ดั่งรักบันดาล – บทที่ 529 ภัยคุกคามของเขา!

บทที่ 529 ภัยคุกคามของเขา!

ทั้งหมดถูกตระเตรียมการเรียบร้อยแล้ว หร่วนซือซือจัดการฝากฝังเซินเซินกับซาซาเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นจึงออกจากบ้านเพื่อไปรวมตัวกับเสี่ยวเหมิงและพวกพี่หลง บวกเธอเข้าไปเพิ่มแล้ว รวมทั้งหมดมีเก้าคน แยกกันนั่งรถ SUV กันสองคน หลังจากนั้นจึงมุ่งหน้าสู่เขาชิงซาน

ก่อนที่จะเริ่มเดินทาง ภายในใจของหร่วนซือซือมีความรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย แทบจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศของความตื่นเต้น พี่หลงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน เพื่อทำลายบรรยากาศว่า “คุณหร่วนครับ ไม่ต้องกังวลนะครับ พวกสหายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนสนิทของท่านประธานอวี้ จะให้ขึ้นเขาลงห้วยอะไรก็ไม่มีปัญหาเลยครับ อีกอย่างพวกเรายังนำเครื่องไม้เครื่องมือเฉพาะทางมาด้วยครับ เพียงแต่ว่าหากจะให้ค้นหาทั้งเขาชิงซาน เกรงว่าจะต้องใช้เวลาทั้งหมดประมาณสองสามวัน”

พี่หลงพูดไป ก่อนจะเอื้อมมาทางด้านหลังของตัวรถเพื่อหยิบเชือกป่านมาพันล้อมรอบหัวแม่มือเอาไว้ อีกทั้งยังมีกระบอกไฟที่เอาไว้ใช้สำหรับกลางแจ้งและยังมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตชนิดอื่นๆ อีกด้วย

หร่วนซือซือได้ยินดังนั้น ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเขา หลังจากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบาขึ้นมาว่า “ฉันเชื่อใจพวกคุณค่ะ”

เมื่อพูดไป เธอก็ลังเลขึ้นมาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสบตามองพี่หลงแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พี่หลงคะ พี่อายุมากกว่าฉัน หลังจากนี้ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหร่วนแล้วล่ะค่ะ เรียกฉันว่าซือซือหรือไม่ก็เสี่ยวหร่วนก็ได้ค่ะ”

พี่หลงได้ยินดังนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาเข้าที่ท้ายทอยอย่างเก้อเขิน ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นแล้วหลังจากนี้ฉันจะเรียกเธอว่าเสี่ยวหร่วนก็แล้วกันนะ”

หร่วนซือซือพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะไม่พูดอะไรออกมาอีก

ในช่วงเวลานั้นเอง เธอสัมผัสเข้าที่กระเป๋ากางเกงโดยอัตโนมัติ จู่ๆ กลับค้นพบว่าตนเองลืมนำโทรศัพท์มือถือมาด้วย สายตามองไปยังรถยนต์โดยสารที่กำลังจะเคลื่อนตัวออกจากประตูใหญ่ของสวนซีเฉียว หลังจากนั้นเธอจึงรีบเอ่ยปากพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “เดี๋ยวก่อนค่ะ! ”

“ฉันลืมนำโทรศัพท์มา เกรงว่าจะต้องกลับไปหยิบสักครู่หนึ่ง”

วันนี้ก่อนที่จะออกไป เธอตั้งใจชาร์จแบตโทรศัพท์ให้เต็มเป็นกรณีพิเศษ เพื่อที่จะรอให้เดินทางไปถึงเขาชิงซานแล้ว หากค้นพบสถานที่อะไรที่น่าสงสัย จะได้บันทึกภาพเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที แต่ทว่าตอนนี้ โทรศัพท์ไม่ได้ถูกนำมาด้วย เรื่องราวมากมายดูไม่สะดวกมากจริงๆ อีกอย่างพวกเขายังไม่ได้ไปไหนไกล กลับไปหยิบตอนนี้ก็ยังทัน

พี่หลงได้ยินดังนั้น ไม่พูดไม่จาอะไรเลยสักคำ ก่อนจะรีบให้ลูกน้องที่กำลังขับรถอยู่หันหัวรถกลับไป รถยนต์หยุดอยู่ใต้ต้นมะเดื่อจีนไม่ใกล้ไม่ไกลจากคฤหาสน์มากนัก หร่วนซือซือจึงลงจากรถไปหยิบโทรศัพท์

ในขณะเดียวกัน มีรถยนต์สีดำคันหนึ่งเคลื่อนตัวผ่านประตูใหญ่เข้ามาในสวนซีเฉียว ก่อนจะขับตรงมาทางคฤหาสน์

บนรถ ซ่งเย้อันสวมใส่ชุดลำลองสีดำสนิททั้งตัว นัยน์ตาสีเขียวคล้ำมืดมนนิ่งเฉย แทบจะรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมานิดหน่อย

เขาฟังลูกน้องผ่านทางหูฟังที่กำลังรายงานสถานการณ์การทำงานไปพลาง ก่อนที่จะยกมือขึ้นมานวดเข้าที่ระหว่างคิ้วไปด้วยกัน

เป็นเพราะเมื่อวานสถานการณ์การรักษาเพื่อฟื้นฟูร่างกายของซ่งอวิ้นอันไม่คงที่ดีนัก เขาอดนอนจนถึงเที่ยงคืนถึงจะได้นอน บวกกับเขาที่โดยสารเครื่องบินมาตั้งแต่ในช่วงเช้าตรู่ จากต่างประเทศมาจนถึงที่เมืองเจียงโจว เวลาพักผ่อนจึงมีไม่ถึงสองสามชั่วโมงเท่านั้น รู้สึกอ่อนเพลียจากการเดินทางเล็กน้อยจริงๆ ร่างกายเหนื่อยล้าไปหมด

ตอนนี้ ร่างกายของซ่งอวิ้นอันยังคงพื้นฟูได้ไม่ทั้งหมดนัก ยังคงต้องอยู่ทำการรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเจมส์ในต่างประเทศ แต่ทว่าเป็นเพราะว่าหร่วนซือซือกลับจีนมาแล้ว บวกกับที่เมืองเจียงโจวในช่วงนี้เกิดเรื่องใหญ่ติดต่อกันสองสามเรื่อง เขาจึงวางใจไม่ได้ ทำได้เพียงแค่รีบกลับมา

เป็นเพราะว่าเวลาบินเช้ามากเกินไป เขาจึงไม่ได้รบกวนหร่วนซือซือ หลังจากที่คิดจะออกมาจากสนามบินแล้ว ก็มุ่งตรงกลับมายังสวนซีเฉียวและมาเจอกับพวกเขาทันที

เขาช้อนสายตาขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ มองเห็นคฤหาสน์ที่คุ้นเคยอยู่ไม่ไกลนัก หน้าตาดูอ่อนโยนลงกว่าเดิมอยู่มากโข ก่อนจะเอ่ยสองสามประโยคต่อคนในหูฟังทางฝั่งนั้น หลังจากนั้นจึงใช้มือดึงหูฟังออกมา

ทันใดนั้นเอง เขาก็สบสายตาเข้าอะไรได้บางอย่าง นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อย สายตามองไปที่จุดโฟกัส หลังจากนั้นจึงทิ้งสายตามองไปยังกระจกหน้าต่างของรถ SUV คันสีดำคันหนึ่งที่จอดสนิทอยู่ใต้ต้นมะเดื่อจีนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประตูคฤหาสน์

นั่นไม่ใช่รถของพวกเขา ในโรงรถของคฤหาสน์มีรถจริงๆ อยู่สองคัน คันหนึ่งเป็นรถของหร่วนซือซือ ส่วนอีกคันหนึ่งเป็นรถใช้พลังงานของศาสตราจารย์หร่วนและคุณนายหลิวที่มักจะใช้ออกไปซื้อของเป็นประจำ อีกทั้งรถยนต์เกรดแบบนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าไม่ใช่ของตระกูลหร่วนของพวกเขาแน่ๆ

ภายในใจมีความรู้สึกตื่นตัวบางอย่างลอยออกมา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก และออกคำสั่งกับคนขับรถทันทีว่า “รอเดี๋ยวครับ”

คนขับรถชะลอความเร็วของรถลง กำลังขับมาถึงที่ทางแยกอยู่พอดี หลังจากนั้นจึงช้อนสายตาขึ้นมองไปยังซ่งเย้อันผ่านทางกระจกหลัง “ท่านประธานซ่ง มีคำสั่งอะไรหรือเปล่าครับ? ”

ซ่งเย้อันขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะมองไปที่รถคันนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากนั้นจึงรีบเอ่ยปากขึ้นมาทันทีว่า “ไม่ต้องขับรถเข้าไป ขับต่อไปข้างหน้าต่อเลยครับ”

ที่ถนนเส้นนี้ของคฤหาสน์เป็นถนนที่กว้างขวางมากอยู่เส้นหนึ่ง ขับรถต่อไปข้างหน้าจากทางด้านนี้ ก็จะขับเข้าไปถึงในส่วนของคฤหาสน์ทางด้านหลัง ถึงแม้ว่าภายในใจของคนขับรถจะมีคำถามอยู่ แต่ทว่ากลับยังคงขับรถต่อไปข้างหน้าตามที่เขาบอกกล่าวมาทั้งหมด

ซ่งเย้อันออกคำสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ขับช้าลงหน่อยครับ รอให้ถึงแปลงปลูกดอกไม้ก่อน แล้วค่อยหันหัวรถมาจอดไว้ที่ข้างทาง”

คนขับรถที่ทำตามคำสั่งทันที

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พวกเขานำรถมาจอดเข้าที่บริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลกับแปลงปลูกดอกไม้ ประจวบเหมาะกับที่ทางด้านนั้นมีพื้นที่ว่างอยู่ที่หนึ่งพอดี ไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจของคน ราวกับว่าเป็นรถยนต์ส่วนตัวจากคฤหาสน์ที่อยู่ทางด้านข้างมาจอดทิ้งไว้ตรงนี้ก็ไม่ปาน ทำให้คนไม่สามารถมองความแตกต่างออกได้เลยแม้แต่น้อย

ซ่งเย้อันไม่ได้ลงจากรถ เขานั่งอยู่บนรถ สายตาสุขุมจับจ้องไปทางรถ SUV คันนั้นอย่างเขม็ง ภายในใจมีความรู้สึกไม่สงบบางอย่างก่อเกิดขึ้นมาเล็กน้อย

ก่อนที่หร่วนซือซือจะเตรียมตัวกลับมาที่จีนตอนนั้น เขาเคยห้ามปรามเอาไว้แล้ว เป็นเพราะว่าเขาได้จงใจลงมือกับโทรศัพท์มือถือของเธอ นึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วจะถูกเธอค้นพบเข้าจนได้ เป้าหมายของเขาถูกเปิดโปง ความคิดที่อยู่ภายในหัวใจก็ถูกเปิดโปงด้วยเช่นเดียวกัน

แต่ทว่า ที่สามารถทำให้หร่วนซือซือไม่ฟังคำห้ามปรามของเขาได้นั้น เหตุผลที่ดึงดันที่จะกลับจีนมา เขาก็สามารถคาดเดาได้อยู่พอประมาณแล้ว เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับอวี้อี่มั่วที่เมืองเจียงโจว เธอกลับมา มีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้อยู่สูงมากว่าเป็นเพื่อเพราะมัน

ในเวลานี้ จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากคฤหาสน์ เขาจ้องมองไป กลับกลายเป็นหร่วนซือซือ

ร่างของเธอสวมใส่ชุดกีฬาแบบลำลองสีฟ้า ที่แขนมีแถบสีขาวอยู่ สวมใส่รองเท้าสำหรับเล่นกีฬาเอาไว้ที่เท้า ดูจากการแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วนั้น เธอก็คงจะไม่ได้ไปสถานที่ที่เป็นทางการอะไรแน่ๆ

เธอเดินมุ่งตรงไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ใต้ต้นมะเดื่อจีนคันนั้น ยังไม่ทันที่จะเดินเข้าไปใกล้ ประตูรถยนต์ก็ถูกเปิดออกเรียบร้อยแล้ว ในความเลือนรางไม่ชัดเจนนั้น ซ่งเย้อันมองเห็นคนอื่นๆ ที่ยังคงนั่งอยู่บนรถ ราวกับว่าเป็นชายฉกรรจ์อยู่สองสามคน

หัวใจของซ่งเย้อันสั่นไหว ความประหลาดใจลอยออกมาจากหัวใจเต็มไปหมด เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น หลังจากที่มองเห็นหร่วนซือซือที่ขึ้นรถไปแล้ว ประตูรถก็ถูกปิด รถยนต์ค่อยๆ เริ่มสตาร์ทขึ้น ก่อนจะเคลื่อนออกจากสวนซีเฉียวไป

ซ่งเย้อันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แรงๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะรีบออกคำสั่งให้คนขับรถขับตามไป หลังจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะบันทึกภาพของป้ายทะเบียนรถคันนั้นเอาไว้ แล้วส่งมันให้กับลูกน้องในสังกัดคนหนึ่ง ตามต่อมาด้วย เขาที่ส่งข้อความหนึ่งตามไป “รีบสืบหารถคันนี้ให้ชัดเจนโดยด่วน”

ไม่นานนัก ลูกน้องทางฝั่งนั้นก็ส่งข้อความตอบรับกลับมา

หลังจากที่รถ SUV คันนั้นออกจากเขตเล็กแล้ว กลับไม่ได้มุ่งตรงไปทางใจกลางเมือง แต่กลับเคลื่อนหน้ามุ่งลงตรงไปทางทิศใต้ ซ่งเย้อันขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในใจคาดเดาอะไรได้บางอย่างออกมา

ผ่านไปไม่นานนัก โทรศัพท์ของเขาสั่นไหวขึ้น ก่อนจะได้รับข้อความตอบกลับจากทางลูกน้องว่า “ตรวจสอบป้ายทะเบียนของรถคันนั้นเรียบร้อยแล้วครับ เป็นรถที่ใช้ชื่อของอวี้กรุ๊ป และเป็นรถยนต์ที่กลุ่มบอดี้การ์ดของอวี้อี่มั่วมักจะใช้กันครับ”

ทันใดนั้นเอง การคาดเดาภายในใจเหล่านั้นก็ค่อยๆ แน่นอนมากขึ้น มือของซ่งเย้อันที่วางอยู่ทางด้านข้างกำหมัดเข้าหากันแน่นขึ้น ภายในใจปรากฏความกลัดกลุ้มใจกับความอึดอัดที่ไม่ชัดเจนนักออกมา

ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถคาดเดาได้มาตั้งนานแล้วว่าที่จู่ๆ หร่วนซือซือกลับจีนมาเป็นเพราะว่าเพื่ออวี้อี่มั่ว แต่ทว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเธอกลับติดต่อกับลูกน้องของอวี้อี่มั่วจริงๆ พวกเขามุ่งหน้าลงไปยังทิศใต้ด้วยกัน ต้องไปที่วัดชิงซานกันแน่ๆ

เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดเรื่องขึ้นกับอวี้อี่มั่วนั้น เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ตอนนี้คำพูดเหล่านั้นที่ประกาศอยู่บนอินเทอร์เน็ตกับเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลายแหล่ในเมืองเจียงโจวนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ด้านเดียว มีเพียงแค่กลุ่มนักธุรกิจระดับสูงเท่านั้นที่มีน้อยคนนักจะรู้ว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นไปอย่างง่ายดายมากขนาดนั้น อีกอย่างอวี้อี่มั่วจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่แน่ชัดนัก

ดังนั้นแล้ว อวี้อี่มั่วตายไปแล้วจริงๆ หรือว่าหายสาบสูญไปนั้น เขาเองก็ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนนัก

แต่ทว่าตอนนี้ หร่วนซือซือกระทำการลงมือกับลูกน้องคนอื่นๆ ของอวี้อี่มั่ว จากการคาดเดาที่มีความเป็นไปได้สูงแล้ว อวี้อี่มั่วก็อาจจะมีโอกาสที่จะยังมีชีวิตอยู่สูงมาก

เมื่อความคิดนี้เกิดออกมาจากสมองของซ่งเย้อันแล้ว คิ้วของเขาขมวดติดกันแน่นกว่าเดิม เซลล์กล้ามเนื้อของเขาทั้งร่างร่วมใจกันหดเกร็งในเวลานี้ขึ้นมาทันที ร่างทั้งร่างกำลังเข้าสู่ท่าทีของช่วงเวลาแห่งการที่จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูคนสำคัญ

ภายในใจของเขาชัดเจนมาก การที่อวี้อี่มั่วมีชีวิตอยู่นั้นมันมีความหมายบางอย่างกับเขา

อวี้อี่มั่ว หากจะให้เขาเอ่ยขึ้นแล้วล่ะก็ เป็นคู่ปรับ เป็นศัตรู ในขณะเดียวกันก็เป็นภัยคุกคามของเขาด้วย!

ดั่งรักบันดาล

ดั่งรักบันดาล

Status: Ongoing

หร่วนซือซือต้องนัดดูตัว แต่อีกฝ่ายคือเจ้านายของเธอ “ประธาน……ประธานอวี้ คุณไปผิดที่รึปล่าว” “หร่วนซือซือ” ชายหนุ่มเรียกชื่อของเธอ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ในเมื่อเราสองคนก็รู้จักกันแล้ว เราก็มาแต่งงานกันเถอะ” “…………..” หลังจากแต่งงานหร่วนซือซือพบว่าชายคนนี้เมื่ออยู่ที่บริษัทเขาจะมีความเด็ดขาดในธุรกิจมาก และเป็นผู้กุมอำนาจของบริษัท และเมื่อเขาอยู่ที่บ้านเขาก็จะอ่อนโยนต่อเธอมาก

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท