้าคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับเสียง “พัฟ”
“แกนี่มันทำทุกอย่างเพื่อตัวเองจริงๆ แกยังมีความเป็นคนอยู่ไหม” เลขาเจิ้งด่าทอขึ้นมาอย่างเย็นชา
ชางโจวก็รีบพูดว่า: “ผม…ผมไม่มีทางเลือกอื่น”
เลขาเจิ้งพูดขึ้นมาอย่างเฉยเมยว่า: “อย่างไรก็ตาม แกได้ละเมิดข้อบังคับของสมาคมศิลปะการต่อสู้แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอถอดถอนแกออกจากการเป็นผู้อำนายการ แกมีอะไรจะแย้งไหม?”
“ไม่มี ไม่มีครับ” ชางโจวพยักหน้าซ้ำๆ
เลขาเจิ้งโบกมือแล้วพูดว่า: “เอาหละ ทุกคนไม่ต้องห่วง ฉันจะรายงานพฤติกรรมของชางโจวให้ท่านประธานทราบ”
หลังจากแยกย้ายกันไปแล้ว เลขาเจิ้งก็ตบไปที่ไหล่ชางโจว
ชางโจวก็ลุกขึ้นมาจากพื้น เค้าหรี่ตาแล้วพูดว่า: “คนพวกนี้…ใจอ่อนกับผู้หญิงจริงๆ!”
“ถ้าไม่ทำแบบนี้ การจะเป็นผู้นำคนมันก็จะเป็นเรื่องยาก” เลขาเจิ้งถอนหายใจเล็กน้อย
ชางโจวพยักหน้าแสดงความเข้าใจ
“ทำตามแผนการของนายก็พอ” เลขาเจิ้งพูด
ชางโจวพูดขึ้นมาว่า: “ไม่ต้องเป็นห่วงครับเลขาเจิ้ง ผมเตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว!”
…
ในตอนนี้เอง ฉินเฉิงก็ยังคงอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
สิ่งที่เค้าถืออยู่ในมือก็คือของที่ได้มาจากเต่าวิญญาณ
เต่าวิญญาณตัวนี้มันเต็มไปด้วยสมบัติ แต่สำหรับฉินเฉิงแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกระดองของเต่าตัวนี้
สิ่งที่ฉินเฉิงพูดนั้นมันมีไว้สำหรับการปรับแต่งชุดเกราะ แต่ที่จริงแล้วในใจเค้ามีความคิดอะไรที่เหนือกว่านั้น
นั่นคือการใช้กระดองเต่าผสานรวมเข้ากับร่างกายของตัวเองเพื่อให้เกิดสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุด
หากเป็นคนอื่น แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่เนื่องจากร่างกายของฉินเฉิงสามารถบ่มเพาะในหม้อสัมฤทธิ์ได้ การที่จะเอามันมาผสานรวมกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ฉินเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดขึ้นมาเบาๆว่า: “กระดองเต่าวิญญาณนี้มันสามารถต้านทานอาวุธสมัยใหม่ได้ ถ้ามันสามารถรวมเข้ากับร่างกายของฉัน ต่อไปต่อให้เป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ เค้าก็ไม่มีทางทำอะไรฉันได้”
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าฉินเฉิงจะอยู่ยงคงกระพัน
ท้ายที่สุดแล้ว กระดองเต่าวิญญาณเป็นเพียงแค่ส่วนเสริม มันไม่ใช่การฝึกร่างกายจริงๆ มันเทียบกับการฝึกจริงๆไม่ได้เลย
แม้ว่าผิวหนังของเค้าจะอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถทำลายได้ แต่อวัยวะภายในของเค้ามันไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกอย่างรุนแรงได้
ฉินเฉิงเอาหม้อสัมฤทธิ์ออกมาจากมิติที่ว่างเปล่า เค้าเอามันวางไว้ที่ตรงกลางห้อง
นี่มันก็เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ครั้งก่อนที่ร่างกายของเค้าได้รับบ่มเพาะ พลังภายในมันก็หนาขึ้นมามากกว่าหลายชั้นแล้ว
ฉินเฉิงหยิบกระดองเต่าออกมาแล้วพูดเบาๆว่า: “ฉันหวังว่ามันจะได้ผลนะ…”
ในตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ฉินเฉิงเองก็กำลังจะเจ็บปวดจากอาการหมดสติ เค้าต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวด การที่จะบ่มเพราะอะไรแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
แต่ตราบใดที่มันสามารถบ่มเพาะความแข็งแกร่งของตัวเองได้ ฉินเฉิงเองก็พร้อมที่จะเสี่ยง
ในตอนที่ฉินเฉิงกำลังเตรียมที่จะเข้าไปในหม้อสัมฤทธิ์นี้เอง หลินชิงชือที่อยู่ด้านนอกประตูก็เดินเข้ามา
ในตอนนี้ฉินเฉิงไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย หลังจากที่หลินชิงชือเข้ามาแล้ว เธอก็ตกตะลึง
“ทำไมนายถึงนายถึงเป็นเหมือนกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน…” หลินชิงซือตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นเธอก็จ้องมองไปที่ฉินเฉิงอย่างว่างเปล่า
ในตอนนี้เอง ฉินเฉิงก็รีบเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัวมา เค้าเอาผ้าเช็ดตัวก็พันรอบตัวเอง
“มีเรื่องอะไร?” ฉินเฉิงถามขึ้นมาอย่างมึนงง
หลังจากที่หลินชิงชือได้สติกลับมา เธอก็หน้าแดงแล้วพูดขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วมว่า: “ไม่… ไม่เป็นไร อยู่ในห้องตัวเองฉันกลัวนิดหน่อย แค่ลมที่พัดไปมา ฉันก็รู้สึกกลัวแล้ว…”
ฉินเฉิงพูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆว่า: “แล้วไง?”
“ฉันขออยู่ในห้องของนายสักคืนหนึ่งจะได้ไหม?” หลินชิงชือพูดเสียงเบาขึ้นมา
จากนั้น เธอก็รีบอธิบายขึ้นมาว่า: “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้นนะ ฉันกลัวจริงๆ! ฉันไม่ได้หลอกนายนะ!”
ฉินเฉิงมองไปที่หลินชิงชือแล้วพูดว่า: “ฉันจำได้ว่าก่อนหน้านี้เธอก็เคยอยู่ในห้องของตัวเองมาตลอด ทำไมตอนนั้นเธอถึงไม่เคยบอกว่ากลัวเลยหละ?”