สงครามระหว่างทั้งสองแคว้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และหนานกงเย่ก็เริ่มยุ่งอยู่กับการโยกย้ายการทำสงคราม หนานกงเย่ไปเข้าเฝ้าแต่เช้า และราชครูจวินก็ไปพร้อมกันกับเขาด้วย
รถม้าคันหนึ่งไปข้างหน้า และรถม้าอีกคันก็ตามหลังไป แต่รถม้าคันหนึ่งในนั้นว่างเปล่า
เมื่อมาถึงประตูวัง ทั้งสองก็ออกมาจากรถม้าของราชครูจวินด้วยกัน
หน้าประตูวังยัวมีรถม้าคันอื่นอีก และดูเหมือนว่าในตอนนี้ราชครูจวินจะเอนเอียงไปทางอ๋องเย่แล้ว เช่นนั้นการทำสงครามจึงไร้ซึ่งทางหนีทีไล่ใด ๆ
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมาในตอนเช้า นางก็ไปหาลูก ๆ ก่อนที่จะไปตรวจดูอาการป่วยให้ต้ากั๋วจิ้วและคนอื่น ๆ เมื่อกลับมาและไม่เป็นไร นางก็เริ่มทำการสอบสวนอยู่หลายครั้ง หลังจากเดินไปเดินมา และฉีเฟยอวิ๋นก็กลับมาจากข้างนอกจวน
เมื่อกลับมาถึงหน้าประตู นางก็เห็นเวยฉือข้าหลวงประจำเมืองหลวงรออยู่ที่หน้าประตู
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองดูเวลา ในเวลานี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
“ข้าหลวงประจำเมืองเวย”
ฉีเฟยอวิ๋นคำนับเล็กน้อย และเวยฉือก็รีบคารวะ:“พระชายาเย่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ กระหม่อมตื่นตระหนก”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้พูดอะไรมาก นางมองไปที่เวยฉือและถามว่:“ข้าหลวงประจำเมืองเวยมาหาท่านอ๋องเย่หรือ?”
“กระหม่อมไม่ได้มาหาท่านอ๋องเย่ แต่มาขอคำแนะนำจากพระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวถูกคุมขังอยู่ในคุก และจะจัดการกับผู้ที่ไร้ที่มาที่ไปผู้นั้นได้อย่างไร?”
หากเวยฉือไม่มา ฉีเฟยอวิ๋นก็เกือบจะลืมไปแล้ว ยังมีผู้ที่ไร้ที่มาที่ไปผู้นั้นอีกคน!
ฉีเฟยอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางนึกถึงเรื่องที่คนผู้นั้นต้องการจะฆ่านาง เช่นนั้นเป็นใครกันที่ต้องการจะฆ่านาง?
“จวินโม่ซ่างถูกคุมขังไว้ชั่วคราว หากเขาไม่สร้างปัญหาก็ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ และข้าจะไปดูผู้ที่ไร้ที่มาที่ไปผู้นั้นในภายหลัง ข้าหลวงประจำเมืองเวย ท่านกลับไปก่อนเถอะ”
“พระชายา จวินโม่ซ่างต้องการจะพบพระชายาพ่ะย่ะค่ะ และด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ยอมกินข้าว”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปที่เวยฉือ:“ตายแล้วหรือไม่?”
น้ำเสียงแผ่วเบา แต่ดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นมาก เวยฉือยื่อทื่ออยู่ครู่หนึ่ง
“ยังพ่ะย่ะค่ะ”
“หากยังก็ไม่ต้องมาบอกข้า สถานะขององค์รัชทายาทนั้นสูงส่ง แน่นอนว่าเขามีอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปเมืองถาถ่านกับท่านอ๋องเย่ หากเขาต้องการจะฆ่าข้า เขาคงทำไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาตกอยู่ในมือของข้า ไม่ต้องใจเขา หากเขายังไม่ตายก็ไม่ต้องไปสนใจ จะดีหรือร้ายก็เป็นเรื่องของเขา หากเข้าสมควรที่จะมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นก็ให้เขาอยู่ แต่หากเขาไม่สมควรอยู่ บางทีการไม่กินข้าวก็อาจจะทำให้เขาตายได้”
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับเข้าไปจวน เวยฉือตื่นตระหนกจนเหงื่อท่วม ดูเหมือนว่าข่าวลือที่ว่าพระชายาเย่ทรงเป็นคนโหดเหี้ยมนั้นจะเป็นความจริง
เวยฉือหันหลังจากไป และฉีเฟยอวิ๋นก็ไปดูบุตรอันเป็นที่รักของนาง
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและอุ้มเจ้าห้าขึ้นมา นางมองไปที่เจ้าเสือน้อย
เจ้าเสือน้อยตัวนี้หยิ่งผยองเหมือนเจ้านายของมัน จากนั้นก็บิดตัวมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น และนอนลงบนตักของฉีเฟยอวิ๋น ราวกับว่าเป็นเด็กอายุหนึ่งขวบที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ปากของมันแนบลงไปบนขาของฉีเฟยอวิ๋น และดวงตาของเจ้าเสือน้อยก็จ้องไปที่ฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็เลียปากเป็นครั้งคราว
เจ้าห้านอนอยู่ในอ้อมแขนของนางอย่างสงบนิ่ง และลืมตาขึ้นมามองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดูเหมือนหลับไปอีกครั้ง
และไม่รู้ว่าลูกคนอื่น ๆ รู้สึกอิจฉาเจ้าห้า เจ้าดูเขาสิ มีทั้งแม่และเจ้าเสือน้อย แต่พวกเขาไม่มีอะไร
ชะตาขีวิตของเขาดีมากขนาดนั้น แต่ทำไมพวกเขากลับไม่มีอะไรเลย
เด็กน้อยที่น่าสงสาร ทำได้เพียงทำตาปริบ ๆ ด้วยความอิจฉา
จิ้งจอกหางสั้นและเจ้าอีกาน้อยก็ดูเหมือนจะชอบเจ้าห้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เวลาที่เจ้าห้านอนหลับทั้งสองก็ไม่ส่งเสียง เพราะกลัวว่าจะรบกวนการนอนหลับของเจ้าห้า และเมื่อเจ้าห้าตื่นขึ้นมา พวกมันก็จะเริ่มต่อสู้กัน ราวกับว่าพวกมันกำลังเอาอกเอาใจเจ้าห้า เมื่อพวกมันต่อสู้กัน เจ้าห้าก็จะอารมณ์ดี
แต่เจ้าเสือน้อยเป็นคนสนิทของเจ้าห้า และมีเพียงเจ้าเสือน้อยที่สามารถนั่งต่อหน้าเจ้าห้าได้ และเป็นเครื่องมือที่ให้ความอบอุ่นแก่เจ้าห้า ตราบใดที่เจ้าห้าอยู่ข้างกายของเจ้าเสือน้อย เขาก็จะไม่รู้สึกเย็น
ฉีเฟยอวิ๋นลูบหัวของเจ้าห้า:“รอสองวันจะพาเจ้าไปเดินเล่น”
เจ้าเสือน้อยเกาหัวและนอนลงบนตักของฉีเฟยอวิ๋นอย่างเชื่อฟัง ราวกับกำลังสาบานต่อตำแหน่งหน้าที่ของตน
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่ครู่และส่งมอบเจ้าห้าให้กับอวิ๋นจิ่น และต้องการจะไปดูเฟิงอู๋ชิง แต่เมื่อนางจะส่งมอบเจ้าห้าให้กับิวิ๋นจิ่น เจ้าห้าก็ลืมตาขึ้น
เจ้าห้าหยุดร้องไห้แล้ว แต่ดวงตาของเขาดูเหมือนจะกำลังพูด และรอให้ฉีเฟยอวิ๋นรับปากว่าจะพาเขาออกไปด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก และแสร้งทำเป็นว่าเจ้าห้าเป็นน้องชายคนสุดท้อง ดังนั้นนางจึงต้องพาเขาออกไปด้วย
“แม่ต้องออกไปข้างนอก และจะพาเจ้าห้าไปด้วย เจ้าห้ายังเล็ก พวกเจ้าเป็นพี่ชายต้องยอมให้น้อง” ฉีเฟยอวิ๋นหาข้ออ้างที่จะลุกขึ้นยืนและอุ้มเจ้าห้าเตรียมที่จะออกไป ลูกคนอื่นๆ มองไปทางฉีเฟยอวิ๋นด้วยความอิจฉาริษยา
ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกละอายใจ นางไม่เคยคิดว่าการให้กำเนิดบุตรหลายคนจะต่างกันมากเช่นนี้
เพียงเพราะเขาเกิดที่หลังสุด นางจึงรักและเอ็นดูเขามาก และมันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับบุตรคนอื่น ๆ
เจ้าห้าพึงพอใจและนอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของแม่ จากนั้นก็ให้ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มกลับไปที่สวนดอกกล้วยไม้
แม่ทัพฉีเหลือบมองบุตรสาวของเขา และจองมองไปที่เด็กคนอื่น ๆ จากนั้นก็อุ้มเจ้าใหญ่ขึ้นมาและตบเบา ๆ อุ้มเจ้ารองขึ้นมาและตบเบา ๆ ……
บุตรสาวไม่ชอบแต่เขาชอบ
อวิ๋นจิ่นพยักหน้าให้แม่ทัพฉี และส่งเด็กให้แม่ทัพฉี จากนั้นก็หันหลังออกไปข้างนอก และไปหาฉีเฟยอวิ๋น
“มีอะไร?” ฉีเฟยอวิ๋นถามไปพลางเปลี่ยนเสื้อผ้าไปพลาง ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีว่าหากอวิ๋นจิ่นไม่มีเรื่องอะไร นางก็จะไม่ออกมาจากเรือนจวินจื่อ หากไม่พูดเรื่องของเรือนจวินจื่อ ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องปกปิดท่านพ่อของนาง
อวิ๋นจิ่นกล่าวว่า:“มีข่าวคราวเกี่ยวกับยุทธภพเจ้าค่ะ มีคนทุ่มเงินเป็นจำนวนมากเพื่อลอบสังหารนายท่าน”
เจ้าห้าลืมตาขึ้นในทันที แล้วหลับตาลงอีกครั้ ราวกับตำหนิที่ตนเองเป็นกระต่ายตื่นตูม
ฉีเฟยอวิ๋นตบเจ้าห้าเบา ๆ น่าแปลก::“ใครกันที่เกลียดข้ามากขนาดนี้ และยังทุ่มเงินเป็นจำนวนมากเพื่อให้ฆ่าข้า?”
“เรื่องนี้ยังต้องตรวจสอบ แต่พบผู้ที่ทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อให้ลอบสังหารนายท่านแล้วเจ้าค่ะ”
“ใคร?” ฉีเฟยอวิ๋นสงสัย
“เป็นคนของหอทิงเฟิง”
“……”
เมื่อนึกถึงผู้ที่ไร้ที่มาที่ไปผู้นั้นแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าใจ!
“อวิ๋นจิ่น คนของหอทิงเฟิงนั้นยากที่จะรับมือใช่หรือไม่?” ก่อนหน้านี้ฉีเฟยอวิ๋นเคยได้ยินอวิ๋นจิ่นพูด แต่ตอนนั้นนางไม่ได้ใส่ใจ และนนตอนนี้ก็ไม่สามารถนิ่งดูดายได้
“อันที่จริงก็รับมือได้ไม่ยาก เพียงแต่ได้ยินมาว่าเจ้าหอของหอทิงเฟิงนั้น เป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนและยากที่จะพูด หากสามารถพูดโน้มน้าวเขาได้ก็ไม่มีอะไรยากเจ้าค่ะ”
“แต่เจ้ากับข้าล้วนแต่ไม่รู้จักเขา และจะหาเขาเจอได้อย่างไร?”
“ข้าสั่งให้คนไปรวบรวมภาพเหมือนเจ้าหอของหอชิงเฟิงแล้ว และเชื่อว่าจะพบในไม่ช้า”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น พวกเขาได้ส่งคนมาฆ่าข้าแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ข้ากับเจ้าห้าถูกลักพาตัว ไปก็เป็นฝีมือคนของหอชิงเฟิง หากไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นโง่เขลา และไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร เกรงว่าคงจะฆ่าข้าไปนานแล้ว
แต่ในตอนนี้เป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่หากสามารถรู้เรื่องของเฟิงอู๋ชิงจากคนผู้นี้ได้ ก็ง่ายที่จะพูดคุยกับเฟิงอู๋ชิง”
“นายท่าน เช่นนั้นท่านยังจะออกไปข้างนอกอีกหรือ?” อวิ๋นจิ่นเป็นกังวล
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน:“ข้าเป็นหมอ ไม่มีเหตุผลอะไรที่หมอไม่ควรจะออกไป อีกอย่างคนของหอทิงเฟิงต้องการจะฆ่าข้า หรือว่าหากข้าไม่ออกไป พวกเขาก็จะไม่ฆ่าข้างั้นหรือ?
เป็นไปไม่ได้!
ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ แล้วทำไมต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับพวกเขาด้วย?
จะดีหรือร้ายก็คงต้องลองดูถึงจะรู้
ฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็อุ้มเจ้าห้าไปที่คุก
นางจำได้ว่าคนผู้นั้นป่วยเป็นวัณโรค และไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?