เมื่อผมโดนระบบครองร่าง – บทที่ 63 อยากเสแสร้งก็ต้องทำจนสุดทาง

บทที่ 63 อยากเสแสร้งก็ต้องทำจนสุดทาง

บทที่ 63 อยากเสแสร้งก็ต้องทำจนสุดทาง

กุ่ยชีค่อยๆ หันไปมอง ในใจอยากจะเอ่ยบางอย่างเอาอกเอาใจออกไป แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาบีบคอมันแน่น

มันปล่อยมือที่จับหนูสีเทาออกโดยพลัน มือทั้งสองเปลี่ยนมาพยายามแกะมือที่แข็งราวกับเหล็กออกไป

หากแต่มันกลับพบว่ามือนี้มีปราณแท้ไหลเวียนอยู่รอบมือ และสกัดมือทั้งสองข้างของมันไว้ ทำให้ไม่สามารถแตะต้องอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย

มันคิดจะใช้พลังเวท แต่ก็พบว่าเพราะปราณแท้ที่ไหลเวียนรอบตัวคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก สามารถกดพลังเวทของมันเอาไว้ไม่ให้ปรากฏออกมาได้

หนูสีเทาตัวนั้น เมื่อร่วงลงสู่พื้นก็ก็ฉวยโอกาสวิ่งหนีหายวับไปทันที มันรู้ดีว่าคนใจโหดผู้นี้ไม่มีทางทำให้มันลำบากแน่

“พูดมาสิ กุ่ยชีดูถูกข้าเช่นนี้ ทำโดยพลการ สมควรรับโทษอย่างไรดี” อัศวิน A ย่อมไม่สนหนูเทา เขาไม่ได้พูดกับกุ่ยชี แต่พูดกับกุ่ยเอ้อร์ (ผีรอง) ที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ แทน

เวลานี้ไม่มีบรรพบุรุษตระกูลไป๋เข้ามาสอดแนม กุ่ยเอ้อร์เจียมตัวมาก ในใจรู้ดีว่าหากตอบไม่ถูกใจ ทั้งความแค้นเก่าใหม่ย่อมโดนคิดบัญชีพร้อมกันแน่นอน อัศวิน A ผู้นี้แค่สองกระบวนท่าก็สามารถปลิดชีวิตตนและกุ่ยชีได้แล้ว

“น่นอนว่าย่อมให้ท่านอัศวิน A เป็นผู้ตัดสิน” กุ่ยเอ้อร์ตอบกลับอย่างระมัดระวัง

อัศวิน A รับคำ “อ้อ งั้นหรือ หากยังมีใครมั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ ร่วมมือกับคนชั่วอยากจะลอบทำร้ายข้า ลองดูสิ ข้าจะให้วิญญาณของมันสลายเป็นผุยผง”

กุ่ยชีท่าทางหวาดกลัว อัศวิน A ผู้นี้รู้ถึงขนาดว่าบรรพบุรุษตระกูลไป๋ซ่อนตัวที่ไหน มิน่าล่ะพี่รองมีโอกาสตั้งหลายครั้งก็ยังไม่ยอมลงมือ ตัวเองวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว พี่รองไม่มั่นใจ อีกฝ่ายได้แต่อดทนสร้างพรรคพวกก่อนจึงจะมีความสามารถสังหารอัศวิน A

มันคุกเข่าลงทันที “ทั้งหมดเป็นความผิดข้า ไม่ฟังคำสอนของพระโพธิสัตว์ ถูกความโลภครอบงำถึงได้ร่วมมือกับบรรพบุรุษตระกูลไป๋ ทำให้ท่านต้องเสียเรื่องแล้ว ข้าทำผิดมหันต์ หวังว่าท่านอัศวินจะเมตตาไว้ชีวิต ข้ายอมถูกลงโทษ ขอเพียงเหลือวิญญาณที่จะกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง”

กุ้ยชีกลับยังคงมีความหวังที่จะรอดชีวิต มันวางแผนอย่างยากลำบากจนถึงตอนนี้ เห็นผลที่สะสมมาอยู่ ไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้น เขาจะอยากเป็นมนุษย์อีกไปทำไมกัน

มันจึงแบกหน้าพูด “อัศวิน A ไว้ชีวิตข้าเถิด พวกเราเป็นคนของสมาคมราชาผี พระโพธิสัตว์ราชาผีคือหัวหน้าของพวกเรามีพลังวิเศษแกร่งกล้า ปกติแล้วข้าเป็นผู้ที่เขาชื่นชอบที่สุด หากสังหารข้าละก็จะเป็นการยั่วยุบรรพบุรุษตระกูลไป๋อีกท่านหนึ่งให้โมโห”

อัศวิน A ได้ฟังแล้วก็เงียบไม่พูดจา

กุ่ยชีเห็นเช่นนี้ก็ดีใจ เข้าใจว่าอัศวิน A เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว

กุ่ยเอ้อร์ไม่พูดอะไรแต่อาศัยจังหวะนี้แอบบีบเครื่องรางในอก

ในพื้นที่ระบบ

ระบบเอ่ยขึ้น “พวกมันพูดถึงพระโพธิสัตว์อีกแล้ว เป็นบอสใหญ่คนใหม่หรือ มนุษย์อย่างโฮสต์เรียกว่าอะไรนะ เสียประโยชน์อย่างหนึ่งก่อน แต่ได้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งใช่หรือไม่”

ฟางหนิงไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนระบบ หลังจากฟังระบบพล่ามจนจบแล้ว เขาก็ได้แต่ปวดหัว ความคิดที่ว่าอาจจับปีศาจตัวนี้ไม่ได้เริ่มผุดขึ้นมา ถ้ามีบอสใหญ่ซ่อนอยู่อีกคนหนึ่งแล้วจะไปยั่วยุอีกคนได้อย่างไร

ยิ่งคิดฟางหนิงก็ยิ่งท้อใจมากกว่าเดิม เอาเถอะ ตอนนี้เจอกับปีศาจที่มีภูมิหลัง ไม่ใช่พวกพเนจร การเดินทางของอัศวินต่อไปจะต้องเปลี่ยนเป็นการเดินทางสู่ชมพูทวีปอย่างไซอิ๋วหรือไม่ ปีศาจมีภูมิหลังปล่อยไป ไม่มีภูมิหลังค่อยสังหาร

แต่อย่างนี้ยังเรียกอัศวินได้อีกหรือ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป กฎอัศวินของระบบคงจะเล่นจบไม่ช้าก็เร็วแน่นอน นิ้วทองคำที่ตัวเองถูกระบบครองร่างก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นยังต้องเก็บเลเวลถึงระดับบดขยี้ถึงจะมีทุนเป็นอัศวินต่อไป

ฟางหนิงคิดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว ระบบงี่เง่านี่คิดแต่จะสังหาร สังหาร และสังหารเพียงอย่างเดียว ไม่กังวลเรื่องพวกนี้เลย น่ากลุ้มใจจริงๆ แต่เอาเถอะ…ไม่เป็นไร ปล่อยให้มันทำงานหนักไปก่อนแล้วกัน.

ฟางหนิงคิดบางอย่างได้จึงเอ่ยขึ้น“แย่แล้ว ท่าไม่ดีแน่ ฉีนถามแกกลับหน่อย ถ้าแกเปิดบอสใหญ่ขนาดนี้เหมือนบรรพบุรุษตระกูลไป๋สองคนพร้อมกัน ยังมั่นใจอีกไหมว่าจะจับได้”

ระบบหดหัว “งั้นก็ต้องเปลี่ยนเป็นมังกรวิ่ง แล้วทิ้งสถานะอัศวิน A”

ฟางหนิงถามต่อ “เห็นไหมล่ะว่าฉันฉลาดแค่ไหนที่ให้แกเปลี่ยนสถานะจับปีศาจตั้งแต่แรก เพราะกลัวว่าจะเจอสถานการณ์ลำบากที่แก้ไขไม่ได้อย่างนี้น่ะสิ มีอัศวิน A คอยอำพราง ต่อให้เล่นพังก็เปลี่ยนกลับไปสถานะจริงได้ มีรากฐานอยู่เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นก็ได้”

ระบบตอบ “โฮสต์ฉลาดมาก ถ้าอย่างนั้นให้โฮสต์แก้ไขปัญหาแล้วกัน”

ฟางหนิง “แก้ไขปัญหาก็ได้ แต่หลังเสร็จเรื่องต้องเลิกตัดการเชื่อมต่อของฉันนะ”

ระบบ “ระบบต้องพิจารณาเรื่องนี้ก่อน ช่วงนี้พบว่าเมื่อไม่มีการเชื่อมต่อ ประสิทธิภาพการฝึกฝนของโฮสต์สูงมาก รอให้โฮสต์ฝึก ‘การแปลงร่างมังกร’ ถึงขั้นแปลงร่างมังกรขั้นต้นได้ ค่อยคืนให้แล้วกัน…”

หน้าจอแจ้งเตือนของระบบพลันปรากฏ: ระบบกำลังพิจารณา…

ฟางหนิงโมโหมาก เขาถูกขังในห้องมืดของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ระบบสองวันแล้ว ยังไม่เป็นบ้าไปก่อนก็เพราะการฝึก ‘การแปลงร่างมังกร’ ยากมาก ทำให้เขาทำได้ตามที่ระบบต้องการและพูดน้อยลงหน่อยไปชั่วขณะหนึ่ง…

ระบบแจ้งเตือน: คำเตือน…โฮสต์กำลังจะเป็นสติแตก

ระบบ “ไม่ต้องโกรธหรอก หลังเสร็จเรื่องนี้ สัญญาจะคืนให้”

ระบบแจ้งเตือน: สติสัมปชัญญะของโฮสต์กลับสู่ภาวะปกติ

เมื่อฟางหนิงได้คำตอบยืนยัน ก็กลับมาอารมณ์ดี รีบตอบกลับน้ำเสียงสดใสทันที “งั้นก็ฆ่ากุ่ยชีซะแล้วปล่อยกุ่ยเอ้อร์ไป กุ่ยเอ้อฉลาดกว่า ที่สำคัญคือรอบคอบกว่าด้วยาหนูเทาตัวนั้นทำหนังสือของเราเสียหาย มันยังกังวลขนาดนี้ ระงับความโลภของตนไว้ได้ และต้องการปล่อยหนูสีเทาไป แสดงว่าความจริงแล้วมีนิสัยขี้ลังเล ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเรา

กลับกันกุ่ยชีนั้นโลภมาก เมื่อครู่ยังแสดงออกถึงความปราณี คนแบบนี้ต้องเป็นปัญหาในวันหน้าแน่นอน สังหารมันตัวเดียวก็เป็นการไว้หน้าสมาคมราชาผีแล้ว พวกเขาผิดก่อนไม่มีทางฉีกหน้าพวกเราได้ บรรพบุรุษตระกูลไป๋ยอมรับความน่าเกรงขามของพวกเราแล้ว แต่เบื้องหน้าย่อมไม่อ่อนข้อ ต้องเหมือนเมื่อก่อนแสดงท่าทางมีอำนาจแข็งแกร่งถึงจะไม่ขัดกับนิสัยของอัศวิน A”

ระบบบ่น “น่าปวดหัว”

แต่หากความเห็นที่ฟางหนิงเสนอมีประโยชน์ ระบบก็ยอมทำตาม

กุ่ยเอ้อร์สังเกตเห็นมังกรเพลิงโผล่ออกมาจากมือของอัศวิน A ร่างกุ่ยชีถูกเปลวเพลิงลุกท่วม เพียงครู่เดียวกุ่ยชีก็กรีดร้องน่าเวทนาท่ามกลางเปลวเพลิงนั้น

ไม่นานนักก็มีแสงสีขาวอ่อนๆ ประกายหนึ่งลอยขึ้นมาจากเปลวเพลิงที่ลุกโหม มันไม่ได้ทำให้กุ่ยชีกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที แต่ให้อีกฝ่ายต่อสู้กับความเจ็บปวดจากการเผาไหม้

กุ่ยเอ้อร์จับตาดูการเคลื่อนไหวนี้อย่างระแวดระวัง มันเห็นแสงสีขาวที่ปรากฏขึ้น แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยกุ่ยชีได้ เพราะนั่นจะเป็นการรนหาที่ตาย

ฟางหนิงสังเกตเห็นแสงสีขาวปรากฏขึ้นเช่นกัน แต่เป็นเพราะการแจ้งเตือนของระบบ เขาจึงสังเกตเห็น

ระบบโจมตีกุ่ยชี ระบบใช้กระบวนท่าลับ ‘มังกรเพลิงเผาร่าง’ ใช้สล็อตความโกรธระดับสอง

กุ่ยชีถูกอานุภาพมังกรกดดัน ได้รับความกดดันระดับกลาง ‘สยบ’ สติสัมปชัญญะกุ่ยชีลดลงเข้าสู่สภาวะเผาไหม้

พระโพธิสัตว์ราชาผีร่ายมนต์ป้องกัน ‘มนตราหัวใจโพธิ์’ ให้กุ่ยชี กุ่ยชีได้รับการปกป้องจิตวิญญาณและต้านทานเปลวไฟเพิ่มขึ้น รวมทั้งการฟื้นชีวิต

กุ่ยชีต้านทานความเจ็บปวดไว้ได้ กุ่ยชีกำลังฟื้นค่าชีวิต…

เวลานี้กุ่ยชีที่เจ็บปวดทรมานยื่นมือหนึ่งออกมาชี้ไปที่ผีสาวจูซานเม่ยที่หลบอยู่ด้านข้างนานแล้ว “แกมานี่ ดับไฟให้เจ้านาย!”

ผีสาวจูซานเม่ยส่ายหัวแรงๆ ตอนนี้เธอยังสร้างร่างแยกไม่ได้ เธอเป็นร่างหลัก และอัศวิน A กำลังจับเจ้านายของเธอเผา หากยื่นมือเข้าไปช่วย อีกฝ่ายคงตบเธอกระเด็นได้ด้วยฝ่ามือเดียว

“ถ้าข้าตาย ไม่นานวิญญาณแกก็จะแตกสลาย!” กุ่ยชีเอ่ยเสียงเกรี้ยวกราด

แต่จูซานเม่ยก็ยังไม่ขยับ อานุภาพของอัศวิน A ประทับในกระดูกของเธอนานแล้ว เวลานี้คำขู่ของเจ้านายที่กำลังดิ้นรนจากความตายเทียบไม่ได้กับพลังอำนาจของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เธอยอมให้วิญญาณแตกสลายหลังจากนี้ แต่ไม่อยากจะเข้าไปถูกตบจนตาย

ทนไปได้ไม่เท่าไร กุ่ยชีก็พบว่าแม้จะดิ้นรน ก็ไม่มีทางหลุดพ้นความทรมานจากการถูกมังกรเพลิงแผดเผาได้ ในที่สุดความสิ้นหวังก็เกาะกุมจิตใจ มันร้องตะโกน “เหี้ยมโหดนัก! ข้ามีแผนการและความคิดมากมาย อดทนรอคอยมาตั้งสามปีถึงจะเก็บวิญญาณที่มีคุณสมบัติราชาผีได้สักตัวโดยมือตัวเองไม่เปื้อนเลือด ข้าเป็นจักรพรรดิผีในนรกได้ พระโพธิสัตว์นั่นถูกข้าสรรเสริญเยินยอจนตัวลอย ราชาผีต่อไปต้องเป็นของข้า ข้าจะยอมตายก่อนได้อย่างไรกัน ข้าไม่ยอม!”

กุ่ยเอ้อร์ได้ยินประโยคเหล่านั้นชัดเจน และทันทีที่เสียงของกุ่ยชีเบาลง ปราณสีขาวที่ต่อสู้กับเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ก็หายไปในพริบตา

เมื่อไม่มีการสกัดกั้นจากปราณสีขาว มังกรเพลิงตัวนั้นก็ม้วนตัวทันที กุ่ยชีร้องครั้งสุดท้าย ทั้งตัวก็กลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่วิญญาณก็แตกสลายไป

กุ่ยเอ้อร์รู้สึกเศร้าใจและตกตะลึงกับความทะเยอทะยานของกุ่ยชี มันไม่ได้เก่งกาจมากนัก แต่ความทะเยอทะยานกลับทะลุฟ้า กุ่ยเอ้อร์คิดในใจ ‘ตัวข้าเป็นมันสมองอันดับหนึ่งของสมาคมราชาผียังไม่กล้าที่จะมีความหวังเกินตัวเช่นนี้ เจ้าแอบมีใจทะเยอะทะยานถึงขนาดจะแทนที่พระโพธิสัตว์เชียวหรือ เจ้าน่าจะรู้ว่าตัวเองเพิ่งพลาดโอกาสสำคัญขนาดไหน นั่นคือโอกาสล้ำค่าที่พระโพธิสัตว์มอบให้!’

กุ่ยเอ้อร์รู้ดีว่า หากกุ่ยชียืนหยัดต่ออีกสักนิด เกรงว่าต่อไปลูกพี่สมาคมราชาผีจะต้องตกอยู่ในมือเขาแน่นอน บางทีเขาอาจจะทนไม่ไหวจนพูดจาเลอะเทอะ ร้องไห้คร่ำครวญ แต่ยังคงวิงวอนพระโพธิสัตว์คุ้มครองเช่นเคย และไม่มีทางจบลงด้วยวิญญาณแตกดับ อย่างน้อยพระโพธิสัตว์ก็ยังให้อนาคตการบำเพ็ญผีกับเขาได้

เขาทะเยอทะยานสูงไป ไม่ฉลาดเหมือนตน หากอยากจะเสแสร้งก็ต้องทำให้สุดทางถึงจะถูก! แต่สุดท้ายก็หลุดปากเอ่ยแผนการในใจออกมา ตายอย่างนี้เท่ากับตายเปล่า

ฟางหนิงก็เข้าใจชัดเจนเช่นกัน ระบบแจ้งเตือนบอกสาเหตุกับเขา

พระโพธิสัตว์ราชาผีร่าย ‘มนตราหัวใจโพธิ’ กุ่ยชีสูญเสียการปกป้องวิญญาณ และสูญเสียการต้านทานเปลวไฟ รวมทั้งการฟื้นคืนชีวิต

กุ่ยชีถูกเปลวเพลิงของมังกรเพลิงเผาไหม้จนวอดวาย

ระบบได้รับค่าประสบการณ์ห้าหมื่นคะแนน

ระบบได้รับชื่อเสียงความกล้าหาญเล็กน้อย

เห็นวิญญาณกุ่ยชีแตกสลาย อัศวิน A ก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึกราวกับเพิ่งเห็นมดตัวหนึ่งตายเท่านั้น เขาเอ่ยเสียงเรียบ “บรรพบุรุษตระกูลไป๋ถูกข้าไล่ล่าจนขึ้นสวรรค์ไร้ทางลงนรกไร้ประตู ข้ายังกลัวพระโพธิสัตว์ที่พวกเจ้าอวดอ้างถึงอีกหรือไง ข้าอยากจะดูหน่อยว่าผู้มีอำนาจบารมีที่เจ้าพูดถึงจะช่วยเจ้าเกิดใหม่อีกครั้งได้หรือไม่”

อัศวิน A กล่าวจบ เสียงทรงพลังขุมหนึ่งก็ดังกึกก้องทั่วทั้งหุบเขา

“น้องชายมังกรท่านนี้โมโหหนักไปหน่อยแล้ว”

………………………………………………………………….

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

Status: Ongoing

จู่ๆ ก็มีดาวตกพุ่งลงมาที่โลก ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย

แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นกลับทำให้ 'ฟางหนิง' หัวโขกกับโต๊ะคอมพิวเตอร์จนสลบไป

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเขามีระบบ ขณะที่กำลังจะดีใจว่าในที่สุดก็มีขาทองคำมาให้เกาะ

เจ้าระบบนั่นกลับประเมินว่าเขาเป็นโรคขี้เกียจระยะสุดท้าย ปล่อยไว้ไม่มีทางเจริญก้าวหน้า

และทำการยึดครองร่างของเขาซะงั้น!?

...

จากหนุ่มโอตาคุผู้แสนจะขี้เกียจที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ

กลับต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมตนเองเป็นฮีโร่คอยปราบปรามเหล่าปีศาจร้าย

ปกป้องเมืองที่ตนอยู่อาศัย และฝึกวิทยายุทธ์เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดนิ้วทองคำของระบบ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท