บัญชามังกรเดือด บทที่ 196 ความเป็นมาของมังกร
“จริงหรือ?”
“ท่านยอมที่จะต่อสู้กับผมจริงๆ หรือ”
แววตาของจุยเฟิงเป็นประกาย แต่ยังถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านต้องรู้ก่อนนะว่า ถ้าดาบของผมออกจากฝักแล้ว จะไม่มีคำว่าปรานี”
“บางครั้งผมเองก็ควบคุมไม่ได้เหมือนกัน”
“ท่านจะเอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่นจริงๆ หรือ?”
ฉินเทียนยิ้มและตอบว่า “บางที ฉันอาจจะชี้แนะอะไรเธอได้บ้างก็ได้นะ”
อะไรนะ?
แววตาของจุยเฟิง เต็มไปด้วยเพลิงไฟแห่งความโกรธ
เขาไม่เชื่อว่า บนโลกนี้จะมีดาบของใครที่เร็วไปกว่าของเขา นับประสาอะไรจะมาชี้แนะเขา!
สำหรับเขาแล้ว นี้คือการดูถูกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา!
“รับดาบ!”
เสียงคำรามดังขึ้น เขายื่นมือออกมา ลำแสงสว่างออกจากฝัก
ราวกับลำแสงสีขาว ผ่ากลางอากาศ มุ่งไปทางศีรษะของฉินเทียน
“ระวัง!” สีหน้าของหลิวหรูยู่เปลี่ยนไปทันที อดไม่ได้ที่จะร้องด้วยความตกใจ
อานกั๋วที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเหมือนกัน เขาคิดไม่ถึงว่า ทักษะของจุยเฟิง จะพัฒนาไปได้ไกลขนาดนี้
เพียงแค่เริ่มลงมือก็ไม่มียั้งซะแล้ว
ชั่วเวลานี้ เขาเริ่มเสียใจทีหลังซะแล้ว
ดาบนี้ ลองดูว่าฉินเทียนจะรับมือยังไง?
ถ้าไม่ระวัง ต้องโดนหั่นเป็นสองท่อนแน่ๆ!
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเทียนไม่เปลี่ยน ยืนนิ่งไม่ขยับ
สายตาเหลือบไปเห็นดาบเล่มยาวกำลังใกล้จะสับลงบนหัว ขาของเขา ถึงขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าว
แปลกมาก
ท่ามกลางสายตาผู้คน ฉินเทียนเหมือนเดินเล่นอยู่ในบ้าน เยื้องก้าวที่ก้าวออกไปนั้น เป็นใคร ใครก็ทำได้
แต่ท่ามกลางอันตรายนั้น ก็ต้องคอยหลบดาบนั้นไปด้วย
เสียงดาบยาวกระทบพื้นดังขึ้น
ก้อนหินแข็งๆ ที่อยู่บนพื้น ยังปรากฏรอยร้าวขึ้นเป็นทาง
แม้แต่ดอกไม้และต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไป ก็ยังโดนแรงกระแทกของดาบจนดอกใบร่วงหล่น กิ่งก้านหักไปตามๆ กัน
“เป็นแบบนั้นได้ไง?” จุยเฟิงตกตะลึงจนอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
ฉินเทียนยิ้มและพูดว่า “คุณคิดว่าผมจะหลบไม่พ้น ดังนั้นในช่วงสุดท้ายเลยอยากจะออมแรงไว้สินะ”
“ดาบนี้ไม่นับ เอาใหม่ละกัน”
จิตที่คิดอยากเอาชนะคนของจุยเฟิงถูกกระตุ้นอีกครั้ง ตอนนี้ เขาจะไม่รู้สึกกังวลอะไรอีกทั้งนั้น
ย้าก!
ย้ากกกก!
หนึ่งเล่มสามดาบ เป็นพายุไซโคลนสามรอบที่เขาภูมิใจที่สุด
พายุไซโคลนสามรอบนี้ ทำผู้มีฝีมือต้องเสียชีวิตมามากมายแล้ว
แต่ ฉินเทียนเหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในบ้าน เขาหลบหลีกได้อย่างพิสดารในทุกๆ ครั้ง
สุดท้าย จุยเฟิงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาร้องตะโกนเสียงดังว่า “ตายซะเถอะ!”
ทั่วร่างเต็มไปตัวพลัง ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ดาบที่คมกริบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับสายฟ้าฟาดไปที่ฉินเทียน
“จุยเฟิงอย่านะ!”
“ฉินเทียนระวัง!”
ด้วยดาบนี้ อานกั๋วและหลิวหรูยู่ ต่างรู้สึกราวกับตกอยู่ในนรก อดไม่ไหวที่จะกรีดร้องด้วยความตกใจ
สายตาของฉินเทียนเบิกกว้าง ด้วยดาบนี้ เขาถึงรู้ถึงพลังที่แท้จริงของจุยเฟิง
รอบนี้ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้หลบเลี่ยง
ท่ามกลางอันตรายนี้ เขาก็ยื่นสองนิ้วออกมา
คิดไว้ไม่ผิด มีดพกอันคมกริบที่ถูกหนีบอยู่นั้น
เหมือนจะเป็นแค่สองนิ้วทั่วไป ที่หนีบเอาไว้เฉยๆ
ในเวลานั้น ลมพายุดูเหมือนจะสงบแล้ว
มีดที่แม้แต่ทวยเทพภูตผียังหวาดกลัว หลอมรวมอยู่กลางอากาศ ยากต่อการพัฒนาไปมากกว่านี้
ส่วนจุยเฟิง ผู้คุมดาบ อยู่กลางอากาศ กายและดาบรวมเป็นหนึ่ง หลอมรวมกันเข้าแล้ว
ราวกับม้าเหยียบนกนางแอ่น
เป็นฉากที่แปลกประหลาดมาก
“ได้ยินมาว่าทางป่าตอนใต้ของซินเจียง มีเทพเจ้าดาบอยู่หนึ่งท่าน มีขวานอยู่ด้ามหนึ่ง ที่สามารถตัดหั่นหยินหยางได้ ทวยเทพและภูตผีผีต่างพากันหวาดกลัว”
“เขาเป็นอะไรกับคุณ?”
ฉินเทียนวางมือแล้วตอบยิ้มๆ
จุยเฟิงล้มลงกับพื้น สีหน้ากลัวจนซีดขาว เขาจ้องมองฉินเทียน กัดฟันแล้วพูดว่า “คุณรู้จักท่านอาจารย์ของผมด้วยหรือ?”
ฉินเทียนค่อยๆ ขยับตัว “ไม่รู้จักหรอก คิดไม่ถึงว่า คุณเป็นทายาทของเขา”
จุยเฟิงรู้สึกโศกเศร้า “เปล่า เขาไม่ใช่อาจารย์ของผมหรอก เขาแค่สอนวิธีการใช้ดาบให้ผม แต่ไม่ยอมรับผมเป็นศิษย์”
“ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว เขาคิดว่าผมไม่เหมาะสม กลัวผมจะทำให้เขาเสียหน้าเปล่าๆ”
“และผมก็ทำให้เขาเสียหน้าจริงๆ แหละ”
คนที่ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน และเป็นคนหยิ่งยโสมาก แล้วมาโดนทำร้ายต่อหน้าคนวัยเดียวกันแบบนี้
ความเชื่อมั่นในตัวเองของจุยเฟิงรู้สึกเริ่มพังทลายลงทุกที
ฉินเทียนรีบพูดในแง่บวกว่า “คุณฝึกฝนมาได้ถึงขั้นนี้ จะบอกว่างี่เง่าไม่ได้เรื่องเลยก็ไม่ได้หรอก”
“แค่ขาดพลังไปบางส่วนแค่นั้นเอง”
“ตัวคุณเองก็พูดแล้วว่า บางทีหลังจากที่คุณชักดาบออกมาแล้ว ตัวคุณเองก็ยังไม่สามารถควบคุมมันได้ นี้คือข้อบกพร่องของคุณ”
“เพราะว่า คุณให้ความสำคัญกับดาบมากจนเกินไป เห็นดาบเป็นเทพเจ้า แล้วเอาตัวคุณเองเป็นเพียงผู้ศรัทธา”
“จริงๆ แล้ว ดาบ ก็เป็นเพียงแค่ดาบด้ามหนึ่ง ตัวมันเองไม่ได้มีจิตวิญญาณอะไร คนที่ใช้ดาบนั้นแหละเป็นคนที่มอบจิตวิญญาณให้กับมัน”
“ดังนั้น คุณควรจะเป็นเจ้าของดาบ ไม่ใช่เป็นทาสของดาบ เข้าใจใช่ไหม?”
“ผมต้องเป็นเจ้าของดาบ แต่ไม่ใช่ทาส…” จุยเฟิงบ่นพึมพำ เหมือนจะเข้าใจ
จู่ๆ เขาก็คุกเข่าลงต่อหน้าของฉินเทียน และคำนับลง
“ขอท่านได้โปรดรับผมเป็นศิษย์ด้วยเถิด!”
ฉินเทียนหัวเราะ ตอบอย่างเลี่ยงๆ ไปว่า “สิ่งที่ควรพูด ผมก็พูดไปจนหมดแล้ว”
“ที่เหลือ ต้องอยู่ที่ตัวคุณเองแล้วหล่ะ”
“ท่านนายท่านอาน นี้ก็สายมากแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ”
อานกั๋ว ตอบกลับ ตะโกนอย่างรีบร้อนว่า “น้อมส่งคุณฉิน!”
“ดูเหมือนคงไม่ต้องใช้บอดี้การ์ดแล้วหล่ะ ให้คนขับไปส่งพวกเขาที!”
คนขับรถของตระกูลอัน ขับรถอัลพาร์ทของหลิวหรูยู่ไป
ฉินเทียน หลิวหรูยู่ หยางหรง ทั้งสามคนเดินทางมุ่งหน้าไปหลงเจียง
“นายท่าน ได้ยินว่าฉินเทียนปราบปรามจุยเฟิงได้หรือ?นี้นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากจริงๆ นะ” พ่อบ้านจี้เจินพูดอย่างจริงจัง
เขารวมถึงคนอื่นๆยังไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน
เพราะที่นี่คือลานส่วนตัวของหลิวหรูยู่ นอกจากอานกั๋วแล้ว ถ้าไม่ได้เรียกให้เข้ามา ก็จะหลีกไปให้ไกลจากที่แห่งนี้
อานกั๋วพูดว่า “เหมือนว่าพวกเราคงประเมินค่าเขาต่ำไปแล้วล่ะ”
“ประเมินค่าต่ำไปจริงๆ” จี้เจินหัวเราะและพูดเสียงเบาๆ “จะว่าไปคุณฉินนี้ก็สร้างเรื่องได้จริงๆ แล้ะวิธีของเขาก็ดูโหดเหี้ยมเสียด้วย”
“ฮ่ะ?” อานกั๋วตะลึงงันอยู่ชั่วขณะและถามว่า “หมายความว่ายังไงนะ?”
จี้เจิน พูดเสียงเบาว่า “เมื่อครู่ได้ทราบข่าวมาว่า ลูกสาวคนเล็ก และลูกชายคนรองของตระกูลพาน รวมถึงผู้มีฝีมือคนอื่นๆ ล่วงเกินฉินเทียนเข้า”
“เลยโดนฉินเทียนจัดการทั้งหมด”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?” อานกั๋วตกใจ ส่งเสียงตอบว่า “มิน่าหล่ะ ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยง พานโหย่วจื้อดูผิดปกติตั้งแต่ที่เห็นฉินเทียน”
“คิดไม่ถึงว่า!ความแค้นบัญชีเลือดมันเป็นแบบนี้นี่เอง”
“คุณฉินดูเป็นคนจิตใจดีงาม สุภาพเรียบร้อย จริงๆ แล้วก็เป็นพญายมผู้โหดเหี้ยมนั้นเอง”
“นายท่าน คนประเภทนี้ช่างอ่านใจยากนัก เขาใช้คุณหนูหรูยู่เพื่อเข้าใกล้ท่าน รักษาอาการโดยไม่คิดค่าตอบแทน ผมรู้สึกว่า ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไรนัก”
“ท่านคิดว่ายังไง?” จี้เจินสอบถามด้วยความระมัดระวัง
อานกั๋วตอบกลับไปว่า “คุณฉินเป็นผู้มีบุญคุณต่อข้า และฉันก็เคยพูดไว้แล้วว่า จากนี้หากใครล่วงเกินคุณฉิน ก็เท่ากับล่วงเกินฉันอานกั๋ว”
“ซึ่งคำพูดนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“แต่ฉันเองก็รู้สึกประหลาดใจ มังกรตัวนี้ เป็นใครมาจากไหนกันแน่”
“เจ้าไปสืบมาที จำไว้ว่า ห้ามรบกวนไปถึงคุณฉิน และห้ามไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้ทั้งนั้น”
“รับทราบ” จี้เจินค่อยๆ เดินออกไป
ปรากฏสายตาของความขัดแย้งขึ้นในสายตาของอานกั๋ว
เขารู้แล้วว่าฉินเทียนเป็นหัวหน้าวิหารเทพ แต่ อายุน้อยขนาดนี้ ทำไมถึงได้ก่อตั้งวิหารเทพขึ้นด้วยหล่ะ?
ความเป็นมาของเขาเป็นยังไงกันแน่นะ?
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่อานกั๋วอยากรู้มาก เพราะว่าในใจเขา ได้เลือกให้ฉินเทียนเป็นหลานเขยของเขาในอนาคตไปแล้ว
หลิวหรูยู่เป็นญาติเพียงคนเดียวของเขา เลยจำเป็นต้องฝากฝังไว้กับคนที่รู้จักหัวนอนปลายเท้าถึงจะถูก
แม้ว่าฉินเทียนจะเป็นหัวหน้าวิหารเทพ แต่ตัวตนนี้เป็นแค่เกียรติยศของฉินเทียนคนเดียวเท่านั้น
สิ่งที่เขาอยากรู้คือ ตัวตนที่แท้จริงของฉินเทียน