ทั้งสองคนได้เข้ามาพบจักรพรรดิอวี้ตี้ และในขณะนี้จักรพรรดิอวี้ตี้กำลังพิจารณาฎีกาโดยไม่ได้เงยพระพักตร์ขึ้นมาทอดพระเนตรทั้งสองคน แต่ได้ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “เข้าวังหลวงมากลางดึกเช่นนี้ มีเรื่องรีบร้อนอะไรหรือ? แม้ข้าจะยังไม่นอนหลับพักผ่อน แต่พวกเจ้าไม่กลัวถูกตัดขาทั้งสองข้างหรือ?”
หนานกงเย่หยิบฎีกาที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาและโยนไปให้เสี่ยวกั๋วจิ้ว เสี่ยวกั๋วจิ้วไม่มีศิลปะการต่อสู้แต่เขาก็รับฎีกาเอาไว้ได้โดยสัญชาตญาณ
จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปจึงมองไปที่ทั้งสองคนอย่างเย็นชาและใบหน้าเคร่งขรึม!
“ช่างบังอาจนัก ต่อหน้าข้ายังกล้าทำเช่นนี้ได้ พวกเจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาบ้างเลยหรืออย่างไร?”
จักรพรรดิอวี้ตี้ปัดกองฎีกาบนโต๊ะลงทั้งหมด
ขันทีตกใจจนตัวสั่นและคุกเข่าลงเพื่อร้องขอความเมตตา และเมื่อมองไปที่หนานกงเย่และเสี่ยวกั๋วจิ้ว ทั้งสองคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เสี่ยวกั๋วจิ้วถือฎีกาไว้แน่นในมือ “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้รวบรวมข้อมูลบางอย่างที่ไม่เป็นผลดีต่อเมืองต้าเหลียงและคิดว่าเรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยเอาไว้ได้จึงได้ตั้งใจเชิญผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เข้าวังมาเพื่อพบฝ่าบาทและหวังว่าฝ่าบาทจะทรงพิจารณาพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้ค่อยๆ สงบลง พระองค์วางใจลงเพราะไม่ใช่หนานกงเย่
“ยกขึ้นมา”
ขันทีตกใจจนตัวสั่น จักรพรรดิอวี้ตี้จึงตรัสออกไปว่า “ลงไปรับมา”
ขันทีได้ยินเข้าจึงนึกขึ้นว่าเสียงของจักรพรรดิอวี้ตี้นั้นราวกับเสียงของเสือที่จู่ๆ ก็คำรามขึ้นมาในภูเขาป่าลึก ที่ได้ยินแล้วต้องสงสัยจนตัวสั่น เขารีบลุกขึ้นไปรับฎีกาและส่งมอบให้กับจักรพรรดิอวี้ตี้
จักรพรรดิอวี้ตี้เปิดฎีกาออกมาและจ้องมองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กล่าวโทษฮองเฮา?”
จักรพรรดิอวี้ตี้โยนฎีกาลงบนพื้นและตบลงไปที่โต๊ะ เสี่ยวกั๋วจิ้วเห็นดังนั้นจึงรู้สึกตกใจและเหลือบมองไปยังหนานกงเย่ที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ และรู้สึกโมโหเขา
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ขณะนี้ถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก หากไม่ทำการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด เกรงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในวังหลังอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวกั๋วจิ้วยังคงฝืนพูดออกไป
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปยังหนานกงเย่ “เรื่องนี้เป็นความคิดของเจ้าหรือ?”
“กระหม่อมไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ!” หนานกงเย่รีบก้มหน้าพูดปฏิเสธ
จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวอย่างเย็นชา “นอกจากข้าแล้ว ใครก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะกล่าวโทษฮองเฮาได้ นางเป็นผู้หญิงของข้า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าในการกล่าวโทษได้อย่างไร?”
จักรพรรดิอวี้ตี้ปัดข้าวของที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมดกระเด็นตกลงมาด้วยความโกรธ จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้นและตรัสว่า “เจ้ามาเพราะเรื่องที่ฮองเฮาตบพระชายาเย่ใช่หรือไม่? เจ้าเข้ามาสิ ข้าให้เจ้าตบข้า ดูว่าเจ้าจะกล้าหรือไม่? ดูว่าเข้าจะมีความกล้านี้หรือไม่
ข้ายังไม่ตายเลย แต่เจ้ากลับต้องการกล่าวโทษฮองเฮา หากข้าตายไป นางไม่มีลูกสักคน เจ้าก็ต้องการตายให้ได้เลยอย่างนั้นหรือ
เดิมทีข้าคิดว่าให้นางเลี้ยงดูเจ้าเพื่อเห็นแก่ที่ข้ารักและเอ็นดูเจ้า เจ้าก็จะปฏิบัติต่อนางอย่างดี
ไม่คิดเลยว่าตบไปเพียงสองครั้ง ก็สามารถทำให้ข้าเห็นความใจดำอำมหิตของเจ้าได้!
พี่สะใภ้ใหญ่ที่เหมือนกับแม่ นางตบพระชายาของเจ้า คิดว่าไม่มีเหตุผลสักนิดเลยหรือ?
ข้าเป็นจักรพรรดิ นางเป็นฮองเฮาของข้าก็เท่ากับเป็นแม่ของอาณาจักรแห่งนี้ แต่เจ้ากลับมีความคิดเช่นนี้ ในสายตาของเจ้ายังมีข้าและกฎหมายจักรพรรดิอยู่บ้างหรือไม่?”
หนานกงเย่กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฐานะยศตำแหน่งใดๆ เรื่องที่เสี่ยวกั๋วจิ้วตรวจสอบมาได้นั้นมีความสำคัญและเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองต้าเหลียง ความรู้สึกของฝ่าบาทนั้นกระหม่อมสามารถรับรู้ได้ เหมือนกับที่ฝ่าบาทตรัสไว้ ฮองเฮาตบอวิ๋นอวิ๋นสองครั้ง รอยตบนี้ตบลงไปในใจของกระหม่อม กระหม่อมราวกับถูกเข็มทิ่มแทงเข้าไปในใจ และสามารถรับรู้ความรู้สึกนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ”
“หนานกงเย่……เจ้ากล้าทำการกบฏวังหลวง?”
จักรพรรดิอวี้ตี้ตะโกนออกมา หนานกงเย่ก้มหน้าลง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ การกล่าวโทษฮองเฮาไม่ใช่เรื่องของกระหม่อมแต่เพียงผู้เดียว ฝ่าบาทจะย้ำแต่กระหม่อมเพื่อประโยชน์อันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าคิดว่าเป็นเจ้า หรือเจ้าคิดว่าเป็นข้า เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนข้า หรือเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระชายาของเจ้ากันแน่?”
“ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้แสดงว่าไม่ต้องการตรวจสอบเรื่องของฮองเฮาแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“ฝ่าบาทไม่ต้องการอาณาจักรผืนแผ่นดิน แต่กลับยอมให้กับหญิงสาวที่รักเพียงคนเดียว กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ! แต่กระหม่อมยังมีสิ่งที่ต้องพูดออกมา วังหลวงของฝ่าบาทหลายปีมานี้เงียบเหงาลงและไม่มีผู้สืบทอดราชสกุล ทั้งหมดนี้ก็เป็นการกระทำของฮองเฮา ถึงแม้กระหม่อมจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ได้ จึงไม่เข้าไปทำการใดๆพ่ะย่ะค่ะ
ฝ่าบาท……กระหม่อมกราบทูลขอลาออกจากการเป็นขุนนางพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่ยกชายชุดขึ้นและคุกเข่าลงคำนับศีรษะลงกับพื้นสามครั้งจากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินออกไป
เสี่ยวกั๋วจิ้วหันกลับไปมอง เขาได้เดินออกไปแล้ว
เสี่ยวกั๋วจิ้วกล่าวว่า “กระหม่อมกราบทูลลาพ่ะย่ะค่ะ!”
เสี่ยวกั๋วจิ้วหันหลังกลับและเดินออกไป จักรพรรดิอวี้ตี้เรียกเขาไว้ “กลับไปเกลี้ยกล่อมเขา ให้เขากลับมาทำงานให้กับข้า และอย่าสร้างเรื่องอะไรอีก
บอกกับเขาว่า เรื่องที่ฮองเฮาตบพระชายาเย่นั้น ข้าได้สั่งให้กักขังฮองเฮาแล้ว”
เสี่ยวกั๋วจิ้วหันกลับ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีคำถามแต่ไม่กล้าถามพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องในฎีกาน่ะหรือ ข้ารู้แล้ว”
“……กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เสี่ยวกั๋วจิ้วหยิบฎีกาที่พื้นขึ้นมาและหันหลังเดินกลับออกไป
เมื่อออกมาจากประตูก็ได้เห็นหนานกงเย่ที่เดินไปไกลแล้วและได้แต่ถอนหายใจและชี้ออกไป “จับไว้!”
หนานกงเย่ถูกขันทีและทหารองครักษ์จับตัวไว้ เขาหันกลับไปมองเสี่ยวกั๋วจิ้วที่กำลังเดินเข้าไปหาเขา
“เรื่องนี้ไม่มีใครยอมถอยลงได้ พระองค์เป็นถึงจักรพรรดิ การรับฟังพระองค์เป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่เจ้ากลับโยนทิ้งเรื่องที่สมควรทำไป เจ้าช่างอกตัญญูเสียจริง!”
“เป็นของพระองค์ก็ควรเป็นของพระองค์ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?” หนานกงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เสี่ยวกั๋วจิ้วรู้สึกช่วยไม่ได้
“พูดเหมือนกับว่าข้าก่อเรื่องขึ้นหรือติดค้างอะไรเจ้า
แต่เพื่อเรื่องตบหน้านั้น สมควรแล้วหรือ?
เรื่องของฮองเฮาไม่ใช่เป็นเรื่องไม่กี่วัน แต่เจ้ากลับพูดขึ้นมาในตอนนี้ เจ้าช่างร้ายกาจโดยไม่ต้องคาดเดา
หากเจ้าตรวจสอบอย่างอื่นขึ้นมาได้ ก็เป็นเรื่องอื่นไปและคงไม่มีอะไร
แต่วันนี้เจ้ากลับนำเรื่องนี้มา และได้ทำให้จักรพรรดิทรงพิโรธ
เจ้าก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามของพระองค์ ทำไมถึงยังไม่ปล่อยวางลงอย่างนั้นหรือ?”
“ข้ายังมีธุระต้องรีบกลับไป อย่าพูดเรื่องนี้กับข้าอีก” หนานกงเย่ก้าวเท้าออกไป แต่ถูกเสี่ยวกั๋วจิ้วขวางไว้
“ฝ่าบาทให้ข้ามาบอกเจ้าว่าฝ่าบาทได้กักขังฮองเฮาแล้ว และต้องการให้เจ้ากลับไปทำงาน และห้ามก่อเรื่องอีก” เสี่ยวกั๋วจิ้วทำอะไรไม่ได้ จึงทำได้เพียงบอกต่อคำพูดของจักรพรรดิ
“ฝ่าบาทกักขังก็เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ความโปรดปรานของฝ่าบาทนั้นคือตลอดชีวิต ฝ่าบาทรู้จักเจ็บ คิดว่าข้าไม่รู้จักเจ็บหรืออย่างไร?
สายลับของเจ้าในการบริหารนั้นมีอยู่ทุกที่ เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าฮองเฮาทำร้ายนางซ้ำๆ ซากๆ?” หนานกงเย่ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกไม่เป็นธรรม และไม่ต้องการพูดอีก หลังจากนั้นจึงไม่พูดอะไรอีก
เสี่ยวกั๋วจิ้วเดินตามหลังอย่างรีบร้อน “นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้เจ้าก็สามารถอดทนมาได้ ทำไมครั้งนี้ถึงไม่ทนแล้วล่ะ?”
หนานกงเย่ยกมือขึ้นและหันกลับมา และเกือบต่อยเสี่ยวกั๋วจิ้ว
“ข้าอยากจะต่อยเจ้าให้ตายไปเลยจริงๆ วันไหนที่เจ้ามีภรรยาเจ้าก็จะรู้เอง” หนานกงเย่วางมือลง ไม่อยากจะพูดอะไรอีกแล้ว
เสี่ยวกั๋วจิ้วกลับกล่าวขึ้นมาว่า “พวกเจ้าสองคนต่างกันตรงไหน ฝ่าบาทก็ปกป้องผู้หญิงของพระองค์ เจ้าก็ปกป้องผู้หญิงของเจ้า
อย่าบอกข้าว่าไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรไม่เหมือนกัน เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงของเจ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนเดิมของเขาเมื่อหลายปีที่แล้ว และเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงของเขาที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ผู้หญิงของเจ้าที่เป็นอยู่ตอนนี้?”
“อย่ามาพูดคำศัพท์วกไปวนมากับข้าเช่นนี้ หากข้าจะเล่นกับเจ้าจริงๆ ละก็ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าแม้แต่นิด”
อารมณ์ของหนานกงเย่ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ จากนั้นจึงหันกลับเดินออกไป เสี่ยวกั๋วจิ้วทำอย่างไรก็ไม่สามารถขวางเอาไว้ได้ จึงไม่พูดอะไรมาก และเดินขึ้นรถม้าไป
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว จากนั้นจึงลุกขึ้นมาคลุกผ้าและมองคนที่เดินเข้ามา
“ไปไหนมาหรือ ทำไมถึงโมโหเช่นนี้เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นพิงไปที่หัวเตียงด้วยความรู้สึกแปลกใจ
หนานกงเย่ยืนถอดเสื้อผ้าอยู่ที่หน้าประตูและแขวนไว้ที่ประตูก่อนจะเดินไปล้างตัว จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาฉีเฟยอวิ๋นและเด็กๆ
ฉีเฟยอวิ๋นรับรู้ถึงความโกรธของหนานกงเย่ได้ เขาไม่ตอบก็เท่ากับว่ามีปัญหา
“ท่านอ๋องเพคะ ท่านคิดว่าจะไม่พูดแล้วใช่หรือไม่เพคะ?” ฉ๊เฟยอวิ๋นยังคงซักไซ้ หนานกงเย่กลับรู้สึกผิด
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่จำเป็นต้องพูด ดึกมากแล้ว พักผ่อนเถอะ”
หนานกงเย่ขึ้นเตียงมาและกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงกอดคอของหนานกงเย่ไว้และกล่าวว่า “ท่านอ๋องเพคะ ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่ไม่ทำร้ายโลกและผู้อื่น หม่อมฉันจะยืนเคียงข้างท่านอ๋องเพคะ แต่หากท่านไม่บอกหม่อมฉัน เช่นนั้นก็อย่าถามซักไซ้หม่อมฉันในภายหลังนะเพคะ”
“เช่นนั้นคงไม่ได้” หนานกงเย่นอนลงอย่างไม่มีความสุขเท่าไรนัก
“ท่านอ๋องเพคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นพลิกตัวมากอดหนานกงเย่ หนานกงเย่จ้องมองด้วยความละมุนในอ้อมแขนอย่างยากที่จะควบคุมได้ จากนั้นจึงได้พูดความจริงออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิด “พูดเช่นนี้ ท่านอ๋องออกจากราชการอีกแล้วหรือเพคะ?”