“เชื่อฉัน”
เย่เซิ่งเทียนกล่าวอย่างหนักแน่น ไม่ว่าจะต้องทุ่มเทเสียสละอะไร เขาก็ต้องรักษาคุณท่านฟางให้หายดี
ฟางหยวนไม่เชื่อว่าเย่เซิ่งเทียนสามารถรักษาอาการป่วยของพ่อได้ แต่เธอไม่อยากทำลายความหวังดีของเย่เซิ่งเทียน ก็พยักหน้า ไปร้านยาจีนที่มักจะซื้อยา และยืมเข็มเงินชุดหนึ่งกลับมา
มีแพทย์แผนจีนชราคนหนึ่งมาด้วย ทันทีที่เข้าประตูก็พูดเสียงดังว่า: “เป็นยอดฝีมือซิ่งหลินคนไหน จะรักษาอาการของไอ้ฟาง? ก็ให้ข้าดูหน่อยสิว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนและตะวันตกทุกคนก็ไม่มีทางรักษาโรคได้ มีใครกล้ารับช่วงต่อ”
แพทย์แผนจีนชรามองเย่เซิ่งเทียน และหันหน้าไปถามว่า: “หนูฟางหยวน ยอดฝีมือซิ่งหลินคนนั้นอยู่ไหน? เธอไม่ได้กำลังหลอกให้ฉันดีใจอยู่ใช่ไหม?”
ฟางหยวนมองเย่เซิ่งเทียนอย่างทำอะไรไม่ถูกแวบหนึ่ง และพูดว่า: “คุณปู่หัว คนคนนี้คือเย่เซิ่งเทียน เป็นสหายร่วมรบของพี่ชายหนู ผู้ปกครองนักเรียนของหนู เขารู้ทักษะทางการแพทย์ หนูก็อยากให้เย่เซิ่งเทียนลองดู สามารถรักษาได้ก็ดีที่สุด รักษาไม่หายก็ไม่เป็นไร”
หมอเทวดาหัวขยับแว่นสายตายาว ก้มตัวลงมามองไปที่เย่เซิ่งเทียน และพูดอย่างเยือกเย็นว่า: “ฉันยังคิดว่าเป็นผู้สูงส่งรุ่นพี่คนไหน ยังอยากจะมาขอคำแนะนำ คาดไม่ถึงว่ากลับเป็นเด็กกะโปโล”
“หนูฟางหยวน คนคนนี้ต้องเป็นสิบแปดมงกุฎ ทักษะทางการแพทย์ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น การแพทย์กว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีประสบการณ์ทางการแพทย์ที่มากมาย ไม่คู่ควรที่จะเป็นหมอด้วยซ้ำ”
“โดยเฉพาะแพทย์แผนจีน ก็บอกว่าแพทย์แผนจีนยิ่งอายุมากยิ่งเป็นที่นิยม ไม่ใช่ว่าคนหนุ่มไม่เก่งนะ แต่ในแพทย์แผนจีนมีของบางอย่าง ต้องการประสบการณ์อันล้ำค่าอย่างยิ่งถึงจะเข้าใจ อย่างเช่นการฝังเข็มตำราหนึ่ง ต้องฝึกฝนหลายสิบปี ถึงสามารถมีผลสัมฤทธิ์ได้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หมอเทวดาหัวชี้ไปที่เย่เซิ่งเทียน และพูดอย่างดูถูกว่า: “เด็กคนนี้อายุแค่ยี่สิบสี่ยี่สิบห้า ขนาดลมปราณของแพทย์แผนจีนก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับปรับสมดุลของหยินหยางในร่างกายและหลักการของห้าธาตุ เขาจะรักษาพ่อของเธอให้ดีได้ยังไง?”
“โรคของพ่อของเธออยู่ที่เส้นประสาท ต่อให้ข้าก็ไม่มีวิธีการแก้ปัญหา นอกเหนือจากว่ามีใครเชี่ยวชาญในขอบเขตของนำพาชี่ด้วยเข็มเงินและปรับจิตด้วยพลังชี่ ไม่อย่างนั้นชาตินี้ก็เป็นแบบนี้แหละ ในทั่วทั้งประเทศต้าเซี่ย ยังไม่มีใครเก่งทักษะทางการแพทย์เกินฉัน”
เย่เซิ่งเทียนยิ้มเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไร
เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ใครฟัง
“นายหัวเราะอะไร!”
หมอเทวดาหัวไม่พอใจในทันที และพูดอย่างเยือกเย็นว่า: “เด็กกะโปโลอย่างนาย รู้ไหมว่าอะไรเรียกว่านำพาชี่ด้วยเข็มเงิน? รู้ไหมว่าอะไรเรียกว่าปรับจิตด้วยพลังชี่? นายเป็นสิบแปดมงกุฎมาจากไหน จะหลอกเงินของหนูฟางหยวนเหรอ? ไสหัวออกไปให้พ้น ไม่อย่างนั้น ข้าจะให้นายรับผิดชอบถึงผลที่ตามมา!”
เย่เซิ่งเทียนพูดอย่างราบเรียบว่า: “นายก็คือหัวเวิ่นยี?”
หมอเทวดาหัวมือทั้งสองข้างไพล่หลังแล้วพูดว่า: “ในเมื่อรู้จักชื่อของข้า งั้นก็รีบไสหัวออกไปให้พ้น!”
เย่เซิ่งเทียนยิ้มเล็กน้อย และไม่ได้สนใจ
หัวเวิ่นยีเป็นที่รู้จักในนามนักปราชญ์แห่งการแพทย์ร่วมสมัยประเทศต้าเซี่ย ต่อมาก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน คาดไม่ถึงว่ากลับอยู่อย่างสันโดษที่นี่
เย่เซิ่งเทียนหยิบกล่องเข็มจากมือของฟางหยวน หยิบเข็มเงินขนาดเก้านิ้วออกมาหนึ่งอัน
“วางลง นายต้องการทำอะไร!”
หัวเวิ่นยีตะโกนถามอย่างเฉียบขาด: “ต่อหน้าข้า ก็กล้าเหิมเกริมเช่นนี้!”
“ทางที่ดีนายหุบปากไปซะ ถ้าคุณท่านฟางเป็นอะไรไป ฉันจะทำให้นายจากนักปราชญ์แห่งการแพทย์บ้าอะไรกลายเป็นเรื่องตลกอันดับหนึ่ง”
เย่เซิ่งเทียนพูดอย่างเยือกเย็น
หัวเวิ่นยีนิ่งอึ้ง
ยังไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับเขา!
แต่ในวินาทีที่เขานิ่งอึ้ง เข็มเงินในมือของเย่เซิ่งเทียน ก็ฝังเข้าไปจุดเสินถิงของคุณท่านฟาง
[จุดเสินถิง คือจุดฝังเข็มบนศีรษะ อยู่เหนือแนวชายผมขอบหน้าผาก]
“หยุดเดี๋ยวนี้!!!”
หัวเวิ่นยีโกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้แล้วพูดว่า: “ถ้าหากวันนี้ไอ้ฟางเป็นอะไรไป ฉันจะต้องทำให้แกชดใช้กรรมอย่างแน่นอน! จุดเสินถิงของไอ้ฟางถูกปิดกั้น และเส้นประสาทความเจ็บปวดก็ขยายออกไปอย่างไม่มีขอบเขต แกฝั่งลงไปโดยตรงแบบนี้ คือต้องการเอาชีวิตของไอ้ฟางเหรอ?”