องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ – บทที่ 401 กำหนดตัวฮูหยินจั่วจงเจิ้ง

บทที่ 401 กำหนดตัวฮูหยินจั่วจงเจิ้ง

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 401 กำหนดตัวฮูหยินจั่วจงเจิ้ง
ในไม่ช้าก็มีคนเข้ามาในศาลพิเศษกลาง คนแรกคือคนจากจวนราชครูจวินที่ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จัก แต่ดูแล้วน่าจะเป็นคนจากตระกูลราชครูจวินเพราะรูปร่างหน้าตาค่อนข้างมีความละม้ายคล้ายกัน

“จวินเจิ้งหนานคารวะท่านอ๋องเย่ คารวะพระชายาเย่” ผู้มายืนถือบัตรอวยพรสีแดงไว้ในมือ เขาประสานมือคารวะฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่

หนานกงเย่เอ่ยเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้นเถิด คุณชายรองจวินมาสู่ของั้นหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ” จวินเจิ้งหนานตอบอย่างตรงไปตรงมา

“เชิญเข้าไปข้างในก่อนเถิด” หนานกงเย่เอ่ยเรียบๆ จากนั้นจวินเจิ้งหนานจึงเดินเข้าไป

เมื่อเขาไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า “ราชครูจวินมีบุตรชายกี่คนหรือ”

“สี่คน คนโตคือจวินเจิ้งตง คนรองชื่อจวินเจิ้งหนาน คนที่สามจวินเจิ้งซี คนสุดท้องคือจวินเจิ้งเป่ย” หนานกงเย่อธิบายอยู่ข้างๆ

ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ “ตอนที่จวินฉูฉู่ตายไม่เห็นมีใครร้องไห้เศร้าเสียใจ บิดามารดาของนางจะไม่สนใจนางเลยเชียวหรือ”

“ตระกูลจวินมีบุตรสาวอยู่หลายคน จะหายไปสักคนสองคนก็ไม่ค่อยมีใครสนใจหรอก แต่การที่ลูกสาวตายไปสักคนก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก เพียงแต่จวินฉูฉู่ทำเกินไป หากนางไม่ตายก็จะทำให้ตระกูลอวิ๋นไม่พอใจ ฝ่าบาทจึงปล่อยตระกูลจวินไปไม่ได้

ตายแล้วก็แล้วกันไป

นอกจากนี้จวินฉูฉู่และจวินเซียวเซียวยังเป็นพี่น้องกัน ที่เกิดเรื่องของจวินฉูฉู่ ตระกูลจวินรู้ว่าเป็นฝ่ายผิด พวกเขาไม่กล้าก่อปัญหาเพราะถึงอย่างไรจวินเซียวเซียวก็ยังอยู่ในวัง”

“เช่นนั้นก็หมายความว่าพ่อแม่ของจวินฉูฉู่ก็มีตำแหน่งอยู่ในตระกูลจวินด้วยหรือ”

“นั่นเป็นเรื่องปกติ แต่คนดูแลตระกูลจวินคือบุตรภรรยาน้อย นั่นก็คือจวินเจิ้งหนาน คนที่เพิ่งมาเมื่อครู่

จวินเจิ้งตงเป็นแม่ทัพใหญ่เจิ้นหย่วน เขาเป็นบิดาของจวินฉูฉู่และจวินเซียวเซียว แต่ฮูหยินใหญ่ไม่รับผิดชอบ

แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นทายาททางสายเลือดของตระกูลจวิน แต่ตระกูลจวินคำนึงถึงหมู่มากมากกว่า จะตายไปสักคนสองคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

ในที่สุดฉีเฟยอวิ๋นก็ได้เปิดหูเปิดตา โลกนี้ช่างหนาวเหน็บเยียบเย็นจนน่ากลัว

ไม่สนไม่ถามไม่ไถ่เมื่อลูกสาวตาย มิน่าเล่าจวินฉูฉู่จึงมีนิสัยใจคอแบบนั้น

พ่อแม่ยังเป็นสัตว์เลือดเย็น แล้วจะนับประสาอะไรกับลูกสาว

จวินเจิ้งหนานเข้าไปไม่นานก็กลับออกมา เขาทักทายหนานกงเย่และนางก่อนจะขอตัวกลับไป

ตามมาด้วยคนจากตระกูลอวิ๋นซึ่งเป็นตระกูลที่ไม่ค่อยเป็นจุดสนใจ คนที่มาคือทายาทคนรองของตระกูลอวิ๋น ซึ่งตระกูลอวิ๋นไม่ค่อยมีคนที่คอยดูแลอยู่ที่เรือนนัก

คนผู้นั้นทักทายฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ก่อนจะเข้าไปเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่

หลังจากนั้นคนก็ทยอยกันเข้ามา และมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

ฉีเฟยอวิ๋นจะกลับหลังจากกินอาหารเย็น เมื่อถามถึงความพึงพอใจ เว่ยหลินชวนก็ส่ายหน้า

องค์หญิงใหญ่ตรัสอย่างโกรธเคืองว่า “ไร้อนาคต”

เว่ยหลินชวนไม่ได้โต้แย้ง องค์หญิงใหญ่มองเว่ยหลินชวนและนึกโกรธจึงขับไล่เขาออกไป ซึ่งนั่นทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสงสารเขามาก

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นจะกลับไปที่จวนอ๋อง แต่เดินไม่สะดวกอีกต่อไปเพราะเวลานี้ท้องนางใหญ่มากแล้ว

ดังนั้นหนานกงเย่จึงอุ้มฉีเฟยอวิ๋นกลับไป

ฉีเฟยอวิ๋นถามเรื่องเกี่ยวกับชายแดนระหว่างทางกลับ แต่หนานกงเย่ปิดปากไม่ยอมพูดถึง จนกระทั่งเมื่อมาถึงเรือนที่สวนดอกกล้วยไม้ หนานกงเย่จึงพูดถึงเรื่องที่ชายแดนให้ฟัง

มีคนก่อเรื่องที่ชายแดนไม่ผิดแน่ แต่ไม่ใช่เรื่องการทำสงครามระหว่างสองดินแดนอย่างแน่นอน มีคนต้องการยุแยงทั้งสองดินแดนให้เกิดความขัดแย้ง

“ท่านอ๋องทำให้สงบลงแล้วหรือ” ฉีเฟยอวิ๋นถูกปล่อยตัวลงและถูกปลดเครื่องแต่งกายออก ฉีเฟยอวิ๋นถามเขาขณะที่หนานกงเย่ถอดเสื้อผ้าให้นาง

“แก้ปัญหาแล้ว แต่นั่นยังไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืนในระยะยาว แม้ว่าจะระงับปัญหาได้ชั่วคราวแต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะไม่มีปัญหาอีก”

“ท่านอ๋องหมายความว่าต้องรองั้นหรือ”

ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินได้ยินคำพูดที่แฝงไปด้วยความนัย

“ตอนนี้ที่ชายแดนไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องรีบร้อนไปจัดการแล้ว”

“อื้ม”

การแต่งงานของเว่ยหลินชวนไม่มีความคืบหน้าเลยในช่วงหลายวันมานี้ แล้ววันนี้ขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังกลับจากศาลพิเศษกลางไปยังจวนอ๋อง นางก็ถูกอวิ๋นหลัวฉวนมาดักเอาไว้

“ท่านพี่เสียนเฟย” อวิ๋นหลัวฉวนไม่ได้มาให้เห็นหน้าหลายวัน ทันทีที่พบหน้ากันนางก็นำของขวัญมาให้ด้วย ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจและยินดีมาก

“นำของขวัญมาด้วย?”

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าของขวัญในมือของตงเอ๋อร์คงจะน้ำหนักไม่เบาเลยทีเดียว ขอแค่ไม่ใช่ค้อนเหล็กก็เป็นพอ

อวิ๋นหลัวฉวนยิ้มหวาน “อยากจะมาขอร้องให้ช่วยย่อมต้องนำของขวัญมาให้เป็นธรรมดา ท่านพี่เสียนเฟยรับไว้เถิด ท่านย่าเป็นคนจัดเตรียมทั้งหมดเอง”

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ “ขอร้องข้า? ที่จวนกั๋วกงมีคนป่วยหรือ”

“ไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วยหรอกเจ้าค่ะ ท่านพี่เสียนเฟยอย่าพูดเล่นไป วันนี้ข้ามาเพราะเรื่องศาลพิเศษกลาง

และมาเรื่องของจั่วจงเจิ้งเว่ยหลินชวน” อวิ๋นหลัวฉวนบอกถึงวัตถุประสงค์ในการมา ฉีเฟยอวิ๋นนึกฝันขึ้นมาและเกือบจะเดาได้

ดูเหมือนตระกูลอวิ๋นจะค่อนข้างมีความมั่นใจเกี่ยวกับเว่ยหลินชวน

“เรื่องนี้เกรงว่าจะเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ ข้าว่าเจ้านำของกลับไปเสียดีกว่า” ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับ อวิ๋นหลัวฉวนไหนเลยจะยอมแพ้ นางรีบเดินตามฉีเฟยอวิ๋นเข้าประตูไป

“ท่านพี่เสียนเฟยอย่าเพิ่งไปสิเจ้าคะ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าทำไม่ได้ ได้ยินมาว่าช่วงนี้องค์หญิงใหญ่ทรงรับฟังท่าน” อวิ๋นหลัวฉวนมีความสามารถในการดื้อแพ่งอย่างไม่ลดละและตามฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปถึงสวนดอกกล้วยไม้

หนานกงเย่เดินตามมาข้างๆ โดยไม่ได้ห้ามปราม

ที่ด้านหลังมีอ๋องตวนเดินตามเข้ามาด้วย

อ๋องตวนเอ่ยอย่างจริงจังในขณะที่สองพี่น้องเดินเข้าไปที่สวนดอกกล้วยไม้ด้วยกัน “ได้ยินฝ่าบาทตรัสเรื่องที่ชายแดน ไม่ดีงั้นหรือ”

“อวิ๋นอวิ๋นยังไม่รู้เรื่องนี้ อย่าพูดไป”

“ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องรู้อยู่ดี เวลานี้คนที่ไปได้มีไม่มากนัก เกรงว่าจะปิดบังไว้ไม่ได้” อ๋องตวนพูดเพื่อปิดบังบางอย่าง

หนานกงเย่กล่าวว่า “มันเป็นไปได้ มีคนหนึ่งที่เหมาะสมมาก”

หนานกงเย่หันไปมองทางสวนดอกกล้วยไม้ขณะที่พูด สีหน้าของอ๋องตวนเคร่งขรึมขึ้น “อย่าคิดอะไรเพ้อเจ้อ นางคือพระชายาของข้า จะไปออกรบได้อย่างไร”

“พระชายาแล้วอย่างไร แต่ไหนแต่ไรสตรีของตระกูลอวิ๋นก็ไม่เคยได้เป็นวีรสตรีนี่”

“อย่างไรก็ไม่ได้” อ๋องตวนปฏิเสธเสียงเฉียบขาด

หนานกงเย่ไม่ได้พูดอะไร นี่คือสิ่งที่เขาเป็นกังวล

อวิ๋นอวิ๋นน่าจะคลอดในเร็ววันนี้ เวลานี้ดีที่ให้พ่อตาของเขาไปทำสงคราม

แต่ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีใครที่ไปได้อีกบ้าง?

เมื่อทั้งสองคนมาถึงสวนดอกกล้วยไม้ อวิ๋นหลัวฉวนก็กำลังหลอกล่ออย่างไม่ลดละจนทำให้ฉีเฟยอวิ๋นว้าวุ่นใจ

“เจ้ากลับไปเถอะ ข้าไม่อยากจะทำให้ตัวเองอับอาย ถ้าเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงได้คงจะเปลี่ยนไปนานแล้ว คงไม่ถ่วงรั้งมาจนถึงตอนนี้

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเว่ยหลินชวนจะดี แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง บุตรสาวจากตระกูลอวิ๋นต่างก็ไม่ใช่ธรรมดา จะปล่อยผ่านเว่ยหลินชวนคนเดียวไม่ได้เลยหรืออย่างไร”

“ท่านพี่เสียนเฟยพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก คนลักษณะอย่างเว่ยหลินชวนในเมืองหลวงของเราหรือแม้แต่ทั้งในต้าเหลียงยังนับว่าหาได้ยาก ท่านย่าของข้าถูกใจเขามาตั้งนานแล้ว

ก่อนหน้านี้ยังอยากจะเสนอข้าให้เขา แต่ร่างกายของเขาอ่อนแอมาก ข้าไม่ชอบ ท่านย่าจึงต้องยอมแพ้”

สีหน้าของอ๋องตวนอึมครึมลงในดันใด จงชินอ๋องก็คนหนึ่งแล้วที่เขาไม่พอใจ ไม่คิดว่าจะยังมีเว่ยหลินชวนอีกคน

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เห็นด้วย “มองไม่เห็นออก ข้าว่าลักษณะอย่างเว่ยหลินชวนก็ไม่เห็นมีอะไรไปมากกว่านี้”

“อย่าพูดถึงมันเลย ท่านพี่เสียนเฟย ข้าเองก็เคยช่วยท่านมาแล้ว ท่านก็แค่ไปถามว่าเหตุใดจึงไม่พอใจพี่สี่ของข้า พี่สี่ของข้าเป็นพี่น้องที่งามที่สุดในหมู่พวกเราแล้วนะ”

“ข้าไม่สนละ ไม่อยาก…”

“กระแสรับสั่งขององค์หญิงใหญ่” มีคนตะโกนมาจากที่หน้าประตู ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจว่าเหตุใดคำสั่งจึงมาที่จวนอ๋องเย่

หรือว่าจะถูกใจใครในจวนอ๋องเย่?

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นไปต้อนรับ คนที่มาคือคนของศาลพิเศษกลาง เขาถือกระดาษไว้ในมือและส่งกระดาษซึ่งเป็นบัตรนั้นให้กับฉีเฟยอวิ๋น

“องค์หญิงใหญ่มีรับสั่ง กำหนดตัวฮูหยินจั่วจงเจิ้งแล้ว พระชายาเย่ได้โปรดรับบัตรนี้ไว้และส่งไปที่ศาลพิเศษกลาง หาฤกษ์งามยามดีสำหรับพิธีมงคลและเชิญองค์จักรพรรดิให้พระราชทานงานอภิเษกให้”

ฉีเฟยอวิ๋นมีสีหน้าลังเลใจ อวิ๋นหลัวฉวนที่อยู่ข้างๆ ไม่ยอม “ท่านพี่เสียนเฟย ท่านทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ หากท่านอยากจะเก็บไว้เองท่านพูดออกมาตรงๆ ก็ได้ ข้าเข้าใจ เหตุใดจึงต้องหลอกลวงเช่นนี้ด้วย”

“เจ้าพูดเรื่องอะไร ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น” ฉีเฟยอวิ๋นรับบัตรมาและเปิดออกดู จากนั้นจึงชะงักไป

“อวิ๋นจิ่น?”

หนานกงเย่ยืนอยู่ที่ประตู เขาชะงักไปนิดหนึ่ง

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท