บทที่ 9 สนุกจริงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของซูเหวินปิน ฉินเทียนก็ยิ้มเย็น: “ฉันบอกว่ามันเป็นจริง มันก็ต้องเป็นของจริง”
“นั่นอยู่ที่ว่าซูเป่ยซานมีดวงได้รับมันหรือไม่”
“แม่งเอ้ย !”
“ของที่ทำให้น่าอับอายอย่างนั้นน่ะ ฉันกับตระกูลซูจะรอแกก็แล้วกัน !” ซูเหวินปินจากไปอย่างโกรธเคือง
ตอนเย็น ตระกูลซู
วิลล่าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตีนเขาตงซาน ประตูเปิดอ้า ตั้งแต่ลานบ้านไปจนถึงตัวบ้าน ต่างก็ประดับตกแต่งด้วยไฟหลากสี
เหล่าหญิงชายต่างพากันแต่งตัว อวดเครื่องเพชรพลอยกันระยิบระยับ บรรยากาศเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง
ในฐานะที่เป็นตระกูลทหารผ่านศึกของเมืองหลงเจียง ไม่กี่ปีมานี้ตระกูลซูได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลที่ร่ำรวย ทั้งยังก่อตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่อีก จากที่มีรากฐานอยู่แล้ว ก็ยิ่งรุ่งเรือนมากขึ้นไปอีก
เป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำของตระกูลที่ยิ่งใหญ่มาก
ในฐานะที่ซูเป่ยซานเป็นหัวหน้าตระกูล จึงส่วมชุดเสื้อคอจีนสีแดง และนั่งอยู่ตรงกลาง รอรับของขวัญและคำอวยพรจากคนรุ่นหลังอย่างใจเย็น
“คุณปู่ซาน หลานนำแท่นหยกมรกตนี้มาให้คุณปู่”
“หลานขออวยพรให้คณปู่มีโชคลาภดั่งทะเลบูรพา อายุยืนยาวยิ่งกว่าเทียนฉี !”
ใบหน้าซูเหวินปินเต็มไปด้วยความพอใจเป็นที่สุด ค่อยๆ รับแท่นหยกมรกตขนาดเท่าพัดมาอย่างระมัดระวัง
เมื่อไม่มีภาพวาดโบราณของจิตรกรเลื่องชื่อ เขาจึงอดทนข่มใจใช้เงินหนึ่งแสนซื้อของชิ้นนี้มา
งานแกะสลักที่ดูประณีตงดงาม คุณภาพเยี่ยม ทำให้กลบเสียงเอ่ยคำอวยพรของลูกหลานก่อนหน้านั้นไปหมด
ผู้อาวุโสที่นังอยู่ข้างกันไม่กี่คนต่างก็เอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก
ซูเป่ยซานพึงพอใจมาก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: “เหวินปิน ในบรรดาคนหนุ่มสาวในตอนนี้น่ะ นายนับว่าเยี่ยมไปเลย”
“แท่นหยกนี่คงไม่ใช่ถูกๆ สินะ ?”
เมื่อได้รับคำชม ซูเหวินปินก็ดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่ จึงรีบร้อนเอ่ย: “ขอแค่คุณปู่ชอบ ไม่ว่าหลานจะใช้เงินมากแค่ไหนมันก็คุ้มค่าครับ”
“อีกอย่าง เงินของผม ทั้งหมดก็เป็นเงินที่พี่เหวินเฉิงให้มา ผมถือว่าเป็นการเคารพคุณปู่แทนพี่เหวินเฉิงแล้วกันครับ”
เมื่อได้ยินชื่อ “เหวินเฉิง” ออกมาจากปาก ซูเป่ยซานก็รู้สึกยินดียิ่งกว่าเดิมจนหุบยิ้มไม่ลง
นั่นคือหลานแท้ๆ ของเขา
ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง ในบรรดาคนหนุ่มสาวแล้วเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ
ถ้าไม่มีอะไรที่เหนือการคาดหมาย ในอนาคตคงจะชี้นำตระกูลซูได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน
คนในตระกูลที่อยู่ข้างๆ รีบเอ่ยชมซูเหวินเฉิงอีกครั้ง
ชายชราคนหนึ่งเอ่ย: “งานสำคัญอย่างวันนี้ ทำไมนายน้อยเหวินเฉิงของพวกเรายังไม่มาอีกล่ะ ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างก็เงียบเสียงลง
ในตระกูลซู สถานะของซูเหวินเฉิงเรียกได้ว่าคุณชายรัชทายาท ทำไมวันนี้ถึงยังไม่ปรากฏตัวอีก ?
ซูเป่ยซานยิ้มและมองไปยังชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ นั่นคือลูกชายคนที่สองของเขา ซูยู่คุน
ซูยู่คุนเอ่ยยิ้มๆ : “คุณพ่อ เหวินเฉิงโทรหาผมแล้วครับ”
“งานเฉลิมฉลองวันนี้ เขาต้องไปดูแลผู้อำนวยการกับหัวหน้าแผนกที่เป็นลูกค้าคนสำคัญพวกนั้น เลยจะมาช้าสักหน่อยน่ะครับ”
ซูเป่ยซานพยักหน้าเอ่ย: “แค่งานเลี้ยงอาหารค่ำของครอบครัว เรื่องเล็กน้อย”
“ซูเหวินเฉิงยังหนุ่มอยู่ แต่สามารถแยกแยะความสำคัญได้ชัดเจน ทุ่มเทกับงานอย่างนี้ ฉันซาบซึ้งมาก !”
“ใช่ๆ คุณชายเหวินเฉิงเก่งจริงๆ !”
“ขนาดวันเฉลิมฉลองยังไม่ลืมการลืมงาน มีหัวคิดจริงๆเลย”
“ตระกูลซูมีคนอย่างคุณซูเหวินเฉิง ต่อไปตระกูลเราคงจะกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในอีกไม่นานนี้แน่ !”
เหล่าคนในตระกูลต่างเอ่ยยกย่อง
ซูยู่คุนกับภรรยาก็รู้สึกภูมิใจมากด้วยเช่นกัน
ตระกูลซูในตอนนี้ หรือจะพูดว่าตระกูลซูของพวกเขาก็ไม่เกินจริง หากพูดตรงๆ คนในตระกูลเหล่านี้ ต่างก็ทำงานให้พวกเขาทั้งนั้น
หวางเหม่ย ภรรยาของซูยู่คุน เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ: “ซูหนาน ลูกสาวฉัน ตอนแรกก็ว่าจะมาที่เพื่อพบกับทุกคนเหมือนกัน”
“เพียงแต่เธอแต่งกับตระกูลอู๋ไปแล้ว ต้องเคารพกฎใหญ่ของที่นั่น”
“ตอนนี้ตระกูลอู๋ก็จัดงานเลี้ยงครอบครัวเหมือนกัน แถมยังจัดเกินหน้าเกินตาของพวกเราอีก”
“ดังนั้นวันพรุ่งนี้เธอถึงจะได้กลับบ้าน เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะให้เธอกับลูกเขยนำของขวัญมาเยี่ยมทุกท่านนะคะ”
ทุกคนยิ่งอจฉาเข้าไปอีก
“หนานหนานช่างลำบากจริงๆ !”
“เก่งกว่าคุณหนูใหญ่คนก่อนตั้งเยอะ !” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
หลังจากที่ได้ยินอย่างนั้น ทั้งหมดต่างก็รู้สึกอับอาย
ใครๆ ก็รู้ว่า “คุณหนูใหญ่คนก่อน” หมายถึงซูซู
ซูเป่ยซานมีลูกชายสองคน คนโตคือซูยู่ถาง แต่งกับหยางยู่หลัน ที่เป็นครอบครัวนักวิชาการจากเจียงหนาน และทั้งคู่ก็ให้กำเนิดลูกสาวนางฟ้าน้อยซูซู
เดิมทีนั้นเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลซู
ซูยู่ถางเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ หยางยู่หลันกับซูซูเลยต้องตกในชะตากรรมแบบนี้ ตอนนี้ทั้งสองแทบจะหายไปจากตระกูลซู ไม่มีใครพูดถึงพวกเธอเลย
เมื่อสบโอกาส ครอบครัวซูยู่คุนจึงผงาดขึ้น
ลูกสาวแต่งงานกับคุณชายคนโตตระกูลอู๋
ในสายตาของตระกูลซูแล้ว เกรงว่าตระกูลอู๋ก็เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเศรษฐี
หลังจากที่ซูเหวินเฉิงยึดเอาบริษัทของหยางยู่หลันมา จนถึงวันนี้ก็ยังอยู่ในมีอำนาจอยู่ในจุดสูงสุด
ครอบครัวของซูยู่คุนกลายเป็นที่น่าอิจฉาของทุกคน
มันเป็นความจริงที่บางคนอยู่บนตึกสูง บางคนอยู่ในคูน้ำลึก; มีคนชอบ ก็ย่อมมีคนเกลียด !
“สองแม่ลูกนั่นไม่มีอะไรน่าอวด จะพูดถึงพวกมันทำไม”
“ก็จริง งานเฉลิมฉลอง ยังไม่มาเยี่ยมคนเฒ่าคนแก่บ้าง ซูซูมันเป็นคนโง่เง่าไปแล้ว หยางยู่หลันยังจะโง่ตามมันอีกเหรอ ?”
“ไม่เข้าใจกฎเลยสักนิด !”
บางคนที่ยกหางครอบครัวซูยู่คุนเริ่มประณามหยางยู่หลันและซูซู
ในอดีตชีวิตของพวกเขาเทียบหยางยู่หลันกับซูซูไม่ได้ แต่ตอนนี้สามารถเหยียบย้ำซ้ำเติมได้ตามใจชอบ พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ปล่อยวาง
ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยเสียงประณาม
ช่วงเวลาในงานเลี้ยงนั้น สถานการณ์ตอนนี้ของหยางยู่หลันกับซูซูกลายเป็นความสุขของพวกเขา
ซูเหวินปินเอ่ยอย่างกระตือรือร้น: “ทุกคนฟังผมพูดหน่อย !”
“พวกคุณเดาอะไรกันอยู่ ? วันนี้ผมไปที่ตลาดขายของเก่าเพื่อซื้อของให้คุณปู่ ได้เจอกับฉินเทียนด้วย !”
ฉินเทียน ?
คนส่วนใหญ่นิ่งไปชั่วขณะ
ฉินเทียนคือใคร ?
ซูยู่คุนเอ่ยเสียงต่ำ: “เหวินปิน นายพูดว่าคางคกที่ซูซูดึงดันจะแต่งงานด้วยคนนั้นกลับมาแล้วงั้นเหรอ ?”
“ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วรึไง ?”
หวางเหม่ยยังกล่าวต่อ: “คืนนี้เมื่อห้าปีที่แล้ว ซูซูทิ้งงานเลี้ยงของตระกูล แล้ววิ่งแจ้นไปโรงแรมเพื่อที่จะมีความสัมพันธ์กับเขา”
“หลังจากที่ถูกสื่อเปิดเผยก็ไม่มีทางเลือก เลยต้องพาเขามาเป็นลูกเขย สำหรับเรื่องนี้แล้ว พวกเราไม่ได้โกรธน้อยลงเลย”
“ได้ข่าวว่าไอ้ลูกหมานั่นทำให้คนขุ่นเคือง เลยถูกจับโยนลงแม่น้ำตั้งแต่คืนวันแต่งแล้ว”
“ทำไมตอนนี้ถึงได้กลับมาล่ะ ?”
ใบหน้าของซูเป่ยซานก็คล้ำลงเช่นกัน พร้อมทั้งเอ่ยอย่างโกรธเคือง: “เหวินปิน นายพูดจริงหรือเปล่า ?”
“เป็นไอ้ลูกหมานั่นจริงๆ ใช่ไหม ?”
“เป็นมันไม่ผิดแน่ครับ !”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตลาดขายของเก่าเมื่อตอนบ่าย ซูเหวินปินก็โมโหจนตาแดงก่ำ
เขาเลยใส่ไฟไปว่าฉินเทียนจงใจเลือกม้วนภาพวาดของปลอม แล้วหลอกว่าเป็นผลงานจริงของถังโป๋หู่เพื่อที่จะนำมามอบให้กับซูเป่ยซาน
“คุณปู่ครับ ไอ้คนที่ปาโคลนไม่ติดกำแพงพวกนี้น่ะ ถ้ามันกล้ามา จะต้องสั่งสอนมันให้ดีสักหน่อยนะครับ !”
ซูเป่ยซานเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว: “นี่มันไร้สาระเสียจริง !”
“เอาภาพวาดปลอมๆ มาหลอกฉัน คิดว่าซูเป่ยซานอย่างฉันเป็นคนโง่รึไง ?”
“พี่ปิน ถ้าคนแซ่ฉินกล้ามาจริงๆ พวกเราจะฆ่ามันเอง !” คนรุ่นน้องสองสามคนถูไม้ถูมืออย่างก้าวร้าว
พ่อบ้านยิ้มพร้อมกับเอ่ย: “ดิฉันได้แจ้งกับหยางยู่หลันทุกปีตามกำหนดการ แต่ดูเหมือนว่าปีนี้เธอน่าจะไม่มาเหมือนเดิมนะคะ”
ทุกคนต่างก็รู้ว่าพ่อบ้านเพียงทำตามกำหนดการ
ไม่มีใครคาดหวังว่าหยางยู่หลันจะมา
“ไม่มา ยังรู้ตัวดี” ซูเป่ยซานสีหน้ามืดมน
“สนุกจริงๆ” ในตอนนี้ก็มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
หัวใจของทุกคนสั่นไหว และหันไปมองพร้อมกัน
ที่ประตูใหญ่ปรากฏร่างคนสองคน
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือสามคน
ฉินเทียนที่เข็นซูซู พร้อมกับหยางยู่หลันเดินเข้ามา