พักผ่อนได้ครึ่งเดือน ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้รับคำสั่งให้เข้าวังมาตรวจชีพจรทั้งสองตำหนัก ด้วยการไปยังตำหนักของพระสนมเอกเซียวก่อน
“พระชายาเย่ ช่วงนี้ข้ามักจะรู้สึกอึดอัดใจ ไม่ทราบว่าเป็นอาการท้องอืดหรือไม่?” สีหน้าของจวินเซียวเซียวซีดเซียวลง เหมือนกับป่วยเป็นโรคร้ายแรง
แต่หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นตรวจดูแล้ว กลับไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่เป็นเพราะสภาพจิตใจที่ย่ำแย่เท่านั้น
เพียงแต่นางมักจะรู้สึกแปลกใจในบางจุด ความแปลกใจนี้ฉีเฟยอวิ๋นยังกล่าวออกมาไม่ได้ในเวลานี้
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและรายงานไปว่า : “ทูลพระสนมเอกเซียวเจ้าค่ะ พระสนมไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง ชีพจรปกติดี เพียงแต่สภาพจิตใจของพระสนมย่ำแย่ ต้องปรับเปลี่ยนเจ้าค่ะ”
จวินเซียวเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ : “ข้าเข้าวังมาก็หลายเดือนแล้ว จึงคำนึงหาถึงบ้านเกิดมาก”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล่าวอะไรให้มากความ เรื่องของเจ้าตัว จะคำนึงหาหรือไม่ก็ไม่เห็นต้องสนใจ
แต่ท้องของจวินเซียวเซียวเกี่ยวพันถึงชีวิตของนาง ไม่สนใจก็คงจะไม่ได้
“พระสนม หม่อมฉันเตรียมสิ่งของบางอย่างให้แก่พระสนมด้วยเจ้าค่ะ ประการแรกเพื่อขจัดสภาพจิตใจที่ขุ่นมัว บรรเทาความอึดอัด ประการที่สองช่วยบำรุงครรภ์เจ้าค่ะ”
ดวงตาเรียวดุจภาพวาดของจวินเซียวเซียว : “เช่นนั้นคงต้องลำบากพระชายาเย่เสียแล้ว”
“เพื่อครรภ์ของพระสนมเป็นหน้าที่รับผิดชอบของหม่อมฉันเจ้าค่ะ เรื่องนี้จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นสภาพจิตใจที่ยังย่ำแย่ มีผลกระทบต่อครรภ์ ฝ่าบาทก็ทรงเป็นกังวลเรื่องนี้มาก หม่อมฉันในฐานะที่เป็นข้าราชบริพาร จะต้องทำทุกอย่างเพื่อฝ่าบาทเต็มที่เจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวลา จวินเซียวเซียวกลับคลี่ยิ้ม
จวินเซียวเซียวลุกขึ้นและกุมมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้ : “พระชายาเย่ เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้ามองจวินเซียวเซียวแวบหนึ่ง และโค้งตัวเล็กน้อย : “หม่อมฉันน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนเดินเคียงกันไป จวินเซียวเซียวจึงเอ่ยเป็นคนแรก
“ระหว่างข้ากับเจ้า ถือว่าเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้ต่อกัน แม้ว่าสถานะของข้าจะแตกต่างจากเจ้าไปบ้าง แต่ดั่งคำกล่าวที่ว่า…” ครั้นจวินเซียวเซียวกล่าวถึงตรงนี้ ก็กลืนคำนั้นหายลงไป
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจความหมายของจวินเซียวเซียว
จวินเซียวเซียวเพียงแค่อยากพูด หงส์มิสู้ไก่ แต่นางกลับไม่กล้ากล่าวประโยคนี้ออกไป
จริง ๆ แล้วทุกคนมองออก เวลานี้สถานการณ์ของจวินเซียวเซียวเป็นเช่นไร ฝ่าบาทได้นำจวนเซียวเซียวมาที่แห่งนี้ ฉีเฟยอวิ๋นมีการชั่งใจอยู่ไม่น้อย
เรื่องของเชื้อพระวงศ์ โดยพื้นฐานจะไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นได้โดยง่าย แล้วนับประสาอะไรกับพระสนมเอก
เรื่องวังหลัง ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน ไม่มีใครที่จะเดินเข้ามาอย่างราบรื่น ครั้นเข้ามาในสถานที่แห่งนี้แล้ว ก็ควรจะต้องเตรียมตัวไว้เสมอ
จวินเซียวเซียวไม่ใช่คนโง่ แต่นางไม่เข้าใจ สกุลจวินไม่บอกหรือ?
“พระสนมคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ ร่างกายสำคัญที่สุด อากาศในช่วงนี้ไม่ดีนัก พระสนมไม่ต้องคิดมากนะเจ้าคะ ผ่อนคลายบำรุงครรภ์ให้ดี ถึงจะถูกเจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวปลอบใจ
“ข้าอยากมีใครสักคนที่พูดคุยได้ แม้ว่าตำหนักจิ่นซิ่วจะใหญ่มาก แต่กลับไม่มีใครพูดคุยกับข้าเลยสักคน ก่อนที่ข้าจะออกเรือนก็ไม่เคยออกบ้านเกิดเลย ในตอนนั้นบ้านเกิดของข้าเต็มไปด้วยสีสัน ข้ารู้สึกคึกคักไม่น้อย
ครั้นมาถึงที่แห่งนี้ นอกจากฝ่าบาทแล้ว กลับไม่มีใครอยู่พูดคุยกับข้าเลยสักคนเดียว ข้าอึดอัดใจอย่างมาก
ตั้งแต่เข้าวังมา นอกจากเวลาที่ข้าไปน้อมทักทายพระพันปีแล้ว ก็ไม่เคยออกจากตำหนักจิ่นซิ่วอีกเลย
แรกเริ่มยังถูกเรียกไปปรนนิบัติอยู่ในตำหนักบำรุงฤทัยบ้าง แต่หลังจากตั้งครรภ์ องค์จักรพรรดิก็ร่างกายอ่อนแอ ไม่เคยไปไหนอีกเลย
ซึ่งทำให้ข้าอึดอัดใจอย่างมาก” จวินเซียวเซียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่นางกลับเอ่ยออกมาอย่างจนปัญญา
ฉีเฟยอวิ๋นปฏิบัติอย่างมีคุณธรรม “ที่พระสนมเอกกล่าว หม่อมฉันสัมผัสได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอไม่ปิดบังพระสนมนะเจ้าคะ ก่อนที่หม่อมฉันจะออกเรือนก็มีอิสระของตนเองเช่นกัน ตั้งแต่อภิเษกสมรสเข้ามาอยู่ในจวนท่านอ๋องเย่ กลายมาเป็นนกขมิ้นในจวนท่านอ๋องเย่
หากท่านอ๋องเย่เป็นดั่งฝ่าบาท เข้าใจและทะนุถนอมก็แล้วไป
แต่นี้ ท่านอ๋องเย่….”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวพลางมองซ้ายแลขวา ครั้นเห็นว่าไม่มีใคร จึงกล่าวด้วยสีหน้าจนปัญญา “เขาผู้นั้นน่ารังเกียจเป็นที่สุด แรกเริ่มก่อนจะออกเรือนหม่อมฉันทำเรื่องที่เกินสมควร หลังจากที่อภิเษกสมรสเข้ามาเขายังพะว้าพะวังอยู่ในใจ ทุกครั้งที่เราเจอกัน เขาก็ทำเหมือนเจอกับศัตรูที่น่ารังเกียจมากอย่างไรอย่างนั้น
ต่อหน้าคนภายนอก เขาเหมือนจะรักใครในตัวหม่อมฉัน แต่ลับตาคนภายนอก เขาก็เปลี่ยนมาถือยศศักดิ์ของตนเอง
เมื่อหลายวันก่อนไม่ทราบว่าท่านอ๋องเย่เป็นอะไร จึงมอบหมายเรื่องที่เกี่ยวข้องในจวนมาให้หม่อมฉันจัดการ หม่อมฉันก็ทุ่มแรงกายแรงใจทำอย่างสุดกำลัง แต่ครั้นคิดได้ว่าเขาก็ขังหม่อมฉันไว้ในเรือนที่ผุพัง ทำร้ายหม่อมฉันเกือบสิ้นใจ
หม่อมฉันวิตกกังวลอยู่ทุกวัน ลึก ๆ ในใจกลัวว่าเขาจะไม่พอใจ และฉกฉวยโอกาสในคืนมืดลมแรง ปลิดชีวิตหม่อมฉัน”
“พรวด!”
นางกำนัลอดหัวเราะออกมาไม่ได้ จวินเซียวเซียวจึงมองไปโดยไม่ได้ตั้งใจ : “ดูท่าเจ้าอยากโดนลงโทษนะ?”
“บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ พระสนมโปรดไว้ชีวิตด้วย โปรดไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ!”
นางกำนัลคุกเข่าลง ตัวสั่นงันงกด้วยความตกใจ
ซู่จิ่นที่อยู่ข้างกายได้ย่อตัวเล็กน้อย : “พระสนม ไว้ชีวิตนางด้วยเถิด”
“เจ้ามีสิทธิ์อะไร? อย่าคิดว่าเป็นคนรับใช้ และเป็นคนที่ตามข้าเข้าวังมานะ ข้าจะตัดเจ้าออกในการคุ้มครองก็ได้” ใบหน้าจวินเซียวเซียวเคร่งขรึมลง
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็จนปัญญา บ่าวและนายคู่นี้เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย จึงทำได้แค่วิงวอน : “พระสนมเอกเซียวอย่าทรงกริ้วเลยเจ้าค่ะ นางคงไม่ได้ตั้งใจ จริง ๆแล้ว หม่อมฉันก็พูดโดยไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่ใช่ความผิดของนางหรอกเจ้าค่ะ”
“พระชายาเย่ จริง ๆ เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้ เจ้าเป็นคนที่จิตใจดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา”
ฉีเฟยอวิ๋นอยากยิ้ม ในสถานที่แสนโหดร้ายและเต็มไปด้วยความละโมบแห่งนี้ จิตใจดีไปจะมีค่าอะไร?
“พระสนมเอกก็จิตใจดีมากเช่นกัน” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวขึ้น จวินเซียวเซียวกลับชะงักไป
ครั้นคิดได้ จวินเซียวเซียวจึงดึงมือของฉีเฟยอวิ๋นเดินมาด้านหน้า ทั้งสองคนคุยกันชั่วครู่ ฉีเฟยอวิ๋นอ้างว่ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ จวินเซียวเซียวเองจึงไม่รั้ง พาฉีเฟยอวิ๋นมาส่งหน้าตำหนักจิ่นซิ่ว และหยุดอยู่ที่เดิม
ฉีเฟยอวิ๋นย่อตัวแสดงความเคารพ จากนั้นก็หมุนตัวและเดินตามสวีกงกงจากไป
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นจากไป จวินเซียวเซียวก็ทอดถอนใจ ก้มหน้ามองท้อง และหมุนตัวกลับเข้าไปในตำหนัก
“พระสนมเจ้าค่ะ” ซู่จิ่นเดินอยู่ข้างกาย นางมองไปยังจวินเซียวเซียวด้วยความเป็นกังวล จากนั้นก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้คนข้างกายออกไปก่อน
จวินเซียวเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ : “ดูท่าทางนางโง่เขลาเช่นนั้น แต่สายตาของนางกลับหลอกลวงใครไม่ได้”
“ความหมายของพระสนมคือ?” ซู่จิ่นไม่เข้าใจ ฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนไปตามคำบอกเล่าของคนภายนอกจริง ๆ สายตาที่พระสนมถ่ายทอดออกมาคู่นั้น นางมองไม่ออก
จวินเซียวเซียวยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า : “ไม่ว่าฉีเฟยอวิ๋นจะหลอกลวงทุกคนหรือไม่ ครั้งนี้นางต้องช่วยเรา”
“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ?” ซู่จิ่นไม่เข้าใจ
จวินเซียวเซียวส่ายหน้า : “นางคือผู้ผดุงครรภ์ของข้า การให้กำเนิดเด็กคนนี้จะเกี่ยวข้องกับชีวิตของนาง นางโง่เขลาหรือไม่นั้นล้วนแล้วแต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่าบาท”
“พระสนม เช่นนั้นบ่าวต้องแต่งหน้าให้แก่ท่านสิเจ้าคะ?”
จวินเซียวเซียวส่ายหน้า : “สตรีตั้งใจแต่งหน้าเพื่อคนที่รัก ไม่มีคนที่รัก แต่งหน้าไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้ทำตัวให้สะอาดสะอ้าน หากเป็นคนที่มีใจมุ่งมั่น เหตุใดต้องแต่งหน้าด้วยเล่า?
ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาทก็อาจจะไม่เสด็จมาก็ได้”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ซู่จิ่นประคองจวินเซียวเซียวเข้าไปในตำหนักจิ่นซิ่ว ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ตามสวีกงกงเข้าไปในตำหนักเฟิ่งอี๋เพื่อตรวจชีพจรให้แก่ฮองเฮาเฉินอวิ๋นชู
ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นเริ่มขุ่นเคืองหมองใจ ทั้งสองตำหนักไม่สมควรรุกรานกัน แต่สุดท้ายก็ยังรุกรานกันและกัน
สวีกงกงเอ่ยถาม : “พระชายาเย่มีเรื่องอะไรในใจหรือ ตั้งแต่ออกมาจากตำหนักจิ่นซิ่วก็เห็นว่าพระชายาเย่ดูไม่มีความสุขเลยพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางสวีกงกง และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า : “กงกงมีเรื่องที่ไม่รู้ด้วยหรือ เมื่อครู่ที่ข้าตรวจชีพจรให้แก่พระสนามเอกเซียว พบว่าจิตใจภายในของพระสนามเอกเซียวพะว้าพะวังมาก ราวกับมีเรื่องอึดอัดใจ
หากเป็นปกติ ทานยาตามที่จัดให้ก็คงไม่เป็นไรแล้ว แต่บัดนี้พระสนมเอกเซียวตั้งครรภ์ทายาทของฝ่าบาท การจัดยาจึงยิ่งต้องระมัดระวัง จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
ฉีเฟยอวิ๋นแกล้งส่ายหน้าด้วยความขุ่นเคืองหมองใจ สวีกงกงจึงรีบเอ่ยถาม : “จริงหรือ?”
“สวีกงกง เรื่องนี้ข้าจะกล่าวมั่วซั่วได้อย่างไร?” ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้วสูง ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้า
สวีกงกงเองก็เป็นกังวล ที่ฝ่าบาทสรรเสริญไว้ทั้งคู่ ก็เพื่อเติมเต็มความรู้สึกเดียวดายตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็กลัวว่าจะทำให้องค์จักรพรรดิผิดหวัง
“พระชายาเย่ มีวิธีการจัดการอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“วิธีการกำลังคิด ข้ายังไม่เข้าเฝ้าฮองเฮาเลย หากฮองเฮาปลอดภัยดี พระสนมเอกเซียวจะต้องคิดหาทางจัดการเป็นแน่” ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้าคล้ายกับปผู้อาวุโส
สวีกงกงรู้สึกว่าสมเหตุสมผลเช่นกัน ถึงอย่างไรองค์จักรพรรดิก็ใส่ใจฮองเฮามากกว่า
ทั้งสองคนเดินมาถึงตำหนักเฟิ่งอี๋ เหล่านางกำนัลยืนรอเรียงรายอยู่หน้าตำหนักแล้ว ครั้นเห็นฉีเฟยอวิ๋น เหล่านางกำนัลก็ย่อตัวทำความเคารพ : “บ่าวถวายบังคมพระชายาเย่ น้อมทักทายกงกงเจ้าค่ะ”
“ฉีเฟยอวิ๋นได้รับคำสั่งให้มาตรวจชีพจรของฮองเฮา ได้โปรดทูลรายงานด้วย” ฉีเฟยอวิ๋นชี้แจงจุดประสงค์ที่มา
“เชิญพระชายาเย่เสด็จเจ้าค่ะ ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงรออยู่ด้านในแล้ว” บ่าวรับใช้ถอยไปด้านหลัง ฉีเฟยอวิ๋นจึงเข้าไปพบจักรพรรดิอวี้ตี้ และเฉินอวิ๋นชู
หลังจากเข้ามาในตำหนักเฟิ่งอี๋ ฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังคิดจะยกชายกระโปรงคุกเข่าลง ก็ถูกจักรพรรดิอวี้ตี้ ที่ประทับอยู่บนเก้าอี้เรียกไว้ : “ลุกขึ้นเถอะ แม้ว่าเจ้าจะเป็นข้าราชบริพาร แต่ครั้นมาถึงตำหนักเฟิ่งอี๋ คิดเสียว่าเป็นบ้านของตน ลุกขึ้นเถอะ”
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฉีเฟยอวิ๋นปรายตามอง ครั้นเห็น เฉินอวิ๋นชู ก็เตรียมจะคุกเข่า เฉินอวิ๋นชูจึงรีบเอ่ยทันทีว่า : “พระชายาเย่ไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก รีบลุกขึ้นเถิด”
“หม่อมฉันขอบพระทัยฮองเฮา” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น คลื่นในครานี้ ทำให้จิตใจปั่นป่วนมากจริง ๆ
นางไม่ชอบการเข้าวังเช่นนี้ เข้าวังก็ต้องคุกเข่า
คุกเข่าคนนี้คุกเข่าคนนั้น
ไม่คุ้มค่ากับหัวเข่าเลยจริงเชียว
ครั้นยืนสักพัก จักรพรรดิอวี้ตี้ก็เอ่ยถาม : “พระสนมเอกเซียวเป็นอย่างไรบ้าง?”
“กราบทูลฝ่าบาท พระสนมเอกเซียวสองแม่ลูกแข็งแรงดีเพค่ะ”
สวีกงกงมองออกไปด้วยความอึ้งอันอย่างอดไม่ได้
จักรพรรดิอวี้ตี้เลิกคิ้วสูง เห็นทุกสิ่งอย่างอยู่ในสายตา
สวีกงกงรีบก้มหน้าลง ไม่กล่าวสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
จักรพรรดิอวี้ตี้ครุ่นคิด และกล่าวว่า : “เช่นนั้นก็ตรวจให้แก่ฮองเฮาเถอะ”
“เพค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาข้างกายของเฉินอวิ๋นชูด้วยความนอบน้อม จากนั้นก็นั่งลงทำการตรวจชีพจรให้แก่เฉินอวิ๋นชูอย่างละเอียด ตรวจตราค่าเริ่มต้น ไม่นานก็ตรวจชีพจรให้แก่เฉินอวิ๋นชูเสร็จสิ้น
ร่างกายไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร หมายความว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมอย่างดี
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและทูลรายงาน : “กราบทูลฝ่าบาท ฮองเฮาและทายาทในครรภ์แข็งแรงดีเพค่ะ”
“อื้อ ลำบากพระชายาเย่หน่อยละ ข้าพึงพอใจมาก” จักรพรรดิอวี้ตี้ชี้ไปด้านข้าง สวีกงกงจีงรีบเดินไปด้านข้าง จากนั้นก็ยกถาดใบหนึ่งมาให้แก่ฉีเฟยอวิ๋น ซึ่งภายในเป็นไข่มุกมรกตขนาดใหญ่เม็ดหนึ่ง ไข่มุกสีเขียวแพรวพราวมาก ขนาดใหญ่เท่ากับไข่นกกระทา
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นตกใจอย่างมาก หากอยู่ในยุคปัจจุบัน ไม่ถูกขโมยไปแล้วรึ
ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้อยู่วันยังค่ำ ชมเชยได้อย่างน่าประหลาดใจเสมอ
ฉีเฟยอวิ๋นน้อมรับ ได้รับการชมเชยมากมายถึงเพียงนี้ ครั้งนี้เป็นไข่มุกมรกต ซึ่งนางชอบเป็นที่สุด
สวรรค์โปรดรู้ นางชอบสีเขียวมรกต
“พระชายาเย่ซาบซึ้งในพระมหากรุณา นี่คือไข่มุกมรกตจากเครื่องบรรณาการ พบเห็นโดยยากนัก”
สวีกงกงรีบเอ่ยเตือน ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวไปแสดงความเคารพ และหยิบไข่มุกนั้น
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นแวบหนึ่ง : “ข้ามีเรื่องต้องไปยังตำหนักบำรุงฤทัย วันนี้ฮองเฮามีเรื่องหมองใจ พระชายาเย่อยู่คลายความหมองใจให้แก่ฮองเฮาเถอะ”
“เพคะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้นและจากไป ฉีเฟยอวิ๋นน้อมส่งจักรพรรดิอวี้ตี้ สวีกงกงมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยแววตาล้ำลึกแวบหนึ่งจากนั้นก็หมุนตัวรีบตามออกไป
กระทั่งพวกเขาออกไป ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังเฉินอวิ๋นชู ก่อนจะโค้งตัวทำความเคารพเฉินอวิ๋นชูและกล่าวว่า : “ฮองเฮา หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูลเจ้าค่ะ”
เฉินอวิ๋นชูมองไปยังคนที่ยืนขนาบทั้งสองข้าง : “ออกไปข้างนอกเถอะ”
เฉินอวิ๋นชูลุกขึ้นและเดินออกจากตำหนักไป ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบเดินตามไป