ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) – ตอนที่ 7 หาหมอ

ตอนที่ 7 หาหมอ

ภาพวาด ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ของหลี่ถังในราชวงศ์ก่อนเป็นภาพที่มีชื่อเสียง นับเป็นวัตถุเก่าแก่

ราคาสองร้อยตำลึงนี้ นับว่าไม่แพง

อีกทั้งอวี้เหวินยังชื่นชอบมากเป็นพิเศษ ดูท่าหลู่ซิ่นตอนนี้ก็กำลังลำบาก ในฐานะสหายของหลู่ซิ่น ด้วยน้ำใจหรือเหตุผลของอวี้เหวินก็ดี สมควรจะซื้อภาพนี้เอาไว้

ทว่าสองวันนี้ อวี้ถังเพิ่งจะคำนวณบัญชีให้เขาดู

ถ้าหากว่าซื้อภาพนี้ไว้ก็จะไม่เหลือเงินซื้อยาให้ภรรยาแล้ว

ความโปรดปรานของเขาไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด อาการป่วยของภรรยาต่างหากที่มาเป็นอันดับแรก

อวี้เหวินแม้จะมีนิสัยอ่อนโยน จัดการเรื่องราวโดยละมุนละม่อม แต่ใครมีน้ำหนักมากน้อยกว่ากันนั้นกลับแยกแยะได้ชัดเจน

 พี่หลู่  ดวงหน้าเขาขึ้นสีแดงเรื่อ  เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า เจ้าก็น่าจะรู้ ร้านค้าของสกุลข้าถูกไฟไหม้ไปแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีเงินมากเพียงนั้นหรอก…  พูดไป ก็เดินไปหยิบภาพวาดนั้นมาคืนให้หลู่ซิ่น  เจ้าลองถามผู้อื่นดูว่ามีใครชมชอบภาพนี้หรือไม่… 

หลู่ซิ่นไม่เชื่อ กล่าวว่า  สกุลเจ้าแต่เดิมก็มีทรัพย์ ทั้งหาได้มีภาระอะไร เงินแค่สองร้อยตำลึงมีหรือจะจ่ายไม่ไหว? 

อวี้เหวินรู้สึกอับอายกว่าเก่า เอ่ยว่า  ยังต้องเก็บเงินไว้ให้นายหญิงที่เรือนข้ารักษาตัวอีก 

หลู่ซิ่นไม่พอใจ

ไม่ว่าอย่างไรอวี้เหวินก็ไม่ยอมอ่อนข้อ เพียงพูดออกไปตรงๆ  เป็นข้าที่ทำผิดต่อพี่หลู่ 

หลู่ซิ่นยังตามกัดไม่ปล่อย  ใช่ว่าเจ้ายังมีที่นาชั้นดีอีกหนึ่งร้อยหมู่หรือ? 

หลินอันมากด้วยภูเขา น้อยด้วยที่นา หากเป็นเขตพื้นที่อื่น ที่นาหนึ่งร้อยหมู่ขายได้ประมาณห้าถึงหกร้อยตำลึง แต่ที่หลินอัน อาจขายได้ถึงหนึ่งพันตำลึงเป็นอย่างต่ำ

อวี้เหวินงึมงำตอบไปว่า  ค่ารักษาภรรยาข้าเดิมก็ไม่ค่อยจะพออยู่แล้ว กลัวว่าถึงตอนนั้นคงต้องขายที่ขายทาง ข้าไม่อาจยอมให้การรักษาของนางต้องติดขัดเพราะมีข้าเป็นต้นเหตุ 

หลู่ซิ่นคิดจะเปิดปากพูดต่อ ทว่าอวี้ถังที่เพิ่งรู้ข่าวแล้วรีบบึ่งตามมา พลันเมื่อมาถึงก็ผลักประตูเข้ามาพอดี นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มแฉล้มว่า  ท่านลุงหลู่หากว่าขัดสนร้อนเงิน ไม่สู้เอาภาพนี้ไปจำนำชั่วคราวก่อน รอให้การเงินในมือใช้จ่ายคล่องแล้ว ค่อยไปไถ่กลับมาก็ไม่สาย โรงจำนำสกุลเผยนับว่าเที่ยงธรรมโดยแท้ 

ชาติก่อน นางเคยเอาสิ่งของไปจำนำ แม้ราคาจะถูกกดจนต่ำ แต่เทียบกับโรงจำนำอื่นๆ แล้ว กลับนับว่าไม่เลวร้ายเลยทีเดียว

หลู่ซิ่นรู้สึกเสียหน้า ใบหน้าจึงเปลี่ยนสีทันใด เอ่ยปากกับอวี้เหวินว่า  แม้สกุลอวี้จะเป็นแค่สกุลพ่อค้า แต่ในสกุลยังพอมีบัณฑิตอย่างเจ้าอยู่คนหนึ่ง เป็นสาวเป็นนาง ควรจะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนฝึกวิชาเย็บปักถักร้อยให้มากหน่อยจึงจะเข้าที! 

อวี้เหวินเริ่มเหงื่อตก

อวี้ถังกลับแสยะยิ้มในใจ เบิกตารูปผลซิ่ง [1] ทั้งสองข้างจนโต แสร้งทำทีเป็นไร้เดียงสาแล้วเอ่ยว่า  วาจานี้ของท่านลุงหลู่เอ่ยได้ผิดถนัด ข้ายังช่วยท่านพ่อวิ่งเอาของไปจำนำอยู่บ่อยๆ เลยนะเจ้าคะ 

อวี้เหวินพลันชะงักคำที่กำลังจะเอ่ยออกไปทันที

เขามองออกว่าบุตรสาวคงกลัวว่าเขาจะให้หลู่ซิ่นหยิบยืมเงิน

เห็นชัดว่านางเป็นกังวลอย่างหนักว่าเขาจะผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับนาง

อวี้เหวินรู้สึกปวดใจ เปลี่ยนใจคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หลู่ซิ่นจะได้ไม่มาตำหนิเขา ว่าไม่ยอมยื่นมือช่วยเหลือเมื่อสหายตกทุกข์ได้ยาก

หลู่ซิ่นก้าวขาฉับๆ จากไปด้วยความโมโห

อวี้ถังสะใจยิ่งนัก นางเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คนสกุลเฉินผู้เป็นมารดาฟัง  ท่านดูสิเจ้าคะ เพื่อท่านแล้ว ท่านพ่อถึงขั้นยอมล่วงเกินท่านลุงหลู่ อีกเดี๋ยวถ้าเจอท่านพ่อ ท่านแม่ต้องปลอบใจท่านพ่อดีๆ นะเจ้าคะ 

คนสกุลเฉินได้ฟังดวงตาสองข้างก็รื้นชื้น กลับห้องไปก็เอ่ยขอบคุณอวี้เหวิน

เช้าตรู่วันที่สอง อวี้ถังกับมารดาถืออาหารแห้งและกับข้าวง่ายๆ ที่เตรียมไว้ตามอวี้เหวินไปส่งอวี้ป๋อและอวี้หย่วนออกเดินทาง

อวี้ป๋อสั่งกับอวี้เหวินไว้ว่า  เรื่องของร้านค้าเจ้าไม่ต้องทำสิ่งใด รอให้ข้ากลับมาค่อยหารือกัน 

อวี้เหวินพยักหน้ารับหลายที

หลังจากส่งอวี้ป๋อจากไปแล้ว เขายังไปเยี่ยมเยียนเรือนพ่อค้าที่ประสบกับเหตุการณ์ไฟไหม้อีกหลายคนด้วยความเป็นห่วง ตกค่ำกลับมาถึงเรือนก็ถอนหายใจเอ่ยกับภรรยาว่า  ทุกคนต่างก็รอดูท่าทีของสกุลเผย! มีสองครอบครัวคิดจะกลับไปทำนาที่บ้านเก่าแล้วขายพื้นที่ร้านทิ้ง เพียงแต่เวลาแบบนี้ นอกจากสกุลเผยแล้ว ยังมีสกุลใดยินดีจะมารับช่วงต่อ ทั้งไม่รู้เลยว่าปัญหาของสกุลเผยจะสะสางลงเอยได้เมื่อไร 

อวี้ถังสนใจใคร่รู้เรื่องของสกุลเผยนัก จึงถามว่า  คนในสกุลเผยแตกคอกันจริงๆ อย่างที่ท่านลุงหลู่เล่าให้ฟังไหมเจ้าคะ? 

 ลุงหลู่ของเจ้าน่าจะพูดจาเกินจริงไปหน่อย  อวี้เหวินตอบ  ครอบครัวสกุลเผยล้วนเป็นบัณฑิต มีวิชา รู้มารยาท แล้วจะทะเลาะกันได้อย่างไร? อย่างมากก็อาจจะพี่น้องโต้เถียงกันสองสามประโยค อีกอย่างท่านผู้เฒ่าเผยก็ยังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายจะสรุปอย่างไร ก็ต้องฟังคำจากท่านผู้เฒ่าเผยอยู่ดี 

กลัวแต่ว่าท่านผู้เฒ่าคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานน่ะสิ

อวี้ถังแอบคิดอยู่ในใจ

หลู่ซิ่นผู้นั้นพลันย้อนกลับมาอีก

นางเริ่มจะรู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว งอแงกับบิดาจะตามไปห้องหนังสือด้วย

ครั้งนี้หลู่ซิ่นไม่ได้มาเสนอขายภาพวาดของเขาแล้ว แต่นำข่าวใหม่มาบอกต่อสกุลอวี้ว่า  หวังไป๋ก็เดินทางมาจากเขาผู่ถัวแล้วเช่นกัน! 

อวี้เหวินทั้งตกใจและยินดี

หลู่ซิ่นอดจะเอ่ยอย่างอิจฉาไม่ได้  ยังคงเป็นสกุลเผยที่เก่งกาจ! เกษียณอายุเร้นกายอะไรกัน แค่เทียบเชิญของสกุลเผยที่ส่งออกไป หวังไป๋ก็กระหืดกระหอบวิ่งมาถึงหลินอันแล้ว 

อวี้เหวินเอ่ยว่า  จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก ท่านผู้เฒ่าเผยเป็นคนดี เมื่อเขาล้มป่วย หมอหลวงหยางก็ดี หมอหลวงหวังก็ดี หากพอช่วยได้ก็คงอยากช่วยกระมัง! 

 เหอะ!  หลู่ซิ่นกลับไม่เห็นด้วย เอ่ยว่า  มีคนจิตใจดีเช่นนั้นเสียที่ไหนเล่า! 

อวี้เหวินยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วน

หลู่ซิ่นพูดต่อว่า  ข้าช่วยเจ้าตระเตรียมไว้หมดแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็ตามข้าไปพบท่านผู้เฒ่าที่จวนสกุลเผย ขอร้องท่านผู้เฒ่าช่วยออกหน้าให้ ให้หมอหลวงหยางไม่ก็หมอหลวงหวังมาตรวจอาการน้องสะใภ้ดูหน่อย 

ไม่ต้องพูดถึงอวี้เหวิน ขนาดอวี้ถัง ยังยินดีแทบบ้ากับเรื่องคาดไม่ถึงนี้

อวี้ถังถึงขั้นรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย

ต่อให้หลู่ซิ่นจะนิสัยไม่ดีอย่างไร แต่เขาก็ปฏิบัติต่อบิดานางอย่างดี อาศัยแค่จุดนี้ ต่อไปหากเขามาเกาะบิดานางดื่มกินอีก นางตั้งใจจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสีย

อวี้เหวินกล่าวขอบคุณหลู่ซิ่นซ้ำไปซ้ำมา เอ่ยว่า  ไม่ว่าอาการป่วยของนายหญิงของข้าจะรักษาได้หรือไม่ เจ้าล้วนเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อข้าเช่นเดียวกัน 

หลู่ซิ่นกลับไม่เกรงใจเลยสักนิด กล่าวว่า  เจ้าก็ไม่ดูเสียบ้างว่าพวกเรานับเป็นสหายสนิทเพียงใด เรื่องของเจ้า ข้าล้วนจำใส่ใจไว้แล้ว เพียงแต่ความสามารถข้ามีอย่างจำกัด ช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่ได้มาก 

 วาจานี้เจ้าพูดห่างเหินเกินไปแล้ว!  อวี้เหวินกับหลู่ซิ่นแลกเปลี่ยนวาจาเกรงอกเกรงใจกันสองสามคำ จากนั้นก็เรียกอาเสาไปสั่งอาหารที่หอสุรามาโต๊ะหนึ่ง แล้วสั่งป้าเฉินให้ไปซื้อสุรากลับมา

 ซื้อสุราดีมาเลยนะ!  อวี้ถังยิ้มแฉ่ง ควักเงินเก็บของตนเองให้ป้าเฉินไปหนึ่งตำลึง  ท่านลุงหลู่นับว่าช่วยเราครั้งใหญ่เลย 

ป้าเฉินหัวเราะเหอะๆ แล้วจากไป

คืนนั้นหลู่ซิ่นก็ดื่มสุราจนเมาพับที่เรือนสกุลอวี้อีกครั้ง ยังดีที่เขาไม่ลืมเรื่องที่ต้องไปจวนสกุลเผยกับอวี้เหวิน จึงลุกจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากล้างหน้าล้างตา ก็กินบะหมี่ผัดแห้งไปถ้วยหนึ่ง ดื่มน้ำเต้าหู้ไปสองชาม แล้วออกจากเรือนไปพร้อมกับอวี้เหวิน

อวี้ถังรออยู่ที่เรือนด้วยความกระวนกระวาย

ช่วงบ่าย หลู่ซิ่นกับอวี้เหวินสะพายล่วมยาแยกกันมาคนละใบ ก่อนจะเชิญบุรุษแปลกหน้าสองคนผ่านประตูใหญ่เข้ามาด้วยความระมัดระวังและกระตือรือร้น ผู้ที่เดินอยู่ข้างอวี้เหวินมีรูปร่างสูงกว่าเล็กน้อย ผมเคราขาวโพลน มองดูแล้วน่าจะอายุหกสิบเป็นอย่างน้อย ท่าทางมีกำลังวังชา สีหน้าเคร่งขรึม ส่วนผู้ที่เดินอยู่ข้างหลู่ซิ่นนั้นหน้าขาวไร้เครา ค่อนข้างอ้วนท้วม ยิ้มจนตาหยี หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทำให้คนรู้สึกน่าเข้าใกล้

อวี้เหวินถลึงตาใส่อวี้ถังทีหนึ่ง บอกใบ้ให้นางหลบไปที่อื่นก่อน

อวี้ถังกลับไปที่ห้องของตนเอง แต่ก็ส่งซวงเถาไปแอบฟังข่าวอย่างไม่วางใจ

ซวงเถาหายไปเกือบหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงได้กลับมา ตอนที่มาถึงดวงตาหัวคิ้วล้วนเต็มไปด้วยความยินดี ทำให้อวี้ถังเกิดความหวังอันไร้ขีดจำกัด

 คุณหนูใหญ่  ซวงเถาไม่ทำให้อวี้ถังผิดหวัง เปิดปากก็มีแต่เรื่องดีๆ ออกมาทั้งสิ้น  ท่านผู้เฒ่าเผยช่างเป็นคนมีเมตตายิ่ง อาการป่วยของตนยังรักษาไม่หาย แต่ก็ให้ท่านหมอมาตรวจอาการนายหญิงที่เรือนเราก่อน อีกทั้งยังส่งท่านหมอมาถึงสองท่าน…หมอหลวงหยางกับหมอหลวงหวังล้วนมากันครบ หมอหลวงสองท่านจับชีพจรให้นายหญิงแล้ว บอกว่าเป็นโรคเก่าที่เรื้อรังมาแต่ตอนที่คลอด ขอเพียงไม่ออกแรงให้เหนื่อยจนเกินไป ไม่โมโหเดือดดาล รักษาตัวให้ดีเป็นใช้ได้แล้ว หากให้ดื่มยาทุกวันๆ กลับมิใช่เรื่องดีอะไร หมอหลวงหวังยังเขียนใบเทียบยาให้นายหญิงด้วย บอกว่าต้องทำเป็นยาลูกกลอน กินวันละหนึ่งเม็ด เช่นนี้จะอยู่รอป้อนข้าวให้หลานก็ไม่มีปัญหา นายท่านดีใจยิ่งกว่าอะไรดี ถึงขนาดลั่นวาจาว่าจะตั้งป้ายสรรเสริญให้หมอหลวงทั้งสองเลยเจ้าค่ะ 

คิดไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าสกุลเผยจะส่งหมอหลวงมาให้ถึงสองคน

 อามิตตาพุทธ!  อวี้ถังอดจะพนมมือแล้วสวดมนต์ออกมาคำหนึ่งไม่ได้ ในใจรู้สึกขอบคุณสกุลเผยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ไม่ว่าสกุลเผยจะเป็นเช่นไร แต่ท่านผู้เฒ่าเผยช่วยชีวิตมารดาของนางไว้ ช่วยเหลือสกุลอวี้ของพวกนางไว้ นี่คือเรื่องจริงแท้

อวี้ถังนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่วันท่านผู้เฒ่าเผยก็ต้องหมดลม ในใจพลันรู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันที

นางต้องส่งสารบอกคนของสกุลเผยหรือไม่ หรือว่าต้องเอ่ยเตือนไว้ล่วงหน้า?

เช่นนี้ ไม่แน่ว่าท่านผู้เฒ่าเผยอาจจะเอาชีวิตรอดจากคราวเคราะห์นี้ไปได้

แต่จะส่งสารหรือเอ่ยเตือนสกุลเผยอย่างไรจึงจะไม่ให้นางถูกกล่าวหาว่าเสียสติ สมองของอวี้ถังตีกันวุ่น เมื่อคิดอะไรไม่ออก ก็ได้แต่ทำตามที่หัวใจเรียกร้อง นางเดินไปทางห้องหนังสือของอวี้เหวิน เห็นว่าอวี้เหวินกำลังยืนส่งหลู่ซิ่นกับหมอหลวงสองท่านอยู่หน้าประตูพอดี

 เรือนเจ้ายังมีคนป่วย ไม่ต้องมากพิธีนักหรอก  ผู้ที่ตัวท้วมหน้าตาใจดีเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี  ท่านผู้เฒ่าเผยทางนั้น ยังรอให้พวกข้ากลับไปส่งข่าวน่ะ! 

อีกท่านที่เคราผมขาวโพลนกลับพยักหน้าให้อวี้เหวินด้วยท่าทีเย็นชา เอ่ยว่า  พวกเรามาถึงที่นี่ ก็เพราะเห็นแก่หน้าท่านผู้เฒ่าเผย เจ้าอยากจะขอบคุณ ก็ไปขอบคุณท่านผู้เฒ่าเถอะ 

อวี้เหวินกล่าวตอบด้วยท่าทีนอบน้อมถ่อมตนว่า  สำหรับท่านผู้เฒ่านั้น อย่างไรข้าต้องไปโขกศีรษะคารวะแน่ขอรับ แต่หมอเทวดาอย่างสองท่านข้าก็ต้องขอบพระคุณด้วยเช่นกัน 

แค่พูดจาไม่กี่คำ ท่านหมอที่ผมเคราขาวโพลนผู้นั้นก็เริ่มเผยสีหน้าหมดความอดทน

หลู่ซิ่นรีบตัดบทว่า  ฮุ่ยหลี่ เจ้าอยู่เรือนดูแลน้องสะใภ้เถอะ ข้าจะไปส่งท่านหมอทั้งสองกลับจวนสกุลเผยแทนเจ้าเอง 

อวี้เหวินได้แต่รับปาก แอบยัดเงินก้อนน้อยให้หลู่ซิ่นหลายก้อน ถึงได้ส่งทั้งสามคนออกประตูไป

อวี้ถังรีบปรี่เข้าไปหาทันที ถามบิดาว่า  ท่านแม่มีทางรอดแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านพ่อไปขอร้องท่านผู้เฒ่าเผยว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ? 

อวี้เหวินหัวเราะแล้วตอบว่า  ต้องขอบใจท่านลุงหลู่ของเจ้า เขาพูดจนพ่อบ้านใหญ่ยอมไปแจ้งข่าวแก่ท่านผู้เฒ่าเผย ท่านผู้เฒ่าเป็นคนดีมีเมตตา จึงสั่งให้ท่านหมอทั้งสองมาตรวจอาการให้มารดาเจ้าทันที ข้ายังไม่ทันได้พบหน้าท่านผู้เฒ่าเลยด้วยซ้ำ  พูดถึงตรงนี้ เขาก็ลูบผมที่ดำขลับดั่งขนกาของนาง  บุญคุณครั้งนี้ เจ้าต้องจำใส่ใจไว้ให้ดีล่ะ! 

อวี้ถังส่งเสียงรับทราบ เอ่ยถามถึงอาการป่วยของท่านผู้เฒ่าเผยบ้าง  รู้หรือไม่เจ้าคะว่าไม่สบายที่ตรงไหน? 

อวี้เหวินตอบว่า  ได้ยินว่าเป็นเพราะกลัดกลุ้มเกินไป อาจเพราะคนผมขาวต้องส่งคนผมดำ คงยังทำใจไม่ได้ 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชาติก่อนเหตุใดจึงเสียชีวิตเล่า?

คงไม่ใช่เพราะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอีกกระมัง?

อวี้ถังนึกถึงเรื่องแก่งแย่งตำแหน่งผู้นำสกุลที่หลู่ซิ่นเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ ในใจก็ยิ่งไม่สงบ แต่นางไม่มีสิ่งใดเพื่อไปหยุดยั้งเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อน

นางควรทำเช่นไรดี?

ตอนที่อวี้ถังกำลังหมดอาลัยอยู่นั่นเอง นางพลันพบว่าท่านพ่อทำเหมือนกับชาติที่แล้วไม่มีผิด เขาขายที่นาชั้นดีซึ่งเป็นมรดกจากบรรพบุรุษไปแล้วยี่สิบหมู่

 ท่านจะเอาเงินพวกนี้ไปทำอะไรหรือเจ้าคะ?  เรื่องของท่านผู้เฒ่าเผยยังคิดหาหนทางไม่ออก บิดานางก็ก่อเรื่องอีกแล้ว นางอดจะรู้สึกขุ่นเคืองไม่ได้ จึงพูดออกไปอย่างไม่ค่อยเกรงใจนัก  ข้าพูดกี่รอบต่อกี่รอบแล้ว มิให้ท่านขายที่นาของสกุลตามอำเภอใจมิใช่หรือ? ตอนนี้อาการป่วยของท่านแม่เพิ่งจะพอมีลู่ทาง ร้านค้าของสกุลก็ยังไม่มีรายรับเข้ามา ต่อให้ต้องขายที่นาออกไป ก็ต้องค่อยๆ แบ่งขายเพื่อซื้อยามาให้ท่านแม่กิน! 

ใบเทียบยาที่หยางโต่วซิงเขียนให้มีโสมเป็นองค์ประกอบ นับเดือนสะสมปี สำหรับสกุลอวี้แล้วถือว่าเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่เลยทีเดียว

————————————————————-

[1] ผลซิ่ง คือ แอปปริคอท

Related

 

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇)

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇)

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ดราม่า ผลงานใหม่จาก ‘จือจือ’ แนวชิงไหวชิงพริบแวดวงค้าขาย และรักต่างชนชั้นน่าลุ้น! ‘อวี้ถัง’ บุตรสาวคนโตของตระกูลพ่อค้า ลืมตาตื่นขึ้นมาในวันที่กิจการครอบครัวถูกไฟไหม้วอดวาย วันนั้น…คือห้วงเวลาก่อนที่ตัวนางต้องแต่งงานเข้าสกุลหลี่เพื่อพยุงกิจการครอบครัว แล้วกลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว และถึงคราวพบจุดจบแสนอาภัพ เมื่อโชคชะตาไม่ใจร้าย ส่งให้นางย้อนกลับมาแก้ไขเรื่องราวก่อนจะสายเกินไป นางจึงต้องทำทุกทาง แม้กระทั่งไปพัวพันกับคนสกุลเผยที่สถานะสูงศักดิ์เหนือผู้ใด เพื่อกอบกู้ฐานะทางการเงิน เพื่อรักษาครอบครัวให้ยังอยู่พร้อมหน้า ทักษะทางการค้า ไหวพริบ เล่ห์กลจึงต้องมี ทว่า ‘เผยเยี่ยน’ นายท่านสามแห่งสกุลเผย ผู้ที่ครั้งก่อนไม่เคยอยู่ในสายตากลับปรากฏตัวให้นางเห็นอยู่ร่ำไป นอกจากชะตาครั้งใหม่ เห็นทีเรื่องหัวใจอาจเป็นฤดูกาลใหม่เช่นกัน ฤดูใหม่นี้… หญิงสาวไร้เดียงสาดั่งบุปผากลีบบาง จะเปลี่ยนเป็นบุปผางามที่แข็งแกร่ง นี่คือ ห้วงเวลาของบุปผาที่กำลังผลิบาน บนย่านการค้าแห่งนี้ที่แข่งกันเร่าร้อนดั่งฟอนไฟ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท