องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 413 อวิ๋นจิ่นออกเดินทางก่อน
หลังจากที่หนานกงเย่เข้าเฝ้าฝ่าบาทในวังแล้วก็กลับจวนทันที ตั้งแต่คืนนั้น อวิ๋นจิ่นได้มาคารวะฉีเฟยอวิ๋นเป็นการส่วนตัว นางแต่งกายด้วยชุดของบุรุษ ทั้งยังมีท่าทางเหมือนกับพ่อค้าอีกด้วย
เมื่อเห็นการแต่งตัวของอวิ๋นจิ่น ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ทันทีว่าอวิ๋นจิ่นคิดจะทำสิ่งใด
“เจ้าตั้งใจแกล้งปลอมตัวเป็นพ่อค้า ไปคุ้มกันการเคลื่อนย้ายเสบียงอาหารใช่หรือไม่?”
“เรื่องนี้ข้ายังต้องขอคำปรึกษาจากนายท่าน ข้าไม่ได้พาเสบียงไปมากนัก แต่เงินตำลึงเตรียมไปมากพอสมควร ระหว่างทางนี้ ข้าจะสั่งให้คนล่วงหน้าไปเก็บเสบียงอาหารก่อน แล้วค่อยแยกกันไปคุ้มกัน เช่นนี้อาจจะลดทอนกำลังคนได้บ้าง และอาจจะรักษาจำนวนของเสบียงได้มากขึ้น
ก่อนที่ท่านแม่ทัพฉีจะออกเดินทาง เมืองหลวงได้เคลื่อนย้ายเสบียงอาหารออกไปแล้ว เมืองหลวงไม่สามารถขนย้ายเสบียงอาหารมากมายเพียงนั้นในเวลาอันรวดเร็วได้ สิ่งที่ข้าจำเป็นต้องนำติดตัวไปด้วยคือยาและเสื้อกันหนาว เมื่อข้าไปถึง เสบียงก็คงจะพร้อมแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงในคำพูดของอวิ๋นจิ่นอย่างมาก ข้างกายของตนมีคนเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ นางไม่รู้เลยจริง ๆ
“อวิ๋นจิ่น หากเป็นดั่งที่เจ้ากล่าวไว้ ข้าก็ขอมอบหมายเรื่องนี้ให้เจ้า ข้าคงวางใจ ถึงอย่างไรเจ้าก็คอยติดตามรับใช้ข้ามาโดยตลอด ท่านพ่อของข้าก็เชื่อใจเจ้า หากเจ้าไปข้าก็วางใจ เพียงแต่การเดินทางในตอนนี้ค่อนข้างอันตรายมาก ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องระวังตัวให้มาก
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น เจ้าต้องเห็นแก่ชีวิตเป็นสำคัญ ข้าหวังแค่ให้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย หากเจ้าเป็นอะไรไป เกรงว่าตลอดชีวิตนี้ของข้าคงจะอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้
ส่วนเรื่องอื่น ท่านอ๋องบอกว่าจะส่งคนร่วมเดินทางไปพร้อมกับเจ้าด้วย แต่ข้าก็ยังไม่รู้ว่าคือผู้ใด”
“นายท่าน ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง แต่อวิ๋นจิ่นหวังว่าคนที่ไปพร้อมกับข้าผู้นี้ จะเป็นคนที่สามารถดูแลอวิ๋นจิ่นได้ พร้อมที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับอวิ๋นจิ่นได้ทุกเวลา แทนที่จะก้าวก่ายงานที่อวิ๋นจิ่นทำ สู้เอาเวลาไปคุ้มกันเสบียงไม่ให้มาถึงล่าช้าดีกว่า”
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจัดการเอง”
ไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นตอบรับ หนานกงเย่ก็ผลักประตูเดินเข้ามาด้านใน ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืน อวิ๋นจิ่นเองก็รีบถวายความเคารพทันที : “อวิ๋นจิ่นขอคารวะท่านอ๋องเพคะ”
หนานกงเย่โบกมือไปมา “ลุกขึ้นเถอะ”
อวิ๋นจิ่นจึงได้ลุกขึ้นจากพื้น จากนั้นก็เงยหน้ามองหนานกงเย่
นัยน์ตาของหนานกงเย่ฉายแววราบเรียบ : “ข้าเชื่อ ทหารที่แข็งแกร่งจะไม่มีวันอ่อนแอ ในเมื่อพระชายายอมให้เจ้าเป็นมือซ้ายและมือขวาของนาง จัดการเรื่องราวแทนนาง ความสามารถนี้ของเจ้าข้าเองก็ยอมรับเช่นเดียวกัน
เพียงแต่เมื่อเจ้าจะไปเช่นนี้ข้าเองก็ไม่อาจวางใจได้
อย่างที่เจ้าพูด คนที่ได้รับมอบหมายในครานี้จะต้องดูแลเจ้าได้ ร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้าได้ทุกเวลา แต่คนผู้นี้สามารถคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่เจ้าได้ทุกเวลา
ปู้เหวิน?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ปู้เหวินเดินเข้ามาจากด้านนอก คุกเข่าลงข้างหนึ่ง และก้มหน้าคารวะ
หนานกงเย่กล่าวขึ้นว่า : “วันนี้ ปู้เหวินจะร่วมเดินทางไปพร้อมกับเจ้า จะคอยคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่เจ้าไปตลอดทาง”
ก่อนที่อวิ๋นจิ่นจะพาคนเหล่านี้ไป ได้โปรดท่านอ๋องจดจำใบหน้าของทุกคนไว้ นอกเหนือจากนี้ในนี้ก็ยังมีกู่เปิดใจ*อีกหลายตัว เป็นหนึ่งในสิ่งที่มีมูลค่าสำหรับอวิ๋นจิ่นมาก วันนี้อวิ๋นจิ่นต้องการให้พวกเขากินมัน ส่วนนางพญากู่ที่ควบคุมกู่เปิดใจคงต้องมอบให้แก่ท่านอ๋องแล้วละเจ้าค่ะ หากพวกเขามีจิตใจที่เชื่อฟังผู้เป็นนางพญา
ตราบใดที่ท่านอ๋องนำนางพญากู่เผาในกองไฟ พวกเขาก็จะตายกันหมด”
อวิ๋นจิ่นหยิบกล่องขนาดเล็กใบหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นกล่องชุบทอง ด้านบนมีรู กล่องใบนี้มีขนาดพอดีกับมือ อวิ๋นจิ่นยื่นออกไปด้วยสองมือ
ฉีเฟยอวิ๋นรับมา ในตอนนี้เองกล่องใบนี้เกิดการสั่นไหว ฉีเฟยอวิ๋นจึงหัวเราะขบขัน : “ดูท่าไม่ได้มีเพียงแค่สัตว์มีพิษเท่านั้นที่กลัวข้า กู่เองก็กลัวข้าเช่นกัน”
เมื่อเปิดกล่องใบนั้นและมองเข้าไปในกล่อง ก็เห็นนางพญากู่กำลังคืบคลานไปมาด้วยความตื่นกลัว ฉีเฟยอวิ๋นปิดกล่องและยื่นให้กับหนานกงเย่ เมื่อถึงมือเขากู่ภายในก็สงบลง
หลังจากนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งจำนวนหกคนเดินลงมา พวกเขาล้วนยังวัยเยาว์ ทั้งยังดูท่าทางเหมือนคนธรรมดาอีกด้วย
“นี่คือนายท่าน พวกเจ้าเคยเจอกับนายท่านทั้งสองแล้ว”
ทั้งหกคนรุดหน้าทำความเคารพ : “ข้าน้อยขอคารวะนายท่าน”
หนานกงเย่มองไปทางพวกเขาด้วยสายตาเรียบเฉย พิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คนเหล่านั้นมีโครงกระดูกที่พิเศษมาก ซึ่งเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในศิลปะการต่อสู้
“พวกเจ้าจะยอมใช้กู่เองเช่นนั้นหรือ?”
“ยอมขอรับ”
“เช่นนั้นก็ใช้สิ”
หนานกงเย่ออกคำสั่ง คนเหล่านี้จึงหยิบลูกกลม ๆ ขนาดเท่ากับถั่วขนาดเล็กสีทองเม็ดหนึ่งออกมา เตรียมจะกินมันลงไป
ฉีเฟยอวิ๋นรีบตะโกนขึ้นว่า : “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ท่านอ๋องไม่ได้ให้พวกเจ้ากินจริง ๆ เสียหน่อย เขาแค่ลองใจพวกเจ้าเท่านั้น
ของสิ่งนี้เตรียมไว้ให้ศัตรูต่างหาก ช่างเถอะ”
จากนั้นก็มองไปทางอวิ๋นจิ่น ในตอนนี้อวิ๋นจิ่นได้หยิบถั่วสีทองเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ใส่ปากและกลืนมันลงไป
อีกหกคนก็กลืนเม็ดถั่วนั้นลงไปเช่นกัน ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินเข้าไปข้างกายของอวิ๋นจิ่น : “อาเจียนออกมาเดี๋ยวนี้”
อวิ๋นจิ่นกลืนมันลงไปแล้ว นางมองไปทางฉีเฟยอวิ๋น : “นายท่าน นี่ไม่ใช่ยาพิษหรอกเจ้าค่ะ รอพวกเรากลับมา พญากู่จะแผลงฤทธิ์ ถึงคราวติดสัด กู่จะเคลื่อนตัวออกมาเอง แต่บัดนี้ได้โปรดนายท่านดูแลนางพญากู่เป็นอย่างดี นี่คือหลักประกันของอวิ๋นจิ่นเจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็จนปัญญา : “เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เขลาเช่นนี้?”
“นายท่าน ชีวิตของอวิ๋นจิ่นเป็นของนายท่าน วันนั้นบนถนนไม่มีผู้ใดเหลียวมองอวิ๋นจิ่น หากไม่ได้นายท่าน อวิ๋นจิ่นก็คงจะตายไปแล้ว”
“อวิ๋นจิ่น เจ้าโง่จริง ๆ!”
อวิ๋นจิ่นเช็ดน้ำตา จากนั้นก็ถลึงตาใส่หนานกงเย่อย่างรุนแรงแวบหนึ่ง
หนานกงเย่กล่าวด้วยความไม่สบายใจนัก : “ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”
“ปัดความรับผิดชอบ” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่อย่างไม่พอใจ จากนั้นก็หันไปมองอวิ๋นจิ่นอีกครั้ง
“อวิ๋นจิ่นเจ้าต้องระวังตัวด้วย ข้าคงไปส่งเจ้าไม่ได้”
“อวิ๋นจิ่นจะระวังตัวอย่างดี กลับมาอย่างปลอดภัย มาดูแลนายท่านตัวน้อยเพคะ”
“อื้อ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางอวิ๋นจิ่นที่นำพาคนทั้งหกออกเดินทาง : “พวกเจ้าวางใจเถอะ นางพญากู่ข้าจะดูแลอย่างดี หวังแค่ให้พวกเจ้าปกป้องอวิ๋นจิ่นเป็นอย่างดี”
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง”
เมื่อจัดระเบียบอย่างเหมาะสมแล้วอวิ๋นจิ่นก็พาทั้งสิบเอ็ดคนเดินทาง ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามพวกเขาออกไป และส่งพวกเขาออกนอกเมืองอย่างเงียบ ๆ
อวิ๋นจิ่นและคนอื่น ๆ เดินทางด้วยการควบม้า นางพาคนจำนวนหนึ่ง และพาสิ่งของไปบางส่วน ก่อนจะขึ้นควบม้า
อวิ๋นจิ่นหันกลับมามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เร่งม้าวิ่งออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกมาจากในที่มืด : “อวิ๋นจิ่นไปเรียนขี่ม้าตั้งแต่ตอนไหน?”
“เกรงว่าคงจะเรียนก่อนแล้ว” หนานกงเย่พานางหมุนตัวกลับไป ฉีเฟยอวิ๋นทำได้แค่หันกลับไปมองด้วยความจนปัญญา ยังคิดไม่วิตกว่าอวิ๋นจิ่นทำเช่นนี้เพื่อผู้ใด
ณ ตำหนักจิ่นซิ่ว
จวินเซียวเซียวยืนมองออกไปข้างนอกอยู่นอกตำหนักจิ่นซิ่ว สาวใช้หยิบเสื้อคลุมออกมา : “พระสนมเพคะ ท่านยืนอยู่ตรงนี้มาเจ็ดแปดวันแล้ว กลับกันเถอะเพคะ”
“ข้ายืนได้ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” จวินเซียวเซียวกระชับเสื้อคลุมที่อยู่บนไหล่ และเดินออกไป
สาวใช้รีบรุดขึ้นหน้า : “พระสนม ท่านจะไปไหนหรือเพคะ?”
“ข้าจะไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“สาวใช้จะอยู่เป็นเพื่อนพระสนมเพคะ” สาวใช้อยากเดินตามไป จวินเซียวเซียวจึงผลักนางออกไป
กระทั่งมาถึงสวนดอกไม้จวินเซียวเซียวก็มาหยุดยืนอยู่หน้าดอกโบตั๋นสีขาวต้นหนึ่ง นางจ้องมองไปทางดอกโบตั๋นอย่างเหม่อลอย กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงของสวีกงกง : “ฝ่าบาทเสด็จ พระสนมเอกเซียวโปรดน้อมรับเสด็จ”
จวินเซียวเซียวหมุนตัวและคุกเข่าลง : “หม่อมฉันน้อมทักทายฝ่าบาทเพคะ”
“ลุกขึ้นเถอะ ข้าแค่อยากเดินเล่น สนมเองก็อยู่ด้วยหรือ?”
“หม่อมฉันคิดถึงฝ่าบาท จึงตั้งใจมารอฝ่าบาทที่นี่ ได้ยินว่าฝ่าบาทมักจะเสด็จมาเยี่ยมชมดอกไม้ทุกวัน จึงได้มารอเพคะ”
จวินเซียวเซียวคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น
จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ได้ตำหนิ แค่มองนางชั่วครู่ จากนั้นก็เดินขึ้นหน้าเข้าไปประคองจวินเซียวเซียวให้ลุกขึ้น โดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด ก่อนจะเดินตามจวินเซียวเซียวเข้าไปในตำหนักจิ่นซิ่ว
ไม่นานเรื่องนี้ก็แพร่กระจายเข้าหูฮองเฮาเฉินอวิ๋นชู ซึ่งนางกำลังจุดเครื่องหอม จึงทำได้แค่ยิ้ม
คืนนั้นจักรพรรดิอวี้ตี้ค้างคืนอยู่ในตำหนักจิ่นซิ่ว ไม่จากไปไหน
*กู่เปิดใจ เป็นกู่หรือที่เรียกว่าสัตว์มีพิษชนิดหนึ่ง