The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 66 พ่อค้า

ตอนที่ 66 พ่อค้า

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ยามมองเข้าไปในโพรงถ้ำ ก็วิเคราะห์อนุมานสถานการณ์ไปด้วย เดี๋ยวนะ! เริ่นเสี่ยวซู่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

เขาเห็นน้ำหยดลงมาจากเพดานถ้ำ

น่าจะเป็นน้ำฝนที่ค่อยๆ ซึมลงมาจากบนเพดานถ้ำ ทหารนายที่อุทานคนนั้น คงเพราะตรึงเครียดเกินไปแถมยังขวัญหนีดีฝ่ออยู่ ผลคือจินตนาการไปว่าหยดน้ำเป็นศัตรู เป็นปีศาจที่อ้าปากกว้างน้ำลายหยดแหมะอะไรแบบนั้น…

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นแบบนี้ ก็ราวกับพบขุมสมบัติเข้า กล่าวกับคนอื่นๆ ว่า   น้ำตรงจุดนั้นดื่มได้ เพดานถ้ำจะเป็นตัวกรองธรรมชาติ ทำให้น้ำสะอาดกว่าน้ำบ่อนิดหน่อย ถ้าไม่มั่นใจ ก็ต้มน้ำก่อนดื่มก็ได้  

สูเสี่ยนฉู่ถามอย่างจริงจังยิ่ง   แน่นะว่าดื่มได้น่ะ  

  อืม   เริ่นเสี่ยวซู่พูด   น่าจะเป็นแหล่งน้ำที่สะอาดที่สุดเท่าที่จะหาได้ในแดนรกร้างแล้ว บางครั้งน้ำพุธรรมชาติก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเท่านี้หรอกนะ  

สูเสี่ยนฉู่ได้ยินแบบนั้น ก็นำกระติกน้ำทหารของตนไปรองน้ำ ถึงแม้ใบสนจะพอดับกระหายได้ก็จริง แต่ว่ามันช่างช่วยได้น้อยนิดนัก

อย่างมากก็แค่ทำให้ไม่ให้หิวน้ำตาย

สูเสี่ยนฉู่ไม่ได้ยึดแหล่งน้ำไว้คนเดียว หลังจากนำกระติกน้ำไปต้มเหนือกองไฟแล้ว ก็หันไปกล่าวกับคนอื่นๆ   พวกนายก็ควรดื่มน้ำหน่อยนะ  

คนที่เหลือไม่เหมือนสูเสี่ยนฉู่ที่มีกระติกน้ำทหารไว้กรอกน้ำ แถมยังใช้ต้มได้ พวกเขาจึงได้แต่ต้องอ้าปากรับน้ำเท่านั้น เรื่องจะเอาไปต้มนี่อย่าหวัง

พวกเขายื้อแย่งกันเข้าไปดื่มน้ำ พวกทหารยังพอไหว เรียงคิวผลัดกันดื่มได้ แต่หลิวปู้แทบสติแตกแล้ว ด้วยว่าไม่มีใครสนใจจะหลีกให้เขาไปดื่มน้ำด้วยเลย

หลังจากพักหนึ่ง ทหารนายหนึ่งก็พูดอย่างฉุนเฉียว   ดื่มน้ำที่ละหยดแบบนี้จะไปพออะไร เริ่นเสี่ยวซู่มีน้ำตั้งสองขวดในกระเป๋าไม่ใช่เหรอ เขาให้คนอื่นคอยเลียก้อนหินเลียใบสน แต่ตัวเองดื่มน้ำจากขวด น้ำมีปัญหาอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้  

ทหารหลายนายต่างโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่เริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่นมีปืนติดตัว เลยไม่กล้าทำอะไรซึ่งหน้าใส่

พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นแบบนี้ ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าตัวเองสามารถเก็บของในพระราชวัง คงเป็นเรื่องดีเยี่ยมอย่างมาก เขาสามารถลอบเก็บน้ำไว้ในพระราชวัง แล้วพรุ่งนี้ก็อ้างกับคนอื่นว่าเขาเผลอทำขวดน้ำหาย จะได้ไม่โดนหมายหัวแบบนี้

แถมถ้าเกิดคนพวกนี้เกิดหลังชนฝาขึ้นมา คิดจะลองเสี่ยงแย่งชิงน้ำกับตนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ตอนนี้น้ำสองขวด ล้วนอยู่คนละฝั่งของกระเป๋าแจ็กเก็ต เขาเอามือสอดกระเป๋าแจ็กเก็ตไปสัมผัสขวดน้ำ กะจะลองเก็บพวกมันเข้าพระราชวังอีกรอบ

แต่เสียงจากพระราชวังดังขึ้นว่า [ยังไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงช่องเก็บของ]

เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้ามุ่ย อย่างน้อยก็บอกหน่อยเซ้ว่าทำยังไงถึงจะได้รับสิทธิ์น่ะ ขนาดยาดำยังเก็บเข้าเก็บออกได้ตามสบาย ไหงขวดน้ำถึงทำไม่ได้ล่ะฟะ ทำไม ทำไมถึงเก็บไม่ได้!

เพราะเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่เคลื่อนไหว ลั่วซินอวี่มองเขา แล้วว่า   ไม่ดื่มน้ำด้วยเหรอ  

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นลั่วซินอวี่มองมาอย่างกังขา ดูแล้วเธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่าที่เขาไม่ไปดื่มน้ำเพราะอยากแบ่งให้คนอื่น

เริ่นเสี่ยวซู่แสยะ   ฉันก็ดื่มน้ำจากขวดเอาไง  

ลั่วซินอวี่   …  

ในวินาทีนั้น ลั่วซินอวี่พลันรู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่มีพรสวรรค์ในด้านการทำให้คนอื่นหัวร้อน

แต่เธอคงไม่รู้ว่า ที่เริ่นเสี่ยวซู่ให้คนอื่นไปดื่มน้ำก่อนนั้น เขาคิดมาดีแล้ว อย่างแรกเลย ทุกคนต่างคอแห้งผาก รับน้ำทีละหยดย่อมไม่เพียงพอ ส่วนสูเสี่ยนฉู่ที่เป็นผู้มีพลังพิเศษ หากคิดจะยึดแหล่งน้ำไว้ตามใจก็ย่อมได้ ไม่มีใครกล้ามีปากมีเสียงแน่นอน ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่นั้น ‘ไม่ได้เป็นผู้มีพลังพิเศษ’ เสียหน่อย

ตอนนี้เขามีน้ำสองขวดก็ทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปทำให้ผู้อื่นเกิดความมุ่งร้ายมากขึ้น

หนึ่งในหลักการการเอาตัวรอดในแดนรกร้าง คือการที่ไม่โลภมากเกินไป และเริ่นเสี่ยวซู่ได้ทำให้สูเสี่ยนฉู่สำเหนียกไว้แล้วด้วยว่า ถ้าอยากรอดออกไปจากแดนรกร้างนี้ บุคคลที่ขาดไปไม่ได้คือตนผู้มีนามว่าเริ่นเสี่ยวซู่ การที่เขามีผู้มีพลังพิเศษอย่างสูเสี่ยนฉู่หนุนหลัง แบบนี้ก็ยิ่งดีกว่าเดิมไม่ใช่หรือ

แล้วก็นะ กลิ่นข้างในถ้ำนี่เหลือทน…

บรรยากาศขมึงตึงเครียด แรกเริ่มลั่วซินอวี่หวาดหวั่นนัก จึงหาเรื่องคุยกับเริ่นเสี่ยวซู่ระบายความกลัว อย่างไรเสียมีคนไว้คุยด้วยก็ดีเสมอ

ว่าตามตรงวิธีนี้ก็ได้ผลดีเยี่ยมทีเดียว พอเริ่นเสี่ยวซู่พูดถึง ‘มีบุตรยามชรา’ ลั่วซินอวี่ก็คลายความกลัวไปได้ไม่น้อย เหลือเพียงอารมณ์แบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจิตใจมันตื้นตัน

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม   รู้ไหมน่ะว่าบุหรี่ที่พวกทหารสูบหามาจากไหนกัน รอบๆ ป้อมปราการ 113 ไม่เห็นสถานที่เหมาะๆ สำหรับปลูกใบยาสูบเลยนะ  

  เธอไม่รู้เหรอ   ลั่วซินอวี่ประหลาดใจ   หวังฟู่กุ้ยบอกว่าเธอมีหลัวหลานหนุนหลังนี่ ทำไมถึงไม่รู้อะไรเลยล่ะ  

  หลัวหลานทำไมเหรอ   เริ่นเสี่ยวอวี่ตะลึงไป ถึงเขาจะได้ธงมาจากหลัวหลานก็จริง แต่ตัวเขากับเถ้าแก่หลัวเองไม่ได้มีข้อตกลงอื่นอะไรกัน

  เถ้าแก่หลัวเป็นตัวแทนของสมาคมตระกูลชิ่งในป้อมปราการ 113   ลั่วซินอวี่อธิบาย

  ในป้อมเขามีตำแหน่งอะไรเหรอ   เริ่นเสี่ยวซู่ถาม ถึงเขาจะเคยได้ยินหวังฟู่กุ้ยพูดชื่อเถ้าแก่หลัวอยู่ทุกวี่วันก็เถอะ เขาก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องของเถ้าแก่หลัวเท่าไร

  เถ้าแก่หลัวไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในป้อม   ลั่วซินอวี่มองดูเริ่นเสี่ยวซู่อย่างประหลาดใจ   อืม ดูเหมือนนายจะไม่รู้อะไรจริงๆ สินะ เขาดูแลพวกโรงงานที่เป็นโรงหลอม ผลิตน้ำ แล้วก็พวกสารเคมีน่ะ ถ้าจะถามว่าเขามีตำแหน่งอะไร…เรียกแบบตรงๆ ก็คงเป็นพ่อค้า  

  เป็นแค่พ่อค้าไหงถึงกลายเป็นคนใหญ่คนโตของป้อมปราการได้ล่ะ   เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งก็พูดออกมา เขานึกว่าเถ้าแก่หลัวเป็นผู้ปกครองป้อมอะไรแบบนั้นเสียอีก

  เขาไม่จำเป็นต้องถือครองตำแหน่งอะไรหรอก   ลั่วซินอวี่ว่าหน้าเหยเก   พวกเขาเหมือนท้องนภาเหนือเหล่าผู้ปกครองป้อมปราการ ยามไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น คนตัดสินใจก็คือพ่อค้าผู้นี้แหละ  

  เขามีกองกำลังเป็นของตัวเองหรือเปล่าน่ะ   เริ่นเสี่ยวซู่คิดแล้วก็ถามออกไป

ลั่วซินอวี่เหลือบมองเขาวูบหนึ่ง พลางว่า   มี เขามีกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่าทหารกองกำลังส่วนตัวพวกนี้หลายเท่า กองพลน้อยที่รักษาการณ์อยู่ในป้อมปราการ 113 เข้มแข็งกว่าที่นายคิดมาก ไม่มีอะไรเหมือนกับทหารกองกำลังส่วนตัวที่นายกำลังเห็นอยู่นี่เลย  

แสดงว่าในป้อมปราการมีทหารสองประเภทรักษาการณ์อยู่สินะ ป้อมปราการจะมีผู้ปกครองแต่เพียงในนาม ไร้ซึ่งอำนาจอิทธิพล ตราบใดที่ไม่ต่อต้าน สมาคมก็จะปล่อยให้พวกเขาเป็นหุ่นเชิดเสวยสุขไป

  แต่มีเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจอยู่อย่าง   เริ่นเสี่ยวซู่ถาม   ทำไมพวกเขาไม่ยึดป้อม แล้วก็กลายเป็นผู้ปกครองเองไปเลยล่ะ ทำไมต้องสร้างหุ่นเชิดขึ้นมาด้วย  

  เพราะบนโลกนี้ไม่ได้มีแต่สมาคมตระกูลชิ่งน่ะสิ   ลั่วซินอวี่ว่า

ได้ยินเช่นนี้เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้แจ้งขึ้นมา ป้อมปราการร้อยกว่าแห่งล้วนตกอยู่ในเงื้อมมือของไม่กี่องค์กร ถึงแม้พวกเขาจะร่วมมือกันครอบงำมีอิทธิพลเหนือป้อมปราการ ทว่าสมดุลอำนาจนี้ช่างเปราะบาง ใช้วิธีการร่วมมืออันลี้ลับชั่วร้าย ดูดกลืนทรัพยากรเป็นของตัวเอง

  สมาคมตระกูลชิ่งเป็นคนขายบุหรี่ให้ป้อมปราการ 113 สินะ?   เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

 

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

Status: Ongoing

นิยายแฟนตาซี-ระบบที่จะพาคุณไปผจญภัยและเอาชีวิตรอดในสมรภูมิโลกหลังภัยพิบัติที่เต็มไปด้วยอันตราย เมื่อตกอยู่ในอันตราย ความหวังคืออาวุธ ‘ลำดับแรก’ ของมนุษย์ หลังภัยพิบัติผ่านพ้นไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความเสื่อมโทรมของอารยธรรมมนุษย์ ไร้ธรรมเนียม ไร้กฎเกณฑ์ ไร้ซึ่งคุณธรรม มนุษย์ไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอีกต่อไป … ‘เริ่นเสี่ยวซู่’ เด็กหนุ่มวัย 17 ปีผู้อพยพแห่งป้อมปราการ 113 ความเป็นมาของเขาไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นนักล่ามือฉมัง หลังจากผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายใน ‘แดนรกร้าง’ มาได้ก็เกิดหมอกดำประหลาดขึ้นในห้วงจิต และนั่นเป็นสาเหตุของอาการป่วยทางสมองของเขา แต่อยู่มาวันหนึ่งหมอกดำในห้วงจิตก็มลายหายไป เผยให้เห็น ‘พระราชวัง’ ปริศนา ที่น่าแปลกคือหลังจากนั้นเขาก็มักจะได้ยินเสียงลึกลับจากพระราชวังที่สั่งให้เขาทำภารกิจช่วยเหลือผู้อื่น?! หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว เขาจะยังได้รับรางวัลจากพระราชวังอีกด้วย ทว่ายังไม่ทันได้สำรวจพระราชวังนั้นให้ละเอียดดี เขาก็จับพลัดจับผลูต้องไปเป็นคนนำทางเข้าไปในแดนรกร้างที่เขาพยายามเลี่ยง และนี่คือจุดเริ่มต้นการผจญภัยในแดนรกร้างของเริ่นเสี่ยวซู่ เด็กหนุ่มที่อาจกลายเป็นผู้นำพาความหวังและแสงสว่างมาสู่มนุษยชาติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท