“ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าจะให้ลูกสาวของเจ้าแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี?” พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ย่ำแย่ยิ่งนัก
“หากฝ่าบาททรงรับปากกับกระหม่อมว่าต่อไปภายภาคหน้าฝ่าบาททรงมีพระธิดาจะทรงให้พระธิดาไปอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรีแต่ไม่ใช่บุตรีของชินอ๋องจวิ้นอ๋องไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ กระหม่อมก็เต็มใจยินยอมพะย่ะค่ะ”
ประโยคเดียวซึ่งบีบบังคับองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ให้ทรงตรัสสิ่งใดไม่ออกและพระพักตร์ก็ซีดเซียว
ต่อหน้าผู้คนในราชสำนักองค์จักรพรรดิอวี้ตี้อยากจะลากหนานกงเย่ออกไปประหารซะ
“ราชครู ท่านหล่ะ?”
ราชครูจวินก้มศีรษะลงเป็นเวลานาน: “ฝ่าบาท ที่อ๋องเย่กังวลนั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลพะย่ะค่ะ”
“ฮึ่ม ดูเหมือนว่าทั้งฝ่ายพลเรือนและการทหารทั่วราชสำนักล้วนเข้าข้างอ๋องเย่”
ราชครูจวินก้มศีรษะ: “กระหม่อมตื่นตระหนกพะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปยังอ๋องตวน: “อ๋องตวนเจ้าร่วมสนุกสิ่งใดด้วย?”
อ๋องตวนกล่าวว่า: “กราบทูลฝ่าบาท ฉวนเอ๋อร์มีข่าวดีแล้วพะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตกตะลึง
ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊รวมถึงอันกั๋วกงอาวุโสที่เข้าประชุมขุนนางผู้ยากยิ่งที่จะขอสิ่งใดซึ่งเป็นเวลาเนิ่นนานถึงได้อ้าปากพูด ความรู้สึกนึกคิดนั้นก็ยังวุ่นนัก
ดูไม่ออก เริ่มมีความคิดความอ่านหรือ?
แววตาอันไม่พึงพอใจของฉีกั๋วกงใช้เวลานานกว่าจะหายไป ช่างเถอะ!
เห็นเขาขลาดเขลาแต่ในเรื่องนี้กลับกระตือรือร้นนัก
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกริ้วและตรัสว่า: “การแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีมีไว้เพื่อมิตรภาพระหว่างสองเมืองไม่ใช่อย่างที่พวกเจ้าคิดเช่นนั้น การแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย ในสมัยโบราณมีหญิงสาวที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีจำนวนมากที่มีความสุข”
“ขุนนางประวัติศาสตร์จะเขียนประวัติศาสตร์ตามพระบัญชาของฝ่าบาทเท่านั้น จะมีสตรีสักกี่คนที่สามารถถูกบันทึกไว้อย่างแท้จริง” หนานกงเย่ยังคงไม่ยอมถอยให้
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกริ้วและตรัสว่า: “เรื่องระหว่างสองเมืองไม่ใช่เรื่องเล็ก หากว่าสามารถแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีได้ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง ดีกว่าที่ทั้งสองเมืองจะสู้รบกันตลอดทั้งปี”
“หากว่าฝ่าบาททรงยืนหยัดที่จะยินยอมในเรื่องนี้ เช่นนั้นกระหม่อมเลือกชายหนุ่มเยาว์วัยที่พร้อมสมรสของราชวงศ์จากเมืองอู๋โยวเข้าสู่กรมพิธีการเพื่อตรวจสอบ จากนั้นฝ่าบาททรงทอดพระเนตรซะก่อน คัดผู้ถูกเลือกและท้ายที่สุดก็ให้หญิงสาวผู้แต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีเลือก หากหญิงสาวเลือกผู้ที่ชอบพอ คนผู้นี้ต้องเข้าร่วมราชวงศ์เมืองต้าเหลียงเราและแต่งงานเป็นสามีของหญิงสาวเมืองต้าเหลียง การแต่งงานครั้งนี้ถึงจะได้รับอนุญาต!”
“บังอาจ!” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกริ้วยิ่งนักและทรงชี้ไปยังหนานกงเย่: “เจ้าต้องการให้ทั้งสองเมืองสู้รบกัน เจ้าต้องการนำภัยพิบัติมาสู่บ้านเมืองและราษฎร!”
หนานกงเย่หยิบฎีกาออกมา: “นี่คือฎีกาของกระหม่อมพะย่ะค่ะ”
“ฎีกาของเจ้าก็คือให้เมืองต้าเหลียงเราเปิดศึก” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกริ้วจนจ้องมองตาเขม็ง
หนานกงเย่วางฎีกาลงจากนั้นถอดชุดบนร่างลงมา ปลดมงกุฎสีม่วงทองบนศีรษะ: “กระหม่อมไม่เป็นขุนนางแต่เป็นสามัญชนก็ได้ แต่กระหม่อมไม่อนุญาตให้บุตรสาวแต่งงานไปไกลถึงเมืองอื่นเพื่อเป็นเบี้ยล่าง! อย่าว่าแต่ป่าเถื่อนไม่มีเมตตา แม้ว่าเขาจะมีใจก็ใช่ว่าจะเข้าตากระหม่อมได้
กระหม่อมเป็นบุรุษแต่ไม่สามารถปกป้องภรรยาและลูกเอาไว้ได้
กระหม่อมกำเนิดมาก็เพื่อบ้านเมืองและราษฎร แต่ว่าแม้แต่สตรีก็ปกป้องไม่ได้แล้วจะเพื่อบ้านเมืองและราษฎรได้เช่นไร?
กระหม่อมทูลลา! ”
หนานกงเย่ลุกขึ้นและจากไป องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงไม่รอให้เขาเดินไปถึงหน้าประตูก็ทรงตรัสอย่างโกรธเคือง: “พวกเจ้า อ๋องเย่ลบหลู่เบื้องสูงโบยห้าสิบที”
หนานกงเย่หันกลับมาเหลือบมองยังองค์จักรพรรดิอวี้ตี้แล้วถูกคนลากไปโบยอยู่ฝั่งหนึ่งสักพัก
“อ๋องตวน เจ้าหล่ะ? ยังคงยืนหยัด!”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามอย่างโกรธเคือง อ๋องตวนก็ปลดชุดออกแม้ว่าจะอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง เช่นไรก็ถูกกระดานโบยผู้ใดยอมถูกโบยหล่ะ?
อ๋องตวนวางมงกุฏสีม่วงทองลงจากนั้นลุกขึ้นเดินไปยังด้านข้างของอ๋องเย่แล้วนอนคว่ำอยู่บนเก้าอี้เพื่อรอคนมาโบย!
“ดี พวกเจ้าลงโทษโบยอ๋องตวนหนึ่งร้อยที!”
โบยท่านอ๋องทั้งสองคนแล้ว องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองผู้คนบนพื้นแล้วทรงถามว่า: “ยังมีผู้ใดอีก?”
เว่ยหลินชวนลุกขึ้นแล้วออกมา ถอดชุดขุนนางแล้วไปรอรับการถูกโบย
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกริ้วและชี้ไปยังเว่ยหลินชวน: “เจ้าก็ให้กำเนิดลูกสาวด้วยหรือ?”
“กราบทูลฝ่าบาทได้เชิญคนมาดูแล้วพะย่ะค่ะ ฉายเอ๋อร์ได้ลูกสาว” เหตุผลนี้ไม่มีผู้ใดแล้ว องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ได้ทรงถูกทำให้กริ้วจนตายหรือ ดูราวกับว่าให้กำเนิดบุตรสาวแล้วก็ต้องแต่งงานเชื่อมสัมพัธไมตรีเช่นนั้น
อันกั๋วกงอาวุโสมองเว่ยหลินชวนด้วยแววตาอันพึงพอใจแต่อ๋องตวนรู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นเข้าและเกือบจะกระโดดขึ้นมาให้โบยอีกหนึ่งร้อยที
หนานกงเย่จับประตูยืนขึ้นมาส่วนองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรเขาแล้วก็ทรงกริ้ว: “นำตัวเขาเข้าไปในคุก ไม่มีรับสั่งของข้ามิให้ผู้ใดเยี่ยม ”
หนานกงเย่ถูกนำตัวไป ส่วนอ๋องตวนนั้นอาลัยอาวรณ์ที่จะไม่ได้กลับไป แต่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ได้ทรงเห็นเขาอยู่ในสายตาเลย พร้อมทั้งทรงทอดพระเนตรไปยังเว่ยหลินชวนผู้ซึ่งถูกโบยจนสลบไปโดยตรง
หลังจากโบยทั้งสามคนแล้วองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ได้พระพักตนร์คืนมาบ้าง จากนั้นทอดพระเนตรไปยังขุนนางทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างเมินเฉยแล้วประทับนั่งลงบนลบัลลังก์มังกรแล้วทรงถามว่า: “ยังมีผู้ใดต้องการจะถวายฎีกาอีก?”
“กระหม่อมไม่พะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมไม่พะย่ะค่ะ!”
ขุนนางทั้งหลายต่างห่วงแต่ความสงบสุขของตน ไม่มีผู้ใดยอมออกหน้า
ราชครูจวินครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเดินออกไป: “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกว่าอ๋องเย่นั้นมุทะลุ”
“หือ?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงปวดพระเศียร แต่ละคนนั้นไม่คิดพิจารณาเพื่อเขาเลย
ราชครูจวินกล่าวต่อว่า: “การแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีมิใช่ทางแก้ ก่อนหน้านี้เมืองอู๋โยวได้สร้างสันติภาพกับเมืองของเราและสัญญาว่าองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวจะไม่ละเมิดต่อเมืองต้าเหลียงเรา
ในตอนนี้ใช้นามการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีแต่กองทัพห้าแสนคนกดดันชายแดน เห็นชัดว่าดูหมิ่นเมืองต้าเหลียงเรา หากว่ายินยอมเชื่อมสัมพันธไมตรีในครั้งนี้ขอถามหน่อยว่าเมืองทั้งหลายโดยรอบเมืองต้าเหลียงทั้งสี่ทิศจะทำเช่นไรดี?
หากพวกเขาเหล่านั้นก็เป็นเช่นนี้ เพียงแค่จัดกองทัพที่ชายแดนแล้วให้ส่งหญิงสาวไป เช่นนั้นแล้วเมืองต้าเหลียงจะมีหน้ายืนหยัดต่อทั้งสี่ทิศได้เช่นไร? ”
“……”ท้ายที่สุดก็เป็นราชครูจวิน จักรพรรดิอวี้ตี้นั้นยังคงให้ความเคารพต่อพระอาจารย์
“ฝ่าบาท กระหม่อมก็คิดว่าอ๋องเย่ไม่ผิด การแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีใช่ว่าไม่ได้แต่แต่งเข้ามาถึงจะได้ หากทำไม่ได้ก็เพียงแค่สู้รบกันเท่านั้น
จวนฉีกั๋วกงทั้งชนชั้นบนล่าง ยอมเป็นหยกที่แตกละเอียดมากกว่ากระเบื้องที่สมบูรณ์”
ฉีกั๋วกงกล่าวจบจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงขมวดพระขนง: “ข้านั้นสมัครใจที่ใดกัน แต่ในเวลานี้เมืองต้าเหลียงเราลำบากรอบทิศมิใช่เวลาแก่การสู้รบ นอกจากนั้นการสู้รบเป็นเรื่องที่ใช้กำลังคนและกำลังทรัพย์และขาดแคลนเสบียงอาหาร หากว่าสู้รบกันจริงๆผู้ที่เป็นทุกข์ก็คือราษฎร
ราษฎรจะไม่เห็นใจข้า พวกเขาจะรู้สึกว่าหากว่าสตรีผู้หนึ่งสามารถยุติสงครามได้ก็เป็นเรื่องดี”
“ฝ่าบาท กรมการคลังสามารถใช้เสบียงอาหารได้หลายล้านตัน” อาลักษณ์กรมการคลังเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นานแต่กลับมีความรับผิดชอบนัก
อ๋องตวนถูกโบยเจ็บปวดเจียนตายก็คว้าขอบประตูแล้วลุกขึ้น: “จวนอ๋องตวนสามารถตระเตรียมเสบียงอาหารได้เพียงพอ หากเกิดสงครามขึ้นจริงข้านั้นมีวิธีเตรียมเสบียงอาหารให้เพียงพอได้อยู่แล้ว”
“ฝ่าบาท แม่ทัพหวาอ๋องหย่งจวิ้นขออนุญาตเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนักพะย่ะค่ะ”
“เบิกตัว!”
แม่ทัพหวาแก่ชรามากแล้ว เขาเป็นพี่ชายของพระมเหสีหวาซึ่งประจำการอยู่ที่ชายแดนโดยตลอด ครั้งนี้ที่กลับมาก็เพราะเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีของเมืองอู๋โยว
อ๋องหย่งจวิ้นกลับมาพร้อมกันหลังจากได้รับจดหมายจากแม่ทัพหวา
ทั้งสองเดินทางทั้งวันทั้งคืนเข้าเมืองมาก็มิได้กลับจวน มาทั้งที่สวมชุดเกราะอยู่
เข้าประตูมาทั้งสองก็คุกเข่าถวายบังคม
แม่ทัพหวาขอประธานอภัยก่อน: “กระหม่อมไม่ได้รับพระบัญชาก็กลับมาเมืองหลวงขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัยโทษด้วยพะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมก็เช่นเดียวกันพะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ยิ่งทรงปวดพระเศียรมากขึ้น: “แม่ทัพทั้งสองนั้นกลับมาในเวลานี้ แม้แต่ชุดเกราะยังไม่ได้เปลี่ยนด้วยซ้ำคิดว่ายังไม่ได้กลับจวน”
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมมาด้วยเรื่องเมืองอู๋โยวพะย่ะค่ะ กองทัพของเมืองอู๋โยวกดดันอยู่ที่ชายแดนดูแคลนเมืองต้าเหลียงเรา เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีเป็นเพียงข้ออ้างซึ่งเริ่มการสู้รบถึงจะเป็นจุดประสงค์พะย่ะค่ะ
กระหม่อมยินดีสั่งกำลังทหารจัดการเมืองถาถานแล้วเหยียบเมืองถาถานให้ราบและโค่นล้มจวินโม่ซ่างองค์รัชทายาทแห่งเมืองอู๋โยวเป็นประการแรก เพื่อปกป้องความสงบสุขของราษฎรเมืองต้าเหลียงเรา”
“……”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงสงบเงียบ