เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 – เล่มที่ 4 ตอนที่ 103 การค้าขายพบอุปสรรค

เล่มที่ 4 ตอนที่ 103 การค้าขายพบอุปสรรค

เล่มที่ 4 ตอนที่ 103 การค้าขายพบอุปสรรค

        สภาพอากาศซางตูกำลังเล่นตลกกับเซี่ยเสี่ยวหลาน

ทั้งที่ก่อนหน้านี้อุณหภูมิเริ่มลดลงแล้ว

มิเช่นนั้นเสื้อนอกขนสัตว์จะเป็นที่นิยมได้อย่างไร

        แต่ในชั่วพริบตาท้องฟ้ากลับกลายเป็นแจ่มใสนานอยู่หลายวัน เสื้อกันลมและเสื้อขนเป็ดสองประเภทนี้

หากไม่ถึงช่วงอุณหภูมิลดลงต่ำก็จะนำเสนอความพิเศษไม่ได้ สีสันสดใสทีเดียวก็จริง

ทว่าพอสอบถามราคา เสื้อกันลม 45 หยวน เสื้อขนเป็ด 55 หยวน บรรดาลูกค้าก็พากันยอมแพ้ไปตามๆ กัน

         เสื้ออ่าวนี่แพงเหลือเกิน! 

        เสื้ออ่าว?

        เซี่ยเสี่ยวหลานจำเป็นต้องอธิบายอย่างละเอียดแก่เหล่าลูกค้า

แต่พวกเธอมุงดูความคึกคักเสียมากกว่า คนที่ตัดสินใจซื้อจริงไม่มีแม้แต่คนเดียว

        โชคดีที่เซี่ยเสี่ยวหลานยังนำเข้าเครื่องแต่งกายชนิดอื่นด้วย

จำหน่ายได้ตามลำดับ ต้นทุนพร้อมกำไรเพิ่มเป็น 5300 กว่าหยวน รวมกับเงินที่เหลือจากซื้อสินค้าครั้งก่อน เป็นจำนวนราว 6500 หยวน เธอเดินทางไปหยางเฉิงหนึ่งรอบ นำเข้าสินค้าเกือบ 4000 หยวน กลับไม่มีกระทั่งกำไรเท่าตัวด้วยซ้ำ… เสื้อกันลมและเสื้อขนเป็ดลงเงินสินค้าไว้ 1000 กว่าหยวน ถ้าขายสำเร็จ น่าจะรวบรวมได้อีกสัก 2500 หยวน

        เงินทุนเต็มจำนวนก็ไม่ถึง 1 หมื่นหยวน

จะค้ำจุนร้านได้อย่างราบรื่นหรือไม่?

        การจะตกแต่งหน้าร้านสามคูหาให้สมบูรณ์และสร้างชื่อเสียงโด่งดังในซางตูตั้งแต่แรกเริ่ม

อย่างน้อยต้องมีเสื้อผ้าสองถึงสามร้อยชิ้น

        สินค้าที่เธอเลือกล้วนราคาไม่ใช่น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อนอกขนสัตว์ตัวละ 50 หยวนขึ้นไป หรือเสื้อกันลมและเสื้อขนเป็ดราคาประมาณ 25 หยวน สินค้า 200 ชิ้นอาจต้องใช้เงินเจ็ดแปดพัน

เพิ่มเติมด้วยเสื้อไหมพรมและกางเกง เพื่อทำให้กำแพงของหน้าร้านสามคูหาไม่ว่างเปล่า

ควรมีเสื้อไหมพรมหลายสิบชิ้น กางเกงอีกหลายสิบตัว ก็เป็นเงินราว 2000 หยวนได้!

        รวมเป็นจำนวนเงินเกือบหนึ่งหมื่นหยวน ธุรกิจอิสระจากการนำเข้าสินค้าจากมณฑลอื่นเช่นเธอนี้

หากไม่ใช่หน่วยงานใหญ่โตของประเทศ ดังนั้นเมื่อต้องการสินค้าเท่าไรก็จำต้องจ่ายเงินเท่านั้น [1] —หากเสื้อกันลมกับเสื้อขนเป็ดสามารถขายได้

และรับผลกำไรได้ดั่งที่คาดการณ์

เงินในมือที่สะสมรวมกันก็เพียงพอสำหรับรับสินค้าเข้ามาใหม่ แต่ร้านสามคูหาไม่มีทางตกแต่งเรียบร้อยได้

เวลานี้ยังไม่มีรูปแบบการตกแต่งภายในอะไรให้กล่าวถึงกันด้วย

อาคารของโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามหลังนี้ว่างเว้นไร้การใช้งาน ก่อนเปิดกิจการจะต้องตกแต่งใหม่อีกครั้งอย่างแน่นอน

        ทาสีผนังอย่างเรียบง่าย ปูพื้นให้สม่ำเสมอกัน

ติดไฟดวงใหญ่สักหน่อยก็เสร็จสิ้น?

        เช่นนั้นเธอตั้งแผงลอยแบบเก่าดีกว่า

        ต้องตกแต่งออกมาหรูหราภายใต้เงื่อนไขการประหยัดต้นทุนเท่าที่จะทำได้ ต้องทำให้คนซางตูรู้สึกมีเกียรติจากการซื้อเสื้อผ้าในร้าน

ต้องเพิ่มมูลค่าของเสื้อผ้าจากราคาส่ง 20 หยวนเป็นมากกว่า 50 หยวน… เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ละโมบโลภมาก ธุรกิจก็คือธุรกิจ

สิ่งที่เธอขายนั้นไม่ใช่ข้าวสารน้ำมันหรือพวกของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ

ผู้ที่สามารถจับจ่ายเสื้อผ้าราคาสูงได้ย่อมรับราคานี้ไหว

        วางตัวสินค้าไว้ระดับกลางถึงสูง สินค้าต้นทุน 20 หยวน จะให้ขาย 25 หยวนหรือ?

        หักลบตั๋วรถไปกลับและค่าขนส่งออก ราวกับเธอกำลังทำการกุศลจริงๆ !

        ใจเธอมีต้นแบบการตกแต่งร้านโดยคร่าวๆ แล้ว แค่ไม่รู้สภาพเฉพาะของตัวร้าน

ตกแต่งพื้นฐานต้องใช้เงิน ซื้อไม้แขวนเสื้อใหม่กับสร้างชั้นเก็บสินค้าก็ใช้เงิน

หากได้ร้านมาไว้ในมือ อีกทั้งสามารถเปิดกิจการก่อนปีใหม่ได้ก็ขอบคุณสวรรค์ทีเดียว

        แต่ความเป็นไปได้มากกว่าคือ ก่อนสิ้นปีร้านนี้จะยังไม่ตกถึงมือ

เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าลุงเธอกำลังเพียรพยายามกับรองผู้อำนวยการของโรงงานฝ้ายที่สาม

        รองผู้อำนวยการคนนั้นดูแลการแบ่งสรรที่อยู่อาศัยแก่พนักงานในโรงงาน

โรงงานฝ้ายแห่งชาติเป็นกิจการขนาดใหญ่และมีจำนวนคนมหาศาล เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีอาคารเล็กหนึ่งหลังยังว่างเว้น

โดยปกติควรมีพนักงานอาศัยเต็มจึงจะถูกต้อง แม้โรงงานฝ้ายที่สามจะมีบ้านเอื้ออาทร

แต่ใครจะรังเกียจบ้านเรือนขนาดใหญ่โตโอ่อ่ากัน?

        เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้เพียงตั้งแผงลอยอย่างที่ผ่านมา พลางรอคอยข่าวดีซึ่งส่งมาจากหลิวหย่ง

        ยังดีที่ด้านตระกูลจูไม่ได้สร้างความวุ่นวายแก่เธอ

เธอตั้งแผงราวกับกองโจรที่ยิงปืนหนึ่งนัดแล้วเปลี่ยนกระสุนหนึ่งรอบ [2] นำเข้าสินค้าครั้งที่สามผ่านไปไม่กี่วัน

นอกจากเสื้อกันลมและเสื้อขนเป็ดล้วนขายได้หมดภายในเวลาอันสั้น

        กลางคืนหลิวเฟินพลิกเสื้อผ้าเหล่านั้นกลับไปกลับมา

มักกังวลว่าจะขายไม่ออกอยู่เสมอ!

        เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่ารีบร้อนไปก็ไร้ประโยชน์

ตอนนี้เธอได้แค่รอให้อุณหภูมิลดต่ำลงเท่านั้น

        เท้าหมูที่หลี่เฟิ่งเหมยนำมาจากชนบทถูกนำไปตุ๋นรับประทานจนหมดแล้ว

เซี่ยเสี่ยวหลานยังโหยหารสชาตินั้นไม่น้อย หลิวเฟินยังคงออกไปขายกากน้ำมันเหมือนเดิม

เซี่ยเสี่ยวหลานแบ่งซี่โครงเล็กน้อยมาเคี่ยวในหม้อเอง หลิวเฟินผอมแห้งก็จริง

ทว่ารับประกันได้รับโภชนาการครบถ้วน อีกอย่างผ่านพ้นฤดูกาลที่รังสีอัลตราไวโอเลตรุนแรงไปแล้ว

จึงเหมือนว่าผิวผ่องใสยิ่งขึ้น

        ขณะขี่จักรยาน ลมพัดกระทบใบหน้าจะรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง เซี่ยเสี่ยวหลานสงสารมารดา

จึงตัดสินใจซื้อผ้าพันคอ ถุงมือ และหมวกอบอุ่นรวมชุดสามชิ้นให้ เวลาขี่รถก็ห่อหุ้มหน้าเว้นเพียงส่วนของดวงตา

นอกจากนี้เธอยังซื้อครีมเกล็ดหิมะ [3] ให้หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยอีกด้วย

ตลับขนาดย่อม ถูบนใบหน้าและมือ กลิ่นหอมหวนจนทำให้ทั้งสองคนไม่คุ้นชินเท่าไรนัก

         น้ำมันหอย [4] ราคาถูกออกจะตายไป 

        น้ำมันหอยบรรจุอยู่ในตลับหอยเล็กๆ ราคาเพียงไม่กี่เฟิน หากเป็นตลับใหญ่ราคาไม่เกินหนึ่งเหมา

ขนาดคนทำงานในตัวเมืองที่ภาระทางการเงินค่อนข้างหนักยังซื้อไว้เพื่อถูมือทาหน้าได้

หลี่เฟิ่งเหมยอาศัยอยู่ชนบทก็ใช้เช่นกัน มีแค่หลิวเฟินที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ตอนที่อาศัยบ้านตระกูลเซี่ย

ในมือเธอไร้ซึ่งเงินจับจ่ายใช้สอยส่วนตัวแม้แต่เฟินเดียว น้ำมันหอยสำหรับทามือนั้นคงมีเพียงจางชุ่ยและหวังจินกุ้ยถึงจะมีสิทธิได้รับ

        เมื่อครั้งเซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่ง ‘ฟื้นขึ้นมา’ ความประทับใจแรกเกี่ยวกับหลิวเฟินนอกจากซูบคล้ำแห้งเหี่ยว

ก็คือมือคู่นั้นที่เต็มไปด้วยแผลแตก เมื่อออกจากหมู่บ้านชีจิ่งจึงไม่จำเป็นต้องทำงานเกษตรแล้ว

เซี่ยเสี่ยวหลานเริ่มบำรุงดูแลหลิวเฟินเป็นอย่างดี ใช้น้ำร้อนและสบู่ล้างมือบ่อยครั้ง

ตัดเล็บให้สั้นที่สุด ถูน้ำมันหอยหนาๆ หนึ่งชั้นไว้

จากนั้นค่อยใช้ผ้าขนหนูร้อนห่อหุ้มมือทั้งสองข้าง

        ไอร้อนเปิดรูขุมขน น้ำมันหอยกักเก็บความชุ่มชื้น

ทุกครั้งหลังล้างมือต้องทาน้ำมันหอย ก่อนนอนตอนกลางคืนก็ทาด้วย แล้วสวมถุงมือฝ้ายสะอาดทับขณะนอนหลับ…

ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งเดือน มือทั้งสองข้างของหลิวเฟินก็ฟื้นฟูสภาพดีขึ้นมาก

        อีกทั้งเธอไม่ยอมให้หลิวเฟินแตะน้ำเย็น

ซักผ้าทำอาหารพยายามใช้น้ำร้อนมากที่สุด

        ถ่านเตารังผึ้งราคาไม่เท่าไร วางกาน้ำอะลูมิเนียมไว้ด้านบนก็มีน้ำร้อนใช้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

แน่นอนว่าส่วนใหญ่เซี่ยเสี่ยวหลานจะแย่งงานมาทำเอง แม้ฝีมือทำอาหารจะไม่ดีเด่น

ทำบะหมี่นวดด้วยมือไม่เป็น แต่เธอจะต้มบะหมี่แห้งไม่ได้เชียวหรือ?

        ซื้อมันหมูแข็งคุณภาพดีสักหน่อย หั่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเจียวเป็นน้ำมันหมู

เก็บทั้งน้ำมันและกากหมูไว้ด้วยกันในโถกระเบื้องเคลือบ

เวลาจะรับประทานบะหมี่ก็ใช้ตะเกียบคีบมาจำนวนหนึ่งผสมในชาม

ใส่ซีอิ๊วและต้นหอมเล็กน้อย พอลงน้ำร้อนกลิ่นหอมจึงลอยล่องไปทั่วบ้าน บะหมี่แห้งที่ต้มออกมาเช่นนี้รสชาติไม่เลวร้ายแน่นอน

หากมีหมูชิ้นกึ่งมันกึ่งเนื้อจะนำมาทำเป็นหมูปรุงรสด้วย

เช่นนั้นก็คือบะหมี่แห้งน้ำมันหมูฉบับขั้นสูงแล้ว

        ฝีมือไม่ถึงขั้นย่อมสู้ด้วยวัตดุดิบ

อย่างไรเสียสำหรับหลิวเฟินแล้วเนื้อหมูกินเท่าไรก็ไม่พอ ไม่จำเป็นว่าฝีมือทำอาหารของเซี่ยเสี่ยวหลานต้องยอดเยี่ยมเลย

        เสื้อกันลมและเสื้อขนเป็ดของเซี่ยเสี่ยวหลานขายไม่ได้

วันนี้เธอจึงไม่ตั้งแผง ตั้งใจทบทวนบทเรียนที่บ้าน พอซี่โครงเคี่ยวเสร็จแล้ว

หลิวเฟินก็ขี่จักรยานกลับถึงบ้าน ตะกร้าไม้ไผ่โชยกลิ่นกากน้ำมันอันรุนแรง

         ลูกทำอาหารหรือ? 

        หลิวเฟินได้กลิ่นซี่โครงหมู จอดจักรยานในลานบ้านพลางถามเซี่ยเสี่ยวหลาน

         ย่าอวี๋กลับมาหรือยัง? 

        ย่าอวี๋ไม่สนิทกับสองแม่ลูก ทว่าหลิวเฟินคิดว่าเธอเป็นหญิงชราตัวคนเดียว

ปกติจึงมักใส่ใจเธอเสียหน่อย ไม่ว่าทำอะไรอร่อยรับประทานก็ต้องถามย่าอวี๋

แม้ย่าอวี๋จะไม่รับน้ำใจสักครั้งเดียวก็ตาม

        ย่าอวี๋ทำงานกวาดถนน ป่านนี้ควรจะกลับมาถึงบ้านแล้ว

แต่วันนี้ไม่เห็นตัวเลยจริงๆ พอลองดูละเอียดอีกที

ไม้กวาดของย่าอวี๋ก็วางไว้ที่มุมผนัง ประตูห้องลงกลอนจากด้านในมิใช่จากด้านนอก เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไรกัน? นอกจากเซี่ยเสี่ยวหลานออกไปซื้ออาหารตอนเที่ยงแล้ว เธอก็อ่านหนังสือตลอดทั้งบ่าย

ไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ เลย… ย่าอวี๋ก็อายุมากแล้ว

ตอนนี้จะมัวแต่คิดเล็กคิดน้อยว่าเป็นมิตรฝ่ายเดียวไม่ได้

เซี่ยเสี่ยวหลานตะโกนเรียก ‘ย่าอวี๋’ สองสามหน ในห้องไร้ความเคลื่อนไหว

        เธอเคาะประตูสุดชีวิต ในห้องยังคงไร้ความเคลื่อนไหวอยู่ดี

        หลิวเฟินมองลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้าไป  …บนเตียงมีคนอยู่! 

        ประตูห้องถูกปิดจากด้านในไว้ ความระมัดระวังของย่าอวี๋สูงมาก นอนพักกลางวันแสกๆ

ยังลงกลอนประตู เซี่ยเสี่ยวหลานตะโกนอีกหลายหนก็ไร้วี่แววตอบรับ

จึงใช้เท้าถีบประตูออกให้รู้แล้วรู้รอด

        ถ้าการกระทำขนาดนี้ปลุกคนไม่ตื่น เซี่ยเสี่ยวหลานคาดว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก

เธอเอามืออังที่จมูก ยังมีลมหายใจอยู่… เซี่ยเสี่ยวหลานโล่งใจไปเปราะหนึ่ง

         แม่ พวกเรารีบพาคนไปส่งโรงพยาบาลเถอะ! 

  

เชิงอรรถ

[1]ถ้าหน่วยงานใหญ่จัดซื้อสินค้าจำนวนมากอาจมีราคาพิเศษ

ในที่นี้นางเอกเป็นคนทำธุรกิจทั่วไป จึงจ่ายราคาตามปกติพ

[2]打一枪换一跑 ยิ่งปืนหนึ่งนัดเปลี่ยนกระสุนหนึ่งรอบ หมายถึง ล่องลอยไปเรื่อย

ไร้หลักแหล่ง ไปโน่นมานี่ไม่หยุดหย่อน

[3]雪花膏 ครีมเกล็ดหิมะ คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเนื้อครีมชนิดหนึ่ง ผลิตในเซี่ยงไฮ้

องค์ประกอบหลักคือกรดไขมันเสตียริก เนื่องจากเวลาทาลงบนผิวจะซึมหายไปเหมือนเกล็ดหิมะที่กระทบผิว

จึงเรียกว่าครีมเกล็ดหิมะ มีคุณสมบัติเคลือบผิวเป็นแผ่นฟิล์มบาง

ช่วยปกป้องไม่ให้น้ำในผิวระเหยออก กักเก็บความชุ่มชื้น

[4]蛤蜊油 น้ำมันหอย ไม่ได้หมายถึงเครื่องปรุง แต่เป็นเครื่องบำรุงผิวชนิดหนึ่ง

หลักๆ ทำจากน้ำมันแร่ ปิโตรเลียมเจลลี่ พาราฟิน ขี้ผึ้ง ใช้บำรุงไม่ให้ผิวแห้งแตก

เนื่องจากบรรจุในตลับหอย จึงเรียกว่าน้ำมันหอย

 

 

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เธอคือประธานเซี่ย หญิงผู้แข็งแกร่ง และยังเกิดใหม่เป็น เซี่ยเสี่ยวหลาน หญิงสาวชื่อแซ่เดียวกับเธอที่ฆ่าตัวตายท่ามกลางคำนินทาในยุค 80 เธอมีโอกาสได้เกิดใหม่อีกครั้ง ทำไมต้องมาอยู่อย่างอดสูแบบนี้ด้วยเล่า?!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท