ตอนที่ 1066 ความลับของเก้าดินแดน
แสงมงคลส่องลงมาจากฟ้า แสงอริยะดำรงนิรันดร์
กลางฟ้าดิน พลังกฎระเบียบนานาชนิดฉายสาดรังสีเปล่งปลั่งเป็นประกาย รวมตัวเป็นเงาร่างใหญ่โตเงาหนึ่งท่ามกลางเหล่าสายตาสั่นสะท้านที่จับจ้อง
เขาอาบชโลมด้วยกลิ่นอายนิจนิรันดร์ ยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งเทพไท้มาเยือน
ทุกคนอึ้งงั้น ตกละลึงอ้าปากค้าง ในการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดปรากฏการณ์ประหลาดน่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้
เงาร่างใหญ่โตนี้ยืนตระหง่านบนท้องฟ้าเหนือสนามประลองโชควาสนา มองลงมายังทุกคน น่าเกรงขามดุจเทพเทวาบรรพกาล
“การประลองรอบสุดท้ายเกี่ยวข้องกับทิศทางมหายุค ความหมายลึกล้ำ กฎเกณฑ์และการแพ้ชนะของการประลอง มีข้าเป็นผู้ตัดสิน”
เงาร่างใหญ่โตนี้ปกคลุมไปด้วยคลื่นกฎระเบียบไม่เสื่อมคลาย ยามพูดจากังวานสะเทือนเลือนลั่น ประหนึ่งเสียงสัทครรลองมหามรรคดังก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ดังสนั่นจนคนหูหนวกยังได้ยิน
ทุกคนสูดหายใจเยียบเย็น นี่… นี่เป็นอริยเทพองค์หนึ่งหรือ
คิดถึงจุดนี้ทุกคนล้วนจิตวิญญาณสั่นสะท้าน จากนั้นเลือดลมก็สูบฉีดด้วยความตื่นเต้น สีหน้าต่างแปรเปลี่ยนเป็นคลั่งไคล้ขึ้นมา
เขตหวงห้ามไร้มรณะถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเขตหวงห้ามทั้งห้าแห่งแดนชัยบูรพา ลึกลับไม่อาจหยั่งถึง โดยเฉพาะภูเขาเทพไร้มรณะแห่งนี้ เป็นแหล่งรวมโชควาสนาฟ้าดิน เต็มไปด้วยตำนานเหลือเชื่อมากมาย
ในอดีต ใครเคยได้เห็นภาพอัศจรรย์เช่นนี้กัน
ทุกคนสงบใจได้ยาก
“ข้าจะเบิกสมรภูมิ ‘เก้าดินแดน’ ให้พวกเจ้าทั้งสี่คน คะแนนที่พวกเจ้าได้จากการประลองครั้งนี้จะแปรสภาพเป็นประทับยุทธ์ จารลงบนสมรภูมิเก้าดินแดน!”
เงาร่างสูงใหญ่นั้นเปล่งประกายไปทั้งร่าง ยืนตระหง่านอยู่เช่นนั้น กลิ่นอายพาให้สรรพสัตว์ต่างหวาดกลัวแผ่กระจายออกมา
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ออกมา ทำให้ทั่วลานแตกตื่น หากไม่ถูกเงาร่างราวเทวะนั้นมองอยู่ พวกเขาคงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่กันไปนานแล้ว
สมรภูมิเก้าดินแดน!
ประทับยุทธ์!
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เวลานี้มีเพียงบุคคลรุ่นอาวุโสจากสำนักเก่าแก่บางคนที่จิตใจสั่นระรัวยกใหญ่ พวกเขาพอจะเคยได้ยินบันทึกที่กระจัดกระจายเกี่ยวกับ ‘สมรภูมิดินแดนใหญ่’ มาบ้าง
“สมรภูมิเก้าดินแดน… หรือจะเป็นเรื่องจริง บนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงดินแดนรกร้างโบราณ ยังมีดินแดนอื่นอยู่อีกหรือ”
ชายชราที่ใบหน้าซูบตอบผู้หนึ่งสีหน้าแปรปรวน จิตใจสั่นสะท้าน
“ในคัมภีร์โบราณตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้าเคยเอ่ยถึงว่า นี่เป็นสมรภูมิที่ผู้กล้าจากดินแดนต่างๆ แก่งแย่งอริยมรรค!”
“ใช่แล้ว ในลัทธิเทพต้นกำเนิดของข้าก็มีบันทึกไม่สมบูรณ์ทำนองนี้อยู่ เพียงแต่ส่วนมากกล่าวไว้ไม่ชัดเจน รางเลือนถึงที่สุด บันทึกที่ชัดเจนเพียงบันทึกเดียวก็คือวลีที่ว่า ‘นอกดินแดนรกร้างโบราณ ล้วนเป็นศัตรูต่างแดน’”
“เก้าดินแดน…”
ที่ตีนเขา ผู้อาวุโสบางคนกำลังแลกเปลี่ยนความเห็น ทันใดนั้นก็เกิดการเคลื่อนไหวครึกโครม ทุกคนต่างสีหน้าผันแปร
เรื่องนี้เลื่อนลอยและดูไม่เป็นจริง ทำให้สภาวะจิตของทุกคนไม่อาจสงบลงได้
หลายคนต่างแสดงสีหน้าประหลาด พวกหลินสวินทั้งสี่คนแม้สามารถช่วงชิงสี่อันดับแรกได้ แต่ก็เป็นเพียงในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เท่านั้น บนโลกนี้ยังมีบุคคลที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่ามากมาย
เช่นอวิ๋นชิ่งไป๋ เยี่ยนจั่นชิว…
รวมถึงคนเช่นหวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ!
ยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎเหล่านี้ก็แค่อายุมากกว่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในสนามประลองเหล่านี้เท่านั้น แต่ว่าด้วยเรื่องรากฐานพลังและพลังต่อสู้ ย่อมแข็งแกร่งยิ่งกว่า!
เงาร่างราวเทพเทวานั้นกลับจะเบิกทางให้สี่คนนี้ได้ประลองแข่งขันที่สมรภูมิเก้าดินแดน นี่… จะโอบอุ้มพวกเขาเกินไปแล้วกระมัง
“สมรภูมิเก้าดินแดนไม่ได้มีแห่งเดียว ไม่เพียงเป็นสนามประลองของผู้กล้าแห่งดินแดนหนึ่ง ยังเป็นสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎชั้นยอดมาสู้รบกัน ตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบันก็เปิดขึ้นน้อยครั้งมาก”
กลางห้วงอากาศเงาร่างสูงใหญ่กล่าวขึ้น เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นก้องกังวานในฟ้าดิน เข้าถึงก้นบึ้งจิตใจคน
นี่ทำให้บุคคลรุ่นอาวุโสจากสำนักโบราณที่อยู่ในที่นั้นต่างรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง เรื่องพรรค์นี้พวกเขาไม่เคยรู้โดยแน่ชัดจริงๆ ทำให้พวกเขาอับอายและตื่นตระหนก
“นอกจากนี้เมื่อเปิดการต่อสู้นอกดินแดน สมรภูมิเก้าดินแดนก็จะเป็นสถานที่ประลองแก่งแย่งความเป็นหนึ่ง และถูกมองว่าเป็น ‘สนามรบศักดิ์สิทธิ์’!”
เงาร่างสูงใหญ่นั้นมีน้ำเสียงน่าเกรงขาม เย็นชาและไม่มีความรู้สึกเจือปน
เมื่อพูดเช่นนี้ออกไป ครู่เดียวก็ก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนนับพัน
“สนามรบศักดิ์สิทธิ์หรือ” ในลานอึกทึกครึกโครม ผู้ฝึกปราณจากสำนักโบราณเหล่านั้นต่างรู้แล้ว
เกี่ยวกับสนามรบศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่ในสำนักโบราณล้วนมีการบันทึกไว้ในคัมภีร์และข่าวลือ ในช่วงเวลาอันยาวนานแต่ละช่วง สนามรบศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้น
มีเพียงผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่แท้จริงในดินแดนหนึ่งเท่านั้นถึงสามารถเข้าร่วมประชันอริยมรรคในสนามรบนั้นได้!
พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือ นี่เป็นการประชันระหว่างเหล่าบุคคลโดดเด่นที่สามารถเป็นผู้นำพายุคสมัยได้ เป็นการแย่งชิงของผู้กล้าในตำนานที่มีคุณสมบัติเหยียบย่างบนอริยมรรค สาดประกายเจิดจรัส!
ยิ่งเรียกได้ว่าเป็นการช่วงชิงกันของเหล่าปีศาจแห่งยุค อัจฉริยะชั่วนิรันดร์ และวีรชนไร้เทียมทานในใต้หล้า!
เมื่อพูดถึงสมรภูมิเก้าดินแดน ทุกคนอาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคย แต่สำหรับสนามรบศักดิ์สิทธิ์กลับพอคุ้นเคยอยู่
ในทุกสำนักโบราณที่ยืนหยัดมาตั้งแต่บรรพกาลถึงปัจจุบันล้วนมีบันทึก ข่าวลือหรือเงื่อนงำที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนมีสมมติฐานอย่างหนึ่ง…
มีเพียงยามกลียุคมาเยือน สนามรบศักดิ์สิทธิ์ถึงจะปรากฏขึ้นบนโลก!
เวลานี้เงาร่างสูงใหญ่ของภูเขาเทพไร้มรณะแห่งนี้พูดถึงสมรภูมิเก้าดินแดน นี่มีนัยว่าอะไร
ไม่ได้หมายถึงว่า มหายุคที่กำลังจะมาเยือนก็เป็นกลียุคครั้งหนึ่งหรอกหรือ
ทุกคนสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกไม่แน่นอน จิตใจปั่นป่วน
การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งหนึ่งกลับเกี่ยวโยงกับความลับสะท้านโลกมากมายเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่ใครก็คาดไม่ถึง
อีกทั้งในอดีตยังไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
นี่ จะหมายความว่าด้วยสถานการณ์ที่มหายุคใกล้มาเยือน ทำให้การแข่งขันยอดมกุฎรุ่นเยาว์คราวนี้มีความลี้ลับที่ต่างจากแต่ก่อนเพิ่มขึ้นมาด้วยใช่หรือไม่
หลินสวินกลับสงบนิ่งยิ่ง เพียงแต่เวลานี้กลับอดไม่ได้ที่จะมองจ้าวจิ่งเซวียนคราหนึ่ง
เพราะตั้งแต่สมัยอยู่ที่จักรวรรดิจื่อเย่า จ้าวจิ่งเซวียนก็เคยพูดกับเขาว่า มหายุค ก็คือกลียุค!
แต่เขาไม่เชื่อว่าจ้าวจิ่งเซวียนในตอนนั้นจะสามารถคาดเดาความลับสะท้านโลกปานนี้ได้ล่วงหน้า เห็นได้ชัดว่าที่นางรู้เรื่องราวเหล่านี้ เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์แห่งจักรวรรดิจื่อเย่า
‘คำว่ากลียุค เป็นคำพูดที่บิดาข้าเคยกล่าวไว้ หากเจ้าไม่เข้าใจ สามารถกลับไปถามเขาในภายหลังได้’
จ้าวจิ่งเซวียนเหมือนใจสื่อถึงกัน ชั่วพริบตาก็เดาความรู้สึกนึกคิดของหลินสวินออกแล้วแจกแจงเช่นนี้
จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าไม่ธรรมดานัก!
หลินสวินถึงกับรู้สึกว่า โลกชั้นล่างมีสถานที่มากมายที่ลี้ลับกว่าดินแดนรกร้างโบราณ เช่นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ สุสานสมุทรฝังมรรค สมรภูมิกระหายเลือด…
“ขอเรียนถามว่าผู้อาวุโสเป็นใคร” ทันใดนั้นเยี่ยเฉินพูดขึ้น
ทุกคนตื่นตระหนกเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงกลั้นลมหายใจ ต่างอยากรู้ฐานะของเงาร่างประหนึ่งเทพเทวาผู้นี้
“เป็นเพียงเจตจำนงที่จำแลงมากจากกฎระเบียบของภูเขาเทพไร้มรณะสายหนึ่งเท่านั้น พวกเจ้าเรียกข้าว่า ‘ข้ารับใช้วิญญาณ’ ก็ได้” น้ำเสียงของเขาเฉยชา ไม่มีคลื่นความรู้สึกแปรปรวนเลยสักนิด
ข้ารับใช้วิญญาณ!
จากวาจาของเขาก็รู้ว่า เขาไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริง แต่เป็นระเบียบและกฎเกณฑ์บริสุทธิ์จำแลงมา นี่ก็ช่างน่ากลัวถึงที่สุด
“ข้าไม่สนใจสมรภูมิเก้าดินแดน และไม่อยากรู้จักสนามรบศักดิ์สิทธิ์ เพียงอยากจะสู้ให้หนำใจในตอนนี้ ขอให้ข้าได้สมปรารถนาด้วย!”
วาจาเยี่ยเฉินเหมือนกระบี่ ตัวเขาเองก็เหมือนกระบี่
นี่ทำให้หลายคนนิ่วหน้า หากสามารถถือโอกาสนี้ล่วงรู้ความลับบางอย่างจากปากของข้ารับใช้วิญญาณได้ เช่นนั้นความหมายย่อมไม่ธรรมดา
แต่เยี่ยเฉินกลับไม่สนใจสักนิดเดียว น่าผิดหวังนัก
“ได้!” ข้ารับใช้วิญญาณไม่ได้รู้สึกถูกล่วงเกิน หรือพูดได้ว่า ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาก็ดูศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่เกินไป ไม่มีความแปรปรวนในอารมณ์ใดๆ
เขาพูดจบก็ยื่นมือออกไป พลังกฎระเบียบสี่สายเคลื่อนออกมาแล้วพุ่งไปยังหว่างคิ้วของหลินสวิน เยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียนและจินมู่อวิ๋น
ชั่วพริบตาพวกหลินสวินต่างเข้าใจกฎการประลองรอบสุดท้ายนี้
ประลองทีละคน!
แต่ละคนจะประลองกับอีกสามคนหนึ่งครั้ง แล้วจัดอันดับสูงต่ำรอบสุดท้ายตามคะแนนสุดท้าย
คำนวณเช่นนี้ ขอเพียงประลองหกยกก็พอแล้ว
เช่นหลินสวินกับจินมู่อวิ๋นประลองกัน นี่ก็ถือว่าทั้งสองคนต่างได้ต่อสู้หนึ่งครั้ง ต่อมาทั้งสองเพียงประลองกับอีกสองคนก็ได้แล้ว
จริงๆ แล้วหากคำนวณอย่างละเอียด การต่อสู้หกยก จะเท่ากับว่าทุกคนได้ต่อสู้สามครั้ง
เรื่องนี้สำหรับพวกหลินสวินทั้งสี่คนแล้ว เป็นเรื่องยุติธรรมนัก
ตู้ม!
ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก็เห็นว่าสนามประลองโชควาสนาที่เก่าแก่หาใดเทียบนั้น ในขณะนี้ส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครม แสงกฎระเบียบแน่นขนัดเปล่งประกายสายแล้วสายเล่าผุดขึ้นมาราวกระแสน้ำ ปกคลุมไปทั้งสนามประลอง
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ทั้งสนามประลองก็เกิดความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าดิน
ก็เห็นว่ามันล่องลอยในห้วงอากาศ ใหญ่โตราวผืนแผ่นดินผืนหนึ่ง ทั้งสนามมีรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีทองอ่อนไหลหลั่งออกมาดุจหลอมด้วยทองเซียน ขณะเดียวกันบนนั้นก็มีกฎระเบียบนับไม่ถ้วนประทับอยู่ มองจากไกลๆ ยังนำพากลิ่นอายกดดันเข้ามา
“นี่ก็คือสมรภูมิเก้าดินแดนหรือ”
ทุกคนตื่นตะลึง สนามประลองแห่งหนึ่ง พลานุภาพยิ่งใหญ่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ไหลหลั่ง ประหนึ่งนิรันดร์กาลไม่เสื่อมคลาย เพียงแค่กลิ่นอายก็ทำให้เกิดความยำเกรงในจิตใจ
“เริ่มเถิด”
เงาร่างข้ารับใช้วิญญาณเคลื่อนที่ ยืนอยู่นอกสนามประลอง “ประทับยุทธ์ของพวกเจ้าจะเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ก็ดูว่าภายภาคหน้ายามปีนขึ้นระดับอริยะ จะเข้าร่วมในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในสมรภูมิเก้าดินแดนได้หรือไม่’
นี่เป็นคำเตือนอย่างหนึ่ง เตือนพวกหลินสวินถึงความสำคัญของการครอบครองประทับยุทธ์!
พวกหลินสวินใจเต้น ประกายในตาไหวเคลื่อน ต่างสบตากัน จิตต่อสู้ไร้รูปก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างของพวกเขา
“เซี่ยวชางเทียน มาสู้กันสักตั้ง! หลังจากเอาชนะเจ้าวันนี้ ฉายายอดคู่ดาบกระบี่นี้ต้องกลายเป็นอดีตไป!”
เงาร่างเยี่ยเฉินพริบไหวก่อนจะปรากฏบนสนามประลอง ร่างกายตรงแน่วดั่งกระบี่ ชุดสีม่วงทั้งกายปลิวไสว ทั้งตัวแผ่เจตกระบี่โชติช่วงทะลวงเมฆา
“คิดจะขอคำแนะนำจาก ‘เคล็ดวิชากระบี่จักรพรรดิจื่อเวย’ ของเจ้ามานานแล้ว วันนี้หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
เซี่ยวชางเทียนหัวเราะเสียงดัง เงาร่างราวพายุคลั่งระลอกหนึ่งปรากฏขึ้นบนสนามประลอง ยืนเผชิญหน้ากับเยี่ยเฉินอยู่ไกลๆ
พริบตานั้นสายตาทุกคนต่างถูกดึงดูดไป บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตั้งตารอคอย!
มารกระบี่เยี่ยเฉิน เพียงหมุนกายต่อสู้ในแดนดาราอุดร กระบี่เดียวสะท้านไปทั้งเก้าพันแคว้น เป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่ที่แท้จริงคนหนึ่ง มีผลงานสะดุดตามากมาย ถูกเลี้ยงดูในฐานะราชันผู้เก่งกล้าซึ่งเป็นอนาคตของตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย
ดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน เคยเอ่ยวาจาจองหองเหี้ยมหาญว่า ‘กล้าเยาะสวรรค์ดุจสระน้ำ ดาบข้ากวาดผ่านชิงชังฟ้าดิน’ ไม่ด้อยไปกว่ามารกระบี่เยี่ยเฉินมากนัก
ทั้งสองถูกมองว่าเป็น ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ แห่งแดนดาราอุดร ไม่ต่างอะไรกับคู่ผู้กล้าผู้โดดเด่นแห่งยุค
และคราวนี้ก็จะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองประลองกันอย่างแท้จริง!
ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ทั้งสองย่อมแบ่งแยกชัดเจนว่าใครสูงใครต่ำ ดึงดูดความสนใจจากทั้งใต้หล้า!
ใครจะแพ้ใครจะชนะกันแน่
แม้แต่หลินสวินยังตั้งตารอ
ตามกฎที่ข้ารับใช้วิญญาณกำหนดไว้ เขาต้องขึ้นประลองยกที่สอง ยกที่สี่และยกที่หก ดังนั้นถือโอกาสนี้ก็จะดูได้ว่ารากฐานพลังของเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่!
——