บุตรอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 36 โยนทิ้ง

ตอนที่ 36 โยนทิ้ง

ตอนที่ 36

โยนทิ้ง

 เกร็งข้อมือเอาไว้ แล้วฟาดสันมือลงไป ไป๋จูเหวินพูดพลางมองซูฮวาที่กำลังสับฝ่ามือลงบนอากาศ จนแล้วจนรอดซูฮวาก็ต้องเลือกวิชาใดวิชาหนึ่งให้ไป๋จูเหวินสอน เพราะนางอ้างออกไปเช่นนั้น และเพราะไป๋จูเหวินถนัดวิชามือเปล่าอยู่แล้ว แถมเรื่องที่นายท่านของนางให้มาสืบก็เป็นเคล็ดลับการใช้ฝ่ามืออีกต่างหาก ทำให้ซูฮวาขอร้องให้ไป๋จูเหวินฝึกวิชามือเปล่าให้ แต่เพราะหมัดเคลื่อนภูผาเป็นวิชาแข็งกร้าว ไม่เหมาะกับสตรีไป๋จูเหวินจึงเลือกวิชาฝ่ามือใบมีดหนึ่งในวิชาของสำนักธารโลหิตขึ้นมาให้ซูฮวาแทน

 แบบนี้นี่เอง ซูฮวาว่าพลางลองขยับตามที่ไป๋จูเหวินสอน แม้จะลำบากใจนิดหน่อยที่ต้องมาฝึกวิชาที่ตนไม่ถนัด แต่หลังจากให้ไป๋จูเหวินช่วยชี้แนะมาหลายวันนางก็พบว่าไป๋จูเหวินสอนได้ดีทีเดียว นอกจากมันจะจำเนื้อหาในตำราได้หมดแล้วยังทำความเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพียงเรียนกับไป๋จูเหวินได้ไม่กี่วันท่าฝ่ามือใบมีดก็บรรลุไปหลายท่า เทียบกับตอนฝึกวิชากระบี่ด้วยตนเองแล้วต่างกันราวกับคนละโลก

 น้องไป๋ ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยฝึกให้ข้านะ ซูฮวาพูดพลางยิ้มออกมา กระบวนท่าฝ่ามือใบมีด 7 กระบวนท่านางสามารถฝึกฝนสำเร็จได้ 4 ท่าใน 5 วันเท่านั้นหากไม่ใช่ความดีความชอบของไป๋จูเหวินแล้วจะเป็นใครกัน ตลอดมาที่นางรับใช้ฮั่วเจียน นางต้องฝึกฝนด้วยตนเองมาตลอดไม่เคยมีคนมาคอยชี้แนะเช่นนี้เลย พอเป็นแบบนี้แล้วนางก็เริ่มดีใจนิดหน่อยที่ฮั่วเจียนส่งนางมา

 ไม่เป็นไร ข้าเองก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน ไป๋จูเหวินยิ้มออกมา หลังจากสอนวิชาให้ซูฮวา ในที่สุดไป๋จูเหวินก็เริ่มเข้าใจวิชาฝ่ามือมากขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ตัวมันเองก็พัฒนาขึ้นแน่ๆ

 จริงสิ พรุ่งนี้เจ้าก็เดินทางแล้วไม่ตื่นเต้นบ้างหรือ? ซูฮวาถามพลางมองใบหน้าของไป๋จูเหวินนิ่ง ศิษย์น้องผู้นี้ดูสุภาพอ่อนโยนไม่เหมือนศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักธารโลหิตเลย ทำให้ซูฮวาที่อยู่ในสำนักมานานรู้สึกแปลกๆเวลามองไป๋จูเหวินเสมอ แต่ก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่ดีนัก

 ก็…จะเรียกตื่นเต้นก็คงไม่ได้ ไป๋จูเหวินว่าพลางนึกถึงการประลองสามสำนักที่กำลังจะเริ่มขึ้น ปกติงานนี้จะจัดขึ้นทุกๆ 5 ปีโดยจะจัดที่สำนักยอดเมฆาที่มีสนามประลองใหญ่โตที่สุด เพียงแต่ไป๋จูเหวินได้ยินมาว่าคราวก่อนพวกเฟิงชิวชนะอย่างขาดลอย ตัวมันเลยไม่มั่นใจว่าจะมีคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจหรือไม่

 คงได้แค่คาดหวังเท่านั้น ไป๋จูเหวินยิ้มพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่ทราบตัวมันเริ่มกลายเป็นคนชื่นชอบการต่อสู้ไปตั่งแต่เมื่อไหร่ แต่เพราะลืมความรู้สึกตอนสู้กับนักล่าอสูรไม่ได้ ไป๋จูเหวินจึงคาดหวังกับการประลองสามสำนักไม่น้อย บางทีอาจจะมีศิษย์ใหม่ของสำนักใดสำนักหนึ่งทำให้ไป๋จูเหวินได้สู้อย่างเต็มที่บ้างก็ได้

 คิกๆ เอาไว้ข้าจะคอยเอาใจช่วยเจ้าที่ข้างสนามก็แล้วกัน ซูฮวายิ้มพลางหัวเราะออกมาเล็กน้อย

 ข้างสนาม? ท่านเองก็ไปด้วยงั้นหรือ ไป๋จูเหวินถามด้วยความประหลาดใจ เพราะคนที่จะไปร่วมงานประลองมีเพียงศิษย์ที่ได้รับการคัดเลือก 10 คนเท่านั้น

 แน่นอนสิ ข้าเป็นสาวใช้ของ… ซูฮวาเงียบลงก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตำแหน่งสาวใช้ของฮั่วเจียนไม่ใช่เรื่องสมควรพูดออกมา แต่ก็เพราะนางเป็นสาวใช้ของฮั่วเจียนนั่นเองนางถึงสามารถเดินทางไปด้วยได้

 ….อะ เอาเป็นว่าข้าได้ไปด้วยก็แล้วกัน ซูฮวาว่าพลางส่ายหัวไปมา เพราะ 5 วันที่ผ่านมาไป๋จูเหวินปฏิบัติกับนางดีมาก ทั้งเป็นสุภาพบุรุษทั้งใจดีกับนางทำให้นางวางใจเวลาอยู่กับมันมาก บางทีก็เผลอพูดอะไรไม่สมควรออกไป

 พรุ่งนี้เจ้าต้องออกเดินทาง อย่าลืมพักผ่อนมากๆล่ะ ข้าไม่กวนเจ้าแล้ว ซูฮวาเห็นว่าข้อแก้ตัวของนางไม่แนบเนียนเท่าไหร่เลยเปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะขอตัวกลับหอวันตกไปก่อน

.

.

ในเช้าวันต่อมา เจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักต่างเป็นผู้นำพาตัวแทนของสำนักธารโลหิตเดินทางเลียบแม่น้ำธารโลหิตลงไปยังเขตของสำนักยอดเมฆา โดยมีอาจารย์ลี่และอาจารย์หยานเป็นตัวแทนเดินทางไปด้วย

ความจริงสำนักธารโลหิต และสำนักยอดเมฆาอยู่ไม่ห่างกันนัก เพียงเดินทางครึ่งวันกว่าๆก็มาถึงแล้ว แต่ด้วยกำลังขาที่แทบไม่ต้องหยุดพักของเหล่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณทำให้สามารถเดินทางมาถึงสำนักยอดเมฆาในช่วงสายได้อย่างไม่ยากเย็น แถมพวกมันยังพากันเดินขึ้นเขาไปยังสำนักยอดเมฆาอย่างไม่หยุดพัก ทำให้ประตูสำนักยอดเมฆาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าในเวลาไม่นาน

 ยินดีต้อนรับท่านเจ้าสำนักธารโลหิต ชายในเครื่องแบบสีฟ้าปนขาวพูดพลางเดินมาหาท่านเจ้าสำนักที่เป็นคนเดินนำมา ยามนี้เจ้าสำนักรองเจ้าสำนักเหล่าคณาจารย์และศิษย์ต่างสวมใส่ชุดของสำนักธารโลหิตทั้งสิ้น พวกมันสวมชุดสีแดงเลือดหมูตัดขอบด้วยสีดำดูหนักแน่น ที่อกมีตราสีดำรูปหยดเลือดซึ่งเป็นเครื่องแบบประจำสำนักธารโหลิตที่ไม่ค่อยจะมีคนใส่ในสำนักเท่าไหร่ หากไม่ใช่งานสำคัญอย่างงานครบรอบการก่อตั้งสำนักหรือประลองสามสำนักก็แทบจะไม่มีทางเห็นคนของสำนักธารโลหิตใส่เครื่องแบบเลย

 ข้ามาเร็วเกินไป นึกว่าท่านเจ้าสำนักยอดเมฆาจะต้อนรับไม่ทันเสียอีก เจ้าสำนักธารโลหิตพูดพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่เห็นได้ชัดเลยว่าสายตาของท่านกำลังบอกว่าข้าอุตส่าห์มาแต่ไก่โห่ยังจะออกมาต้อนรับทันเสียอีก

 มิได้ มิได้ งานประลองสามสำนักเป็นงานสำคัญ ข้าไม่อาจละเลยการมาเยือนของแขกต่างสำนักได้ เจ้าสำนักยอดเมฆายิ้มรับพลางเชิญคนจากสำนักธารโลหิตเข้าไปในสำนัก แต่รอยยิ้มของมันกลับแอบแฝงอารมขุ่นมัวเอาไว้

ตึง! ทันทีที่ประตูเปิดออก สิ่งแรกที่เห็นคือเหล่าศิษย์สำนักยอดเมฆาจำนวนนับพันคนที่กำลังยืนตั้งแถวต้อนรับเหล่าผู้มาเยือนกันอย่างขยันขันแข็ง 5 ปีหลังจากการประลองครั้งที่แล้วสำนักยอดเมฆาใช้เคล็ดฝึกฝนพลังวิญญาณชนิดใหม่ล่อเหล่าผู้คนมาสมัครเข้าเป็นศิษย์ได้อย่างมหาศาล ภาพลูกศิษย์จำนวนมากที่เห็นตรงหน้าทำเอาเหล่าศิษย์สำนักธารโลหิตต่างอึ้งไปตามๆกันเพราะคราวก่อนพวกมันยังมีศิษย์แค่ราวๆ 500 คนอยู่เลย

 นั่นมัน… ขณะเดินเข้ามาในสำนัก อยู่ๆชายคนหนึ่งก็อุทานขึ้นมา มันมองมาทางไป๋จูเหวินและพวกต้าชิงต้าเฉินด้วยท่าทีตื่นตะลึง

 มีอะไร ชายอีกคนหนึ่งถามด้วยท่าทีนิ่งเฉย ตัวมันอยู่ในเครื่องแบบของอาจารย์ประจำสักนักยอดเมฆา เท่านี้ก็เดาฐานะมันได้ไม่ยาก

  3 คนที่อยู่ด้านหลังนั่นเป็นคนที่ศิษย์พี่ปิงเฉิงไล่กลับไปเมื่อราวๆ 2 เดือนก่อน ชายผู้อุทานออกมาพูด แท้จริงแล้วมันคือคนที่พาไป๋จูเหวินและต้าชิงต้าเฉินเข้าห้องทดสอบนั่นเอง และมันยังเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ที่ปิงเฉิงไล่พวกต้าชิงต้าเฉินออกไปด้วย

 ปิงเฉิงไล่กลับไปงั้นเหรอ.. ชายอีกคนพูดพลางขมวดคิ้ว เด็กหนุ่มที่ดูอายุน้อยที่สุดอยู่ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 8 ส่วนอีกสองคนที่เดินตามาต่างอยู่ขั้นที่ 7 คนเช่นนี้มาสมัครเข้าสำนักเหตุใดปิงเฉิงถึงไล่พวกมันไป?

 ขอรับอาจารย์ ศิษย์พี่เหมือนจะมีความแค้นบางอย่างกับสองคนด้านหลัง ทั้งๆที่พวกมันอยู่ระดับ ก่อกำเนิดขั้น 3 แท้ๆ ชายร่างสูงว่าพลางถอนหายใจออกมา วันนั้นมันเสียดายต้าชิงและต้าเฉินอย่างมากเลยจำหน้าได้เป็นอย่างดี ไม่คิดว่าในอีก 2 เดือนต่อมาพวกมันจะสามารถเข้ามาเป็นตัวแทนของสำนักธารโลหิตได้แถมตอนนี้ตัวมันยังไม่สามารถวัดพลังของทั้ง 3 คนได้แล้วเสียด้วย

 เจ้าบอกว่าตอนนั้นพวกมันอยู่ขั้น 3 อย่างนั้นหรือ อาจารย์ของสำนักยอดเมฆาขมวดคิ้ว มันบอกว่าเมื่อ 2 เดือนก่อนปิงเฉิงไล่ทั้ง 3 คนไปงั้นหรือ แถมในตอนนั้น 2 คนด้านหลังยังอยู่ระดับก่อกำเนิดขั้น 3 เท่านั้น นั่นหมายความว่าพวกมันใช้เวลาเพียง 2 เดือนในการเลื่อนจากขั้น 3 เป็นขั้น 7 นับว่าเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากนัก

 แล้วเจ้าเด็กที่อยู่ด้านหน้าล่ะ อาจารย์ของสำนักยอดเมฆาถาม

 เด็กคนนั้น…ในวันที่มันมาสมัครข้าสัมผัสพลังวิญญาณของมันไม่ได้ขอรับ แต่ศิษย์พี่ปิงเฉิงก็ให้มันผ่านการทดสอบ คาดว่าคงสามารถฝึกฝนได้ ชายร่างสูงตอบตามที่ตนจำได้

 เมื่อ 2 เดือนก่อนมันไม่มีพลังวิญญาณ… คราวนี้แม้แต่อาจารย์ของสำนักยอดเมฆายังอ้าปากค้าง เลื่อนขึ้นมา 8 ขั้นใน 2 เดือน เช่นนั้นไม่เท่ากับปิงเฉิงโยนเพชรล้ำค่าทิ้งไปงั้นหรือ

 ไม่สิ เจ้าบอกว่าปิงเฉิงให้มันสอบผ่าน แล้วทำไมมันถึงไม่อยู่ในสำนักล่ะ อาจารย์ของสำนักยอดเมฆาถามอีกครั้ง ศิษย์ที่สามารถเลื่อนเป็นระดับก่อกำเนิดขั้น 8 ได้ใน 2 เดือน นี่มันเรื่องโง่เง่าอะไรกันที่โยนอัจฉริยะเช่นนี้ทิ้ง

 เรื่องนั้นเพราะ 2 คนที่ศิษย์พี่ไล่ไปเป็นบ่าวรับใช้ของชายหนุ่มคนนั้น มันเลยไม่เข้าสำนักเพราะบ่าวรับใช้โดนไล่กลับขอรับ ชายร่างสูงรายงานตามเดิม วันนั้นมันเห็นต้าชิงต้าเฉินเรียกไป๋จูเหวินว่านายน้อยมันเลยถือวิสาสะคิดเอาเองว่าพวกมันเป็นบ่าวรับใช้ของไป๋จูเหวิน

 เรื่องบ้าบออะไรกัน อาจารย์ของสำนักยอดเมฆากำหมัดแน่น เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร สำนักยอดเมฆามีบุตรสาวบุตรชายของผู้มีอำนาจมากมายมาเข้าฝึกฝน หากพวกมันสอบผ่านยังสามารถพาบ่าวรับใช้มาด้วยได้แม้ไม่มีพลังวิญญาณ แต่นี่อะไร บ่าวรับใช้ทั้งสองต่างมีพลังวิญญาณระดับ 3 อย่าว่าแต่สามารถสอบผ่านเองยังได้ ต่อให้เข้ามาในฐานะบ่าวรับใช้ยังสามารถกระทำได้เลย งานนี้ปิงเฉิงคงต้องรับบทลงโทษเสียแล้ว

 เจ้าไปบอกปิงเฉิง หลังจากจบการต้อนรับให้ไปหาข้าที่ลานฝึก อาจารย์คนนั้นพูดด้วยสีหน้ามืดดำ แม้สำนักมันจะรับศิษย์มาจำนวนมาก และให้เคล็ดฝึกฝนพลังกับพวกมัน คนที่ทำได้ดีที่สุดก็ยังอยู่แค่ขั้น 3 เท่านั้น โชคดีที่เหล่าศิษย์เก่าที่ได้เรียนรู้เคล็ดฝึกฝนพลังวิญญาณชนิดใหม่จนพลังวิญญาณก้าวหน้าไปหลายขั้น ไม่งั้นพวกมันคงได้อับอาบแน่ๆที่สำนักธารโลหิตมีผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่สามารถฝึกได้รวดเร็วกว่า

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 36 โยนทิ้ง

 

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล

Status: Ongoing

ตุบ! เสียงบางอย่างตกลงมาจากที่สูงทำเอาภายใต้ช่องเขาแห่งนี้เกิดเสียงสะท้อนเลื่อนลั่นไปรอบบริเวณ แต่ถึงจะสร้างเสียงดังเพียงใดก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนอยู่บริเวณนี้ทั้งสิ้น

วูบ… ร่างสีขาวหมดจดร่างหนึ่งปรากฏยังตำแหน่งที่เสียงดังนั้นปรากฏ แม้จะไม่มีมนุษย์แต่สถานที่แห่งนี้กลับเป็นถิ่นที่อยู่ของอสูรตนหนึ่ง มันมีเรือนร่างแปลกพิสดาร ทั่วร่างเป็นสีขาวหม่นหมองทั้งร่าง รูปร่างของมันจะว่าเหมือนแมงมุมหรือก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเหมือนมังกรหรือก็ไม่ชัดเจน ทุกคนต่างเรียกขานมันว่าฝันร้ายสีขาว มันเป็นตัวตนที่สร้างความหวาดกลัวให้ทั้งมนุษย์และอสูรด้วยกัน

แกร๊ก ทันทีที่ขาหนึ่งของมันก้าวมาถึงตำแหน่งเสียง ดวงตาทั้ง 8 ของมันก็จดจ้องไปยังร่างของเด็กชายที่ตกลงมาจากหน้าผาด้วยท่าทีประหลาดใจ เหตุใดมนุษย์ถึงไม่ตายหลังจากตกลงมาลึกขนาดนี้ ที่ๆมันอาศัยอยู่ถูกเรียกว่าผาไร้ก้น เพราะหากมองจากด้านบนจะไม่สามารถเห็นก้นเหวได้เลย แม้แต่มองจากก้นผาก็แทบจะเห็นท้องฟ้าเป็นเส้นด้ายเส้นบางๆเท่านั้น เพราะก้นผาแห่งนี้อยู่ลึกอย่างมาก

ขณะสงสัยอยู่ๆอสูรที่มีร่างกายสีขาวก็เริ่มอ้าปากของมันออกช้าๆ เขี้ยวราวกับแมงมุมของมันอ้าออกเผยให้เห็นปากอันกว้างใหญ่ที่หากจะกินเด็กชายตรงหน้าคงกระทำได้ด้วยการกลืนมันทั้งตัวในคำเดียวเท่านั้น แต่ขณะจะกินเด็กชายลงไปทั้งตัว ปากของมันพลันหยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆหุบกลับเช่นเดิม ดวงตาของมันเพ่งมองเด็กชายที่นอนสลบอยู่บนพื้นด้วยท่าทีนิ่งเฉย ร่างของมันแตกหักยับเยินราวกับตุ๊กตาดินที่ถูกบี้เละเทะ แขนขางองุ้ม ลำตัวแดงบ้างม่วงบ้าง แต่มันกลับยังหายใจอยู่ ด้วยร่างกายที่ยับเยินเช่นนี้มันกลับสามารถประคองชีวิตของมันเอาไว้ได้

 หรือจะเป็นโชคชะตากัน.. อสูรแมงมุมพูดออกมาพลางมองใบหน้าของเด็กชาย ทำไมมันถึงตกลงมาในที่แห่งนี้ได้ ทำไมมันถึงไม่ตาย แล้วทำไมมันถึงไม่คิดจะกินมันกัน…..

แม้แต่ตัวมันยังไม่สามารถหาคำตอบออกมาได้ . . . .

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท