“พวกคุณแน่ใจหรือว่าต้องการทำให้มันเหี้ยมถึงขนาดนี้?”
เย่เซิ่งเทียนเดินเข้ามาในห้องหอบรรพบุรุษอย่างช้า ๆ กวาดสายตามองคนของตระกูลหลี่ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
เพื่อพัฒนาตระกูลหลี่ ทำให้หวางซีไปร่วมงานบุคคลหัวกะทิ และเกือบจะถูกสัตว์เดรัจฉานอย่างซ่งหยวนลี่หมิ่นเกียรติ
แต่นึกไม่ถึงว่าคนสารเลวพวกนี้ของตระกูลหลี่จะมาแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์อยู่ที่นี่ ไม่เพียงไม่ปลอบใจ พวกเขายังโทษหวางซีอีก ผลักความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับหวางซี
สิ่งที่ทำให้เย่เซิ่งเทียนโกรธมากที่สุดคือคนเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้โจมตีและขับไล่หวางซีออกไปจากตระกูล
ครอบครัวของพวกเขาสามารถไปจากตระกูลได้ และพวกเขาไม่มีความอาลัยอาวรณ์ตระกูลหลี่แม้แต่น้อย
แต่ไม่ใช่จากไปในรูปแบบนี้
ถ้าพวกเขาต้องการไป ไม่มีใครสามารถขวางพวกเขาไว้ได้!
เดิมทีเย่เซิ่งเทียนไม่คิดจะยุ่งเรื่องของตระกูลหลี่ และเขาก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องวุ่นวายพวกนี้ด้วย
เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากเกิดเรื่องคราวที่แล้ว ตระกูลหลี่จะฉลาดขึ้น แต่นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะโง่เขลาขนาดนี้!
ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ตระกูลหลี่คงถูกเซี่ยหมิงหลี่ทำลายไปนานแล้ว แล้วคนเหล่านี้มีโอกาสใช้ตำแหน่งและอำนาจในทางมิชอบอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
คนเหล่านี้ ไม่เพียงไม่มีความรู้สึกซาบซึ้ง แต่ยังดูถูกเหยียดหยามภรรยาของเขาอีก
แล้วเย่เซิ่งเทียนจะทนความอัปยศนี้ได้อย่างไร?
การปรากฏตัวของเย่เซิ่งเทียน ทำให้คนของตระกูลหลี่รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย
เพราะเย่เซิ่งเทียนแข็งแกร่งและทรงพลังมาก และขาเป็นคนที่แก้วิกฤติครั้งที่แล้วของตระกูลหลี่
หลี่กั๋วเหว่ยและหลี่กั๋วเฉียงขยิบตาให้หลี่เฟิง เพื่อให้เขาออกหน้า
เดิมทีหลี่เฟิงไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเย่เซิ่งเทียน เพราะก่อนหน้านั้นเย่เซิ่งเทียนไม่เคยให้เกียรติเขาเลย และตบหน้าเขาตอนอยู่ที่เมืองเฉียนถัง
เมื่อเผชิญหน้ากับเย่เซิ่งเทียนแล้ว ทำให้หลี่เฟิงรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ก็จำเป็นต้องเผชิญหน้า ตอนนี้ถ้าเขาไม่ยืนออกมา พวกผู้อาวุโสจะไม่สนับสนุนเขาอีกต่อไป
หลี่เฟิงไม่อยากจะทิ้งโอกาสนี้ เขาใช้ความพยายามอย่างมาก ถึงจะสามารถโน้มน้าวคณะอาวุโสได้ และเขาสัญญาว่าจะให้ประโยชน์กับพวกเขา ถึงสามารถทำให้คณะอาวุโสสนับสนุนเขา
เมื่อละทิ้งโอกาสนี้ไปแล้ว ต่อไปก็จะไม่มีโอกาสที่ดีเช่นนี้อีกแล้ว
หลี่เฟิงกัดฟันและกล่าวว่า “เย่เซิ่งเทียน ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องการทำให้มันเหี้ยมถึงขนาดนี้ แต่หวางซีทำลายอนาคตของตระกูลหลี่ พวกเราเตือนด้วยความหวังดี ในเมื่อเธอไม่มีความสามารถ งั้นก็ให้เธอสละตำแหน่ง แต่เธอกลับอ้างชื่อของคุณท่าน และไม่ยอมวางมือ แล้วพวกเราตระกูลหลี่ควรทำอย่างไรดีล่ะ? เธอรับช่วงบริหารหลี่ซื่อกรุ๊ปเพียงไม่กี่วัน? หลี่ซื่อกรุ๊ปก็ถูกตรวจสอบและอายัดแล้ว แล้วต่อไปตระกูลหลี่ควรจะทำอย่างไร?”
“ถึงแม้จะถูกตรวจสอบและอายัด แล้วไงล่ะ?”
เย่เซิ่งเทียนไม่อยากจะอธิบายให้พวกเขาฟัง และไม่อยากบอกพวกเขาว่าซ่งหยวนลี่ตายไปแล้ว
ในเมื่อคนพวกนี้โง่เขลาจนไม่รู้อะไรเลย งั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
“แล้วไงล่ะ? เย่เซิ่งเทียน แกมันจองหองมาก!”
หลี่เผิงเฉิงยืนขึ้นและกล่าวว่า “พวกแกไม่ใช่คนของตระกูลหลี่ และการที่เกิดเรื่องกับตระกูลหลี่ พวกแกไม่ใส่ใจอยู่แล้ว เพราะว่าพวกแกได้เงินไปแล้ว แต่สำหรับพวกเราแล้ว ตระกูลหลี่เป็นรากฐานของพวกเรา พวกเราต้องปกป้องตระกูลหลี่! ตอนนี้คนที่หวางซีล่วงเกินนั้นคือตระกูลซ่งน่ะ! แกรู้ไหมว่าใครเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังตระกูลซ่ง? นั่นคือตระกูลกู่ซึ่งหนึ่งในเจ็ดตระกูลเก่าแก่ พวกเขาบดขยี้แกก็เหมือนการขยี้มดตัวหนึ่งเท่านั้น! แล้วไงล่ะ? แม่งฉิบหาย แกยังมีหน้าพูดว่าแล้วไงล่ะ? หลังจากพวกแกปัดความรับผิดชอบแล้วจากไป แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี?”
“เจ็ดตระกูลเก่าแก่ แล้วไงล่ะ?”
เย่เซิ่งเทียนรังเกียจแม้แต่จะโกรธ มองคนเหล่านี้ด้วยความเย้ยหยัน ราวกับว่าเขากำลังมองคนโง่เขลากลุ่มหนึ่ง
การจ้องมองด้วยสายตาเย้ยหยันของเขา ทำให้คนของตระกูลหลี่รู้สึกโกรธมาก
หลี่กั๋วเหว่ยกล่าวด้วยความโมโหว่า “เย่เซิ่งเทียน นี่คือทัศนคติที่แกกำลังพูดกับผู้อาวุโสเหรอ? พวกเรารู้ว่าแกต่อสู้เก่ง แต่ต่อสู้เก่งแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ตระกูลซ่งมีคนที่ต่อสู้เก่งกว่าแกมากมาย! และถึงแม้ว่าผู้แข็งแกร่งของตระกูลซ่งจะสู้แกไม่ได้ แต่ตระกูลกู่ล่ะ? แกเป็นตัวอะไร? สามารถท้าทายตระกูลกู่ได้เหรอ? ถ้าตระกูลกู่ต้องการจะฆ่าแก เหมือนกับการทุบตัวเรือดตายตัวหนึ่งเท่านั้น แกรู้ไม่ว่าเจ็ดตระกูลเก่าแก่คืออะไร? เป็นตระกูลชั้นนำของประเทศต้าเซี่ย!!”
“คุณชายซ่งแค่พูดประโยคเดียว ก็สามารถทำให้หลี่ซื่อกรุ๊ปถูกตรวจสอบและอายัด แกคิดว่านี่คือพลังอำนาจของตระกูลซ่งเหรอ? มันเป็นของตระกูลกู่ต่างหาก!”
“จากนั้นละ?”
เย่เซิ่งเทียนถามเบา ๆ