ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ – ตอนที่ 77 เผาให้สิ้นซาก!

ตอนที่ 77 เผาให้สิ้นซาก!

มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก ก่อนจะกล่าวว่า  ข้าก็ไม่ได้บอกว่ามันคือทางออก ก่อนไปเราต้องหาอะไรสนุก ๆ ทำก่อน เพื่อความสะใจอย่างไรล่ะ ในเมื่อโอวหยางเฉียงกล้าทำลายหอหมอปีศาจของข้า ข้าก็กล้าเผาจวนโอวหยางให้วายวอด 

นางหยิบถังน้ำมันขึ้นมา  รีบลงมือเถอะ ตรงนี้ไม่มีใครเฝ้าอยู่ เรารีบลงมือแล้วเราก็รีบเผ่นเลยเป็นอย่างไร ? 

เยวี่ยเจ๋อพยักหน้า เขาลงมือทันที

หลังจากที่ราดน้ำมันจนทั่วแล้ว มู่เฉียนซีก็จุดชนวนไฟและรีบพาเยวี่ยเจ๋อวิ่งไปที่ประตูจวนตระกูลโอวหยาง

 ท่านผู้นำตระกูลมู่ ท่านไม่ได้กลับไปแล้วหรอกหรือ ?  พ่อบ้านจวนโอวหยางเดินเข้ามาถามเมื่อมองเห็นทั้งสอง

 ท่านผู้นำตระกูลโอวหยางใจจืดใจดำยิ่งนักไม่ยอมออกมาส่งข้า จวนโอวหยางกว้างใหญ่เช่นนี้ข้ากับน้องข้าหลงทางอยู่นานกว่าจะหาทางออกมาได้  มู่เฉียนซีกล่าวตอบ แสร้งทำสีหน้าทุกข์ร้อน

นางสะบัดแขนเสื้อก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า  ต่อไปจวนโอวหยาง ข้าจะไม่มาเหยียบอีกแล้ว 

มุมปากพ่อบ้านกระตุกอย่างแรง เขาคิดในใจ ‘เหอะ! ต่อให้เจ้าจะมา ท่านผู้นำของข้าก็ไม่ต้อนรับเจ้าหรอก’

หลังจากที่มู่เฉียนซีและเยวี่ยเจ๋อออกไปจากจวนโอวหยางไม่นานนัก จวนโอวหยางก็วุ่นวายขึ้น ผู้คนแตกตื่นลนลาน

 ไฟไหม้จวน! ไฟไหม้จวนแล้ว!  

 น้ำ! น้ำอยู่ไหนรีบมาช่วยกันดับไฟเร็วเข้า 

เปลวไฟลุกโชนทั่วจวนโอวหยาง เปลวไฟนี้โหมกระหน่ำอย่างมิอาจหาที่เปรียบได้ แม้แต่น้ำก็มิอาจดับไฟนี้ได้

ท้ายที่สุดโอวหยางจูทำได้เพียงเรียกพลังจอมภูตออกมาเพื่อดับไฟ เขาถึงกับเสียพลังไปมาก แต่ถึงกระนั้น จวนโอวหยางก็มอดไหม้ไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง กล่าวได้ว่าจวนโอวหยางได้รับความเสียหายอย่างหนัก

ดูเหมือนว่าตอนนี้ตระกูลโอวหยางไม่เพียงแต่จะอดอยาก ทว่าที่ซุกหัวนอนก็แทบจะไม่มีแล้ว

เมื่อเยวี่ยเจ๋อทราบข่าวไฟไหม้จวนโอวหยาง เขาอุทานออกมาทันที  อนาถ! น่าอนาถใจแท้! 

นี่เยวี่ยเจ๋อซึมซับจากท่านพี่แล้วรึ ?! ยิ่งอยู่ยิ่งมีความสุขกับความทุกข์ของผู้อื่น

 มู่เฉียนซี เจ้าจะเอาอย่างไรกับข้ากันแน่!  ผู้นำตระกูลโอวหยางยืนมองจวนโอวหยางที่พังพินาศและกล่าวด้วยอารมณ์คุกรุ่นโกรธแค้น

ถึงแม้ว่ายังหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ แต่โอวหยางจูมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าเป็นฝีมือของมู่เฉียนซีสตรีโอหังผู้นั้น ทว่าเขากลับหาหลักฐานไม่ได้เลย คิดไม่ถึงว่านางสตรีผู้นั้นจะรอบคอบไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้

โอวหยางจูโกรธจนใบหน้าหม่นคล้ำ ขบคิดในใจ ‘มู่เฉียนซี เจ้าจะอะไรนักหนา!’

……

ซวนหยวนจือในเวลานี้สีหน้าเบิกบานสดใสราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง แม้ฮ่องเต้อย่างเขาจะสูญเสียไปไม่น้อย อีกทั้งยังโดนยั่วยุจนบันดาลโทสะกระอักเลือดไปสามระลอกอย่างอนาถ ทว่าตระกูลโอวหยางในตอนนี้นั้นน่าอนาถกว่าเขาไม่น้อยเลย

ความคิดนี้ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

เพียงแต่ว่า…

ประกายแสงวาบในดวงตาของซวนหยวนจือ ตราบใดที่ตระกูลมู่ยังอยู่ ก็ยังมิอาจวางใจ ตระกูลมู่เปรียบเสมือนหนามยอกอกของราชวงศ์ซวนหยวน!

หึ! ต้องหาทางกำจัดมู่เฉียนซีกับมู่อวู่ซวงออกไปให้เร็วที่สุด และหาทางเอาสมบัติกลับคืนมาให้ได้จึงจะวางใจ

……

หลังจากที่มู่เฉียนซีและเยวี่ยเจ๋อกลับมาถึงจวนตระกูลมู่ ทั้งคู่มองเห็นหน้าประตูจวนเต็มไปด้วยผู้คนมารุมล้อม

 รีบเก็บกวาดใบไม้พวกนี้ให้สะอาด 

 เช็ดกระเบื้องเคลือบให้สะอาดสะอ้านด้วยล่ะ เจ้าน่ะ 

 ดอกไม้ที่ประตูจวน เปลี่ยนให้เรียบร้อยด้วย 

 เดี๋ยวคุณหนูใหญ่ก็จะกลับมาแล้ว หากคุณหนูใหญ่ไม่พอใจ มีหวังพวกเจ้าต้องโดนไล่ออกจากจวน 

มู่เฉียนซีเห็น นึกฉงนสงสัย ถึงแม้ว่าท่านผู้นำตระกูลมู่อย่างนางจะหายไปจากจวนตระกูลมู่เป็นเวลากี่เดือนก็ตาม นางก็ยังไม่เคยเห็นข้ารับใช้เหล่านี้ทำความสะอาดจวนตระกูลมู่เป็นพิเศษเยี่ยงนี้เลย

วันนี้มันวันอะไรกัน ?…

แสงเย็นวาบประกายในดวงตาดำขลับของมู่เฉียนซี

เยวี่ยเจ๋อเดินเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น  คุณหนูใหญ่รึ ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตระกูลมู่มีคุณหนูใหญ่ ใครกัน ? 

จางจั๊วะกล่าวตอบ  นี่เจ้ามาจากตระกูลใดถึงไม่รู้จักคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลมู่ คุณหนูใหญ่ของข้าเป็นถึงสตรีอัจฉริยะอันดับสองในแคว้นจื่อเยี่ยเชียวนะ 

ถึงแม้ว่าช่วงนี้เยวี่ยเจ๋อจะเข้าออกจวนตระกูลมู่บ่อยครั้ง ทว่าข้ารับใช้เหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้ารับใช้ในเรือนฝั่งตะวันตกของท่านผู้เฒ่าทั้งนั้น ข้ารับใช้เหล่านี้จึงไม่รู้จักมักคุ้นใบหน้าของเขา

 คุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลมู่เป็นเทพธิดาบนสวรรค์ที่จุติมาเกิดบนโลกมนุษย์ พวกข้าจะต้องทำความสะอาดจัดแต่งจวนให้สะอาดงามตา มิเช่นนั้นจะดูไม่เหมาะกับคุณหนูใหญ่ของพวกข้า 

ทันใดนั้นน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกดังขึ้น  เหอะ! ในเมื่อคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าไม่เหมาะกับตระกูลมู่ของข้า เช่นนั้นก็ไสหัวออกไปจากจวนของข้าเสียสิ! 

เมื่อข้ารับใช้เหล่านี้เห็นร่างสตรีชุดสีม่วงเจ้าของวาจาเมื่อครู่ พวกเขาก็ดูไม่ออกว่าเป็นใคร ทว่าวาจาของนางที่เอื้อนเอ่ยคำว่าตระกูลมู่ของข้า เหล่าบรรดาข้ารับใช้รู้ทันทีว่านางเป็นใคร

สีหน้าของเหล่าข้ารับใช้ตะลึงอึ้งงันไปตาม ๆ กัน

ถึงแม้ว่าตอนนี้ท่านผู้นำตระกูลเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ทว่าในสายตาพวกเขา นางก็ยังมิอาจเทียบกับคุณหนูใหญ่ เทพธิดาบนสวรรค์ที่จุติมาเกิดบนโลกมนุษย์ของพวกเขาได้

 มีใครอยู่แถวนี้มานี่หน่อยเร็ว ลากตัวข้ารับใช้พวกนี้ออกไปโบยคนละห้าสิบไม้แล้วไล่ออกจากจวนไปให้หมด  มูเฉียนซีกล่าวอย่างเฉยเมย

 ซีเอ๋อร์ เป็นเพราะข้าเองพวกนางจึงได้บังอาจกล่าววาจาเช่นนั้นออกไป หากเจ้าจะลงโทษก็ลงโทษข้าเถิด 

เสียงแข็งแกร่งทว่าแฝงความนุ่มนวล น้ำเสียงดูจะซ่อนเร้นความทุข์ชวนให้คนสงสารดังขึ้น

— กริ๊ง! —

เสียงกระดิ่งลมดังขึ้น รถม้าคันหนึ่งค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาอย่างช้า ๆ

สายลมพัดมาพาให้รู้สึกสดชื่น ม่านสีขาวปลิวไสวตามสายลมทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับเทพธิดากำลังจะปรากฏตัว

ดวงตาของเหล่าบรรดาข้ารับใช้เปล่งประกายขึ้นในทันใด ‘คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว พวกเรามีคนช่วยแล้ว’

ด้วยความใจดีมีเมตตาของคุณหนูใหญ่ พวกนางคงไม่โดนท่านผู้นำตระกูลผู้เหี้ยมโหดลงโทษโบยตีเป็นแน่

มู่เฉียนซีเลิกคิ้วเล็กน้อย นางหันไปมองรถม้าคันนั้น

ม่านของรถม้าถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างสตรีชุดขาวบริสุทธิ์ปรากฏตรงหน้าของทุกคน

สตรีผู้นี้งดงามบริสุทธิ์ผุดผ่อง เส้นผมรวบเข้าด้วยกัน ปักด้วยปิ่นหยกขาวเรียบง่าย ดวงตาสดใส ฟันสีขาวสะอาด อีกทั้งคิ้วโค้งโก่งงอนเป็นธรรมชาติดูสวยงาม

ดวงตาสดใสเปล่งประกายดูไร้เดียงสา ทว่าซ่อนความน่าสงสารอยู่ภายในนั้น กระโปรงยาวเผยให้เห็นรูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้งทรงเสน่ห์ นางดูสง่างามดุจนางฟ้าที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆก็มิปาน

 คุณหนูใหญ่! 

 คารวะคุณหนูใหญ่ 

เมื่อเหล่าบรรดาข้ารับใช้เห็นนาง ราวกับเห็นเทพธิดามาช่วยชีวิต ต่างรีบก้มหัวค้อมตัวทำความเคารพนางกันจ้าละหวั่น

เยวี่ยเจ๋อมองมู่หรูเหยียน กล่าวขึ้นอย่างแปลกใจ  คุณหนูใหญ่อย่างนั้นหรือ ? เจ้าเองหรือที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลมู่ ? 

มู่หรูเหยียนมองดูเยวี่ยเจ๋อที่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์งดงามอย่างละเอียดถี่ถ้วน หน้าตาของบุรุษผู้นี้งดงามดุจดั่งเจ้าชาย อีกทั้งความสามารถของเขาก็ไม่เลวเลย

มู่หรูเหยียนค่อย ๆ จัดแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ จากนั้นก็กล่าวว่า  ข้ามู่หรูเหยียนเคยเจอคุณชาย 

ทันใดนั้นเสียงอันเย็นยะเยือกก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 คุณหนูใหญ่อย่างนั้นรึ ? เหอะ! ตระกูลมู่มีคุณหนูใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? นี่ข้ามีพี่สาวด้วยรึ ?! 

มู่หรูเหยียนเม้มปากเล็กน้อย ดวงตาของนางหลุบต่ำลง ดูชุ่ม ๆ เสมือนมีน้ำตาจาง ๆ คลออยู่ภายในดวงตาคู่นั้น

นางมองมู่เฉียนซีด้วยสายตากล้ำกลืนประหนึ่งเก็บงำความเสียใจไว้นาน นางกล่าวว่า…  ซีเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าเย็นชากับข้าถึงเพียงนี้ ? ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือ ? 

 ดูเหมือนว่าเจ้ายังพอมีสำนึกอยู่บ้างนะ  มู่เฉียนซีมองนางด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

 ทุกคนฟังข้าให้ดี นับตั้งแต่นี้ต่อไปตระกูลมู่ของข้ามีเพียงข้ามู่เฉียนซีเป็นผู้นำตระกูล และท่านอาเล็กของข้า มู่อวู่ซวงเท่านั้น! หากมีแมวมีสุนัขตัวใดเสแสร้งอ้างตัวว่าเป็นญาติพี่น้องข้าอีกละก็ จัดการกับมันผู้นั้นและไสหัวมันออกไปจากจวนตระกูลมู่โดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้น 

เยวี่ยเจ๋อขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า  เกิดมาหลายปีข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย หลานสาวของข้ารับใช้ตระกูลมู่ตั้งตนว่าเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูล 

มู่หรูเหยียนได้ยินวาจาของเยวี่ยเจ๋อ นางรู้สึกกระทบตนเองอย่างรุนแรง จึงตกใจร่นตัวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตานางเบิกกว้าง กัดริมฝีปากล่างด้วยความกล้ำกลืน จากนั้นไม่นาน นางก็กล่าวขึ้น  ข้า… 

 เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกรึ ? 

มู่เฉียนซีจ้องมองมู่หรูเหยียน นัยน์ตาดำขลับดุจน้ำหมึกมีเพียงความเย็นชา

.

 

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

Status: Ongoing

นางคือหมอปีศาจผู้เหี้ยมโหดแต่กลับต้องมาอยู่ในร่างของหญิงอ่อนแอไร้ความสามารถที่ผู้คนพากันรังเกียจ ทว่าหลังทำพันธสัญญากับเทพอสูรโบราณ ฝึกฝนบำเพ็ญเคล็ดวิชาต้านสวรรค์จึงเปล่งประกายเจิดจรัส จนผู้คนต้องหลบตาไปตาม ๆ กัน ทั้งยังครอบครองพิษหลายแขนง ใครที่กล้ามารังแกนาง นับว่ารนหาที่ตาย! โอสถเก้าสรรพคุณน่ะหรือ นั่นมันถั่วเคลือบน้ำตาลไว้ให้สัตว์เลี้ยงแสนน่ารักของนางกินเล่นต่างหากเล่า ปรุงยาเป็นก็ต้องเอาแต่ใจอย่างนี้นี่ล่ะ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท