สำหรับเฉินฝู สำหรับหลี่เจ๋อ และสำหรับคนมากมายแล้ว ลุงจงเป็นบุคคลสำคัญที่เก่งมาก
แต่สำหรับเฉินอีแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเก่งขนาดไหน แต่เขาก็เป็นแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น
ถึงคนแซ่อื่นจะเก่งขนาดไหน มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา สิ่งที่เฉินอีต้องการคือครอบครองอำนาจของตระกูลเฉินอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่น ลูกพี่ลูกน้องหลายคนของผม ถ้าคราวนี้พวกเขาเหล่านั้นมาเอง ผมจะยินดีเป็นที่สุด
รอยยิ้มที่หยอกเย้าปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินอี
เขาเริ่มเกมนี้นานแล้ว โดยรอให้อีกฝ่ายติดกับดัก แต่น่าเสียดายคราวนี้คนที่มานั้นเป็นลุงจงที่ไม่อยู่ในระดับ
ถูกต้อง ในสายตาของเขาแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นลุงจงที่อยู่ข้างผู้หญิงคนนั้น ก็ไม่ต่างไปจากเฉินฝู อย่างมากที่สุดเขาก็เป็นได้แค่มดที่มีความสามารถเท่านั้นเอง
ผมเข้าใจแล้ว
หยางเหลียนหลงแสดงให้เห็นว่าตนเองเข้าใจ และถามต่อไปว่า แล้วสมบัติของชาติที่พวกเราจับตา พวกเราจำเป็นต้องค้นหาและส่งกลับหรือไม่?
มีสมบัติของชาติมากมาย ซึ่งบางพิพิธภัณฑ์ที่เห็นแก่ทรัพย์สินเงินทอง จึงนำสมบัติของชาติไปขายในตลาดมืดที่ตระกูลมังกรสร้างขึ้น ตอนนี้คดีของพิพิธภัณฑ์ที่ขโมยสมบัติของชาติไปขายเหล่านั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี
ต้องส่งกลับคืนแน่นอน แม้ว่าเกมนี้มีความสำคัญมาก แต่ก็ไม่สามารถนั่งดูสมบัติเหล่านั้นของประเทศต้าถังถูกส่งไปต่างประเทศได้
เฉินอีไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่ไม่คำนึงถึงสถานการณ์ของประเทศ
แม้ว่าการแก้แค้นจะมีความสำคัญ แต่สมบัติพวกนั้นเป็นของประเทศ และจะต้องไม่ถูกขายออกไปต่างประเทศ
ไม่เห็นหรือว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศต้าถังได้จ่ายเงินไปเท่าไรสำหรับการทวงคืนสมบัติที่สูญหายไปในสงครามเมื่อร้อยปีก่อน
สมบัติเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุโบราณเท่านั้น แต่ยังเป็นมรดกทางจิตวิญญาณของอารยธรรมตะวันออกอีกด้วย!
ดังนั้นเฉินอีจึงหยุดสักครู่และกล่าวว่า คืนนี้ผมจะไปกับคุณ เพราะยังไงผมก็เป็นผู้ซื้อจากตะวันตก และข้างกายจำเป็นต้องมียอดฝีมืออยู่ นอกจากนั้นผมอยากรู้ว่าใครจะกล้าใช้ประโยชน์จากสมบัติแห่งอารยธรรมตะวันออกของผม ซึ่งมันเป็นการรนหาที่ตาย!
ตกลง ผมจะรอการมาเยือนของเจ้าพ่อเฉินด้วยความยินดี!
หยางเหลียนหลงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
หลังจากวางสายแล้ว ฉินปิงหลันที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องถามด้วยความงุนงงว่า เมื่อสักครู่คุณพูดถึงสมบัติอะไร?
ไม่มีอะไร?
เฉินอียิ้ม พยายามเปลี่ยนประเด็น แต่ไม่คิดว่าฉินปิงหลันจะพูดหัวข้อนี้ต่อ
เมื่อพูดถึงสมบัติของชาติและโบราณวัตถุทางวัฒนธรรมแล้ว ตอนนั้นคุณปู่ทิ้งจี้หยกไว้ให้ฉัน แต่เมื่อสองปีก่อนผู้หญิงจากตระกูลหลินคนนั้นเอาไป จนถึงตอนนี้ยังสาบสูญไร้ร่องรอย
ขณะที่กล่าวนั้นเธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เฉินอีเลิกคิ้วและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า สามารถเอามันกลับคืนมาได้แน่นอน
ช่างมันเถอะ ไม่ว่าตระกูลหลินจะตกอับหรือไม่ ก็ไม่สามารถเอาจี้หยกของฉันกลับคืนมาได้แล้ว เพียงแต่นั่นเป็นของที่ระลึกชิ้นสุดท้ายที่คุณปู่ทิ้งไว้ เฮ้อ…
ฉินปิงหลันโศกเศร้าจนเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่ยังดีที่เธอเป็นคนเข้มแข็ง
เฉินอีขมวดคิ้วอีกครั้งและกล่าวว่า ผมมีธุระจะต้องออกไปข้างนอก
เขาติดต่อหลินเจิ้นหู่อย่างรวดเร็ว
คุณคือ……
หลินเจิ้นหู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ผมคือเฉินอี คุณอยู่ที่ไหน?
โอ้!
หลินเจิ้นหู่กำลังแบกอิฐที่ไซต์งานก่อสร้าง ไม่มีภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามดังเช่นเมื่อก่อน
เมื่อเขาเห็นเฉินอี เขารีบเดินไปข้างหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า เจ้าพ่อเฉิน
อึม
เฉินอีพยักหน้าเล็กน้อย และมองไปรอบ ๆ คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในไซต์งานก่อสร้างนี้ เป็นคนของตระกูลหลินและคนตระกูลอื่นที่เคยก่อกรรมทำชั่วไว้ และได้รับคำสั่งจากเฉินอีให้ยึดทรัพย์สินของคนร่ำรวยพวกนี้
ไม่ว่าเมื่อก่อนพวกเขาจะถูกเลี้ยงมาเหมือนไข่ในหินเพียงใด แต่ขณะนี้สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญคือดินสีเหลือง
ผมถามคุณประโยคหนึ่ง คุณรู้หรือไม่ว่าหลานสาวของคุณมีจี้หยกชิ้นหนึ่งซึ่งแย่งชิงมาจากภรรยาของผม
เฉินอีถาม แต่เขายังคงสังเกตคนรวยที่ตกอับอย่างตระกูลหลินและคนตระกูลอื่น
เรื่องนี่!
ทันใดนั้นหัวใจของหลินเจิ้นหู่ก็กระตุก
เขารีบโทรถามหลานสาวของตนเอง ผู้หญิงคนนั้นที่เมื่อก่อนนั้นหยิ่งยโส ตอนนี้เธอทำงานอยู่ในร้านสะดวกซื้อของตระกูลหลิน
เจ้าพ่อเฉินหลานสาวของผมบอกว่า เมื่อปีที่แล้วเธอได้มอบจี้หยกชิ้นนั้นให้คนอื่นไปแล้ว
หลังจากวางสายแล้ว สีหน้าของหลินเจิ้นหู่นั้นขาวซีดเผือด
นี่มันเป็นการหาเรื่องใส่ตัว
ถ้าไม่ใช่เพราะจี้หยกชิ้นนั้นสำคัญกับเฉินอีและคุณนายเฉินแล้ว เฉินอีจะมาสถานที่นี่ด้วยตนเองได้อย่างไร
หรือว่าตระกูลหลินจะต้องเจอวิบากกรรมอีกครั้ง?
ทันใดนั้นเขาอยากจะคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อขอโทษ แต่ถูกเฉินอีขวางไว้
คุณไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น พวกคุณถูกลงโทษมาพอแล้ว แล้วเธอมอบจี้หยกนั้นให้กับใคร?
คือ คือคนดังอันดับหนึ่งของเมืองฉือ หลานสาวของท่านผู่
อ้อ?
เฉินอีผงะอยู่ครู่หนึ่ง
เขารู้แน่นอนว่า คนที่สามารถถูกเรียกว่าอาจารย์นั้นเป็นต้องบุคคลชั้นนำในเมืองฉือแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นแวดวงราชการหรือสถานที่อื่น จะต้องมีสาวกของอีกฝ่ายอยู่ไม่มากก็น้อย ถ้ากล่าวถึงทรัพย์สินแล้ว พวกเขาอาจจะร่ำรวยไม่เท่าตระกูลหลินและตระกูลหลี่ หรืออย่างมากสุดอยู่ในระดับเดียวกับตระกูลฉินเท่านั้น
แต่ถ้ากล่าวถึงอิทธิพลแล้ว พวกเขานั้นสามารถบดขยี้ตระกูลหลินลงบนพื้นได้
โอเค
ดูเหมือนว่าเฉินอีนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาตบไหล่ของหลินเจิ้นหู่และกล่าวว่า ความจริง โทษของตระกูลหลินไม่เกี่ยวข้องกับคุณ คุณไม่อยากทำงานให้ผมจริงหรือ?
เมื่อเห็นว่าเฉินอีไม่ถือโทษเอาผิดหลินเจิ้นหู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบตอบว่า ขอบคุณเจ้าพ่อเฉินสำหรับความชื่นชม แต่ตระกูลหลินไม่มีผู้นำไม่ได้ พี่ชายคนรองของผมนั้นสุขภาพไม่แข็งแรง ดังนั้นอำนาจทั้งหมดต้องอาศัยผมประคับประคองอยู่ ถ้าผมไม่ดูแลควบคุมพวกเขาดี ๆ เกรงว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาให้กับเมืองฉือ และเจ้าพ่อเฉิน
เฉินอีเงียบ และหลังจากนั้นก็จากไป
ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้พูดตามมารยาท แต่เขาก็ไม่ได้บีบบังคับ ถ้าพูดไปครั้งหนึ่งแล้วถูกปฏิเสธ ย่อมจะไม่พูดเป็นครั้งที่สองอีก
หลังจากที่เขามาถึงค่ายฝึก ก็ได้ยินเสียงโหยหวนอยู่ข้างใน เฉินอีจำได้ว่าคืนนั้นไม่มีการฝึกพิเศษให้มังกรเขียว
เมื่อเดินเข้าไป เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เขาเห็นมังกรเขียวข่มเหงคนยี่สิบกว่าคนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
พวกกลุ่มคนไร้ประโยชน์ เข้ามาต่อ แค่กระบวนท่าเดียวก็ไม่สามารถผ่านได้ แล้วยังคิดที่จะยืนหยัดต่อสู้กับเจ้ามังกรให้ได้หลายกระบวนท่าอีก มันเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี!
คนยี่สิบกว่ารู้สึกโกรธเมื่อได้ยินประโยคนี้ และพวกเขาก็พุ่งไปหามังกรเขียวอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแตกต่างจากพวกเขามาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะบุกเข้ามาพร้อมกัน ก็อาจจะยืนหยัดได้ไม่ถึงสิบวินาที
คุณมังกรเขียวแข็งแกร่งขนาดนี้ แล้ว เจ้าพ่อเฉินจะแข็งแกร่งขนาดไหน?
ขณะนี้ พวกเขารู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นกับเรื่องที่จะต้องต่อสู้กับเฉินอีแล้วถึงจะผ่านการ มีเพียงเจ้าดำเท่านั้นที่รู้ดี
เขาคือเจ้ามังกรแห่งสำนักมังกรลับเชียวน่ะ ในแง่ของพลังการต่อสู้ ถึงแม้ว่าจะมีคนอีกสิบกลุ่มเหมือนพวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ เจ้าพ่อเฉินจะจริงจัง อย่างน้อยเขาก็จะไม่จริงจังเหมือนกับคุณมังกรเขียว
ความจริงแล้วตอนนี้มังกรเขียวไม่ได้จริงจัง แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขานั้นมันแตกต่างกันมาก การที่มังกรเขียวใช้พลังเช่นนี้เหมือนเป็นการรังแกคน
ดังนั้นจึงทำให้เฉินอีไม่สามารถทนเห็นได้เล็กน้อย
เขาเดินเข้าไป และเหลือบมองมังกรเขียวอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง
มังกรเขียว มา มาต่อสู้กับผม
ก่อนหน้านั้นมังกรเขียวไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงเฉินอี และยืนหันหลังให้เฉินอีอยู่ เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้ ร่างกายของเขาก็เฉื่อยชาทันที
ฉิบหาย
ตอนนี้ในใจของเขาด่าคำหยาบขึ้นมา