กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ – บทที่ 872

บทที่ 872

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 872

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้วปม “ทำไมงั้นหรือ ข้าชนะก็คือขี้โกง หากแพ้ก็คือเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วงั้นหรือ?”

“เจ้า…”

หัวหน้าสำนักไฮ่เทียนกล่าวว่า “เจ้าต้องใช้วิชาไสยศาสตร์ถึงได้ชนะแน่ ครั้งนี้เป็นโมฆะ”

“เจ้าคือหัวหน้าสำนักของสำนักไฮ่เทียนสินะ ข้าก็ว่าเหตุใดผู้ที่เรื่องมากต้องเป็นเจ้าตลอดเลย ข้าสงสัยอย่างรุนแรงว่าเจ้าคือผู้ช่วยที่ตระกูลไป๋หลี่เชิญมา”

ไป๋หลี่เฉิงกล่าวด้วยความกริ้วโกรธ “เลวทราม ตระกูลไป๋หลี่ของเราจะเชิญผู้ช่วยมาได้อย่างไรกัน”

กู้ชูหน่วนมองไปทางไป๋หลี่ป้าและกล่าวอย่างยิ้มๆ แต่ก็ไม่ไม่ยิ้มว่า “ข้าไม่รู้มาเสียก่อนว่าตระกูลไป๋หลี่ที่เป็นหนึ่งในสี่เผ่าตระกูลใหญ่นั้นกลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้”

สีหน้าของไป๋หลี่ป้าแย่ลง และส่งสัญญาณมือไปทีหนึ่ง จากนั้นก็มีคนกล่าวขึ้น “ครั้งที่หนึ่ง มู่หน่วนชนะ”

“แม่หนู เจ้าทำลายค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศได้อย่างไรกัน?” ผู้เฒ่าหนิงกล่าวยิ้มๆ

“อธิบายง่าย ดอกไม้ที่มีสีสันหลากหลายนั้นสามารถฆ่าคนได้โดยมองไม่เห็นได้ แต่น่าเสียดายที่ข้ามีความสามารถในการดมกลิ่น เพียงแค่ดมกลิ่นไปหนเดียวก็สามารถจดจำกลิ่นของดอกไม้พวกนั้นได้แล้ว รวมถึง…กลิ่นบนตัวของพวกนางด้วย เพราะเช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกนางจะมีหน้าตาเหมือนกันเพียงใด ไม่ว่าค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศจะแปรเปลี่ยนไปเช่นไร ข้าก็สามารถหาตำแหน่งที่แน่ชัดจากกลิ่นบนตัวของพวกนางได้ จากนั้นค่อยทำลายทีละคนๆ”

ผู้คนต่างตะลึงงัน

ที่แท้นางทำลายค่ายกลโดยการดมกลิ่นงั้นรึ?

แล้วเหตุใดพวกเขาถึงได้กลิ่นดอกไม้พวกนั้นเป็นกลิ่นเดียวกันหมดเลยล่ะ

“โอ้อวดอะไรไป นี่เพียงแค่ครั้งแรกเท่านั้น ยังเหลืออีกตั้งสองครั้ง เจ้าชนะให้ได้ก่อนเถิดแล้วค่อยมาโอ้อวด”

“ผิดแล้วล่ะ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ข้าเพียงแค่ชนะอีกครั้งเดียวก็เพียงพอ ส่วนครั้งที่สองพวกเจ้าจะส่งใครออกมาก็รีบหน่อยเถิด”

“ครั้งที่สองข้าเอง” ไป๋หลี่เฉิงออกตัว

ทั้งสนามรบเงียบกริบไร้เสียงใดๆ

อย่างน้อยไป๋หลี่เฉิงก็เป็นผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงของตระกูลไป๋หลี่คนหนึ่ง

ครั้งแรกพวกเขาส่งค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศออกมาไม่ว่า

แต่ครั้งที่สองยังส่งผู้อาวุโสออกโรงด้วยตนเองอีกต่างหาก

นี่มันรังแกคนเกินไปหน่อยแล้ว?

หยางโม่อดไม่ได้ที่จะปริปากพูดว่า “ผู้อาวุโสเฉิง เพียงแค่การทดสอบของรุ่นน้องเท่านั้น ข้าคิดว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรุ่นน้องเถิด ตำแหน่งของท่านสูงส่งนักอย่าถือสากับคนพรรค์นี้เลย”

“องค์ชายสองขอรับ หญิงสาวเจ้าเล่ห์คนนี้มีวิชาไสยศาสตร์ หากส่งลูกศิษย์ทั่วไปออกไป เกรงว่าจะนางเล่นของใส่ขอรับ ศึกครั้งนี้ให้ข้าออกโรงเองดีกว่า”

ผู้เฒ่าหนิงก่นด่าขึ้น “หน้าไม่อาย หน้าไม่อายเสียจริง ตระกูลบางตระกูลกลับทำเรื่องหน้าไม่อายออกมาได้ เขาเรียกว่าอะไรนะ ใช่สิ เรียกว่าคานบนไม่ตรง คานล่างเบี้ยว”

“ผู้นำหนิง ระวังคำพูดด้วย ผู้นำตระกูลของเราไม่ใช่คนที่จะดูถูกกันง่ายดายเพียงนี้”

“ข้าว่าพวกเจ้าหรืออย่างไรกัน? หูข้างไหนของเจ้าได้ยินข้าดูถูกพวกเจ้ากัน?”

“เจ้า…”

“ผู้นำขอรับ ตระกูลหนิงหาเรื่องจริงๆ พวกเรา…”

ไป๋หลี่ป้าโบกมือกล่าวอย่างมีเนศนัยว่า “ตระกูลไป๋หลี่เบี้ยวหรือไม่เบี้ยวนั้นก็วานให้ท่านผู้เฒ่าหนิงมาช่วยสอนด้วย”

“ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ชักชวนเพียงนี้แล้ว หากข้าไม่ไปคงจะถูกผู้คนครหาได้ หลังจากจบจากกระชุมนุมครั้งนี้แล้ว ข้าคงต้องไปสั่งสอนตระกูลไป๋หลี่สักเล็กน้อยแล้ว”

คนมีสมองย่อมเข้าใจว่าทั้งสองตระกูลนี้หาเรื่องใส่กันแล้ว

สั่งสอนช่วยสอนอะไรกัน นี่มันสู้กันชัดๆ

“การทดสอบครั้งที่สอง เริ่มได้”

สิ้นเสียงคำพูด ไป๋หลี่เฉิงก็เปิดศึกด้วยกระบวนท่าไม้ตายออกมาราวกับไม่เก็บซ่อนพลังและรูปลักษณ์ภายนอกเลย วางแผนจะฆ่ากู้ชูหน่วนในถูกกระบวนท่า

“ยันต์พระพุทธหัตถ์คือหนึ่งในท่าไม้ตายของไป๋หลี่เฉิง ท่านปู่ ไป๋หลี่เฉิงคนนี้ช่างหน้าไม่อายเสียจริงนะขอรับ” หนิงเทียนโย่วทั้งกังวลทั้งโกรธแค้น

ผู้เฒ่าหนิงกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำตัวหน้าไม่อายเช่นนี้ เจ้าเพิ่งรู้งั้นหรือ?”

แม้นกู้ชูหน่วนจะเตรียมตัวมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังถูกพลังกดดันอันรุนแรงที่พุ่งมากะทันหันนี้กดทับไว้จนแทบหายใจไม่ออก

หอกยาวของนางตั้งขึ้นและสู้กับกำลังภายใน

ทว่าแรงกดดันพระพุทธหัตถ์ของไป๋หลี่เฉิงยังคงกดลงไปเรื่อยๆ หนักราวกับภูเขาไท่ซาน จากนั้นมุมปากของนางก็มีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย

ฝีมือแตกต่างกันมากนัก กู้ชูหน่วนอยากจะทนต่อไป แต่ก็ทนต่อไปไม่ไหว

อยากจะโจมตีกลับ แต่ก็ไม่อาจโจมตีกลับได้

กำลังภายในของไป๋หลี่เฉิงเป็นเหมือนเครื่องบีบอัดที่คอยบีบอัดกระดูกของนางอย่างไม่หยุดหย่อน

เจ็บ…

เจ็บเหลือเกิน

นางแทบจะได้ยินเสียงกระดูกแตกร้าวจากตัวนางเอง

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้ว่านางไม่ตายก็ต้องพิการเป็นแน่

นางคิดหาวิธีไม่หยุดหย่อน ทว่าอยู่ภายใต้การโจมตีอันแข็งแกร่งของเขา ทำให้นางไม่สามารถหลุดพ้นได้โดยเร็ว

แหงนหน้ามองไป ผู้คนรอบข้างมีบางคนที่นั่งชมอย่างเพลิดเพลิน บางคนมีความสุข และก็มีบางคนที่เป็นกังวล

บนหน้าผากของนางเหงื่อออกเล็กน้อย

บนที่นั่งของตระกูลเหวิน

ผู้อาวุโสหลิวกล่าวขึ้น “แม้นว่านางจะเก่งกาจมากเพียงใด ในที่สุดแล้วก็ถูกรัดคอตายในเปลก่อนที่จะเติบโต ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน เพียงแต่ว่า…ไม่รู้ว่านางจะใช้วิชาไสยศาสตร์ออกมาหรือไม่…”

ไม่เพียงเขาที่อยากรู้

ทุกคนต่างก็อยากรู้เช่นกัน

รวมทั้งเหวินเส่าอี๋ด้วย

เหวินเส่าอี๋เองก็กำลังรอดูกู้ชูหน่วนตกอยู่ในช่วงเวลาขับขัน เพื่อจะดูเส้นทางวรยุทธ์ของนางให้แน่ชัด

ในขณะที่ผู้คนต่างคิดว่ากู้ชูหน่วนตกอยู่ในช่วงที่ยากที่จะหลุดพ้นแล้วนั้น กลับเห็นนางทอดถอนพลังและปล่อยให้ไป๋หลี่เฉิงทำร้ายตัวเองจนบาดเจ็บสาหัส ทว่าหอกยาวของนางได้ตั้งขึ้นและวาดอักษรรูนขึ้นมาท่ามกลางอากาศ จากนั้นก็ปล่อยอักษรรูนไปทางไป๋หลี่เฉิงด้วยพลังทั้งหมดที่มี

“เอื๊อก…”

“ปัง…”

กู้ชูหน่วนบาดเจ็บสาหัสจนกระอักเลือดและกระเด็นออกไป ข้อมือหักเพราะถึงพื้นก่อน กระดูกก็ร้าวฉานไปหลายจุดด้วย

ส่วนไป๋หลี่เฉิงเองก็ถอยหลังไปหลายก้าว

ถูกแม่หนูเมื่อวานซืนโจมตีจนถอยหลังไปหลายก้าวเช่นนี้ ไป๋หลี่เฉิงไม่พอใจนัก มือทั้งสองของเขาวาดยันต์ขึ้นมาและตะโกนออกมาว่า “นางมารร้าย ไปตายซะเถอะ”

ยันต์พระพุทธหัตถ์ก่อขึ้นมาอีกครั้ง ลำแสงยิ่งอยู่ยิ่งสว่างขึ้น กลายเป็นลำแสงขนาดใหญ่พุ่งไปยังกู้ชูหน่วน

หากถูกยันต์พระพุทธหัตถ์โจมตีเข้าก็จะกลายเป็นสายธารเลือดในทันที

ผู้เฒ่าหนิงกุมมือแน่น เตรียมพร้อมที่จะออกโรงตลอดเวลา

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กลับวางจุดสนใจไว้ที่ผู้เฒ่าหนิง

หากเขาออกโรงเมื่อใด เขาก็จะออกโรงด้วยทันที

หนิงเทียนโย่ว หลินซือหย่วนและหยางโม่ต่างหายใจกันไม่ทั่วท้อง

พวกเขาอยากเข้าไปช่วย แต่เพราะห่างกันไกลนักจึงทำได้เพียงมองยันต์พระพุทธหัตถ์ผนึกลงไป

ในช่วงวิกฤตกู้ชูหน่วนได้เชื่อมข้อมือที่หักของตัวเองเข้าที่ และหมุนตัวหลบจากลำแสงที่พุ่งมาได้สำเร็จ จากนั้นก็โจมตีกลับทันที

“ปังๆๆ…”

ทั้งสองสู้กันไปมานับสิบกระบวนท่า

วรยุทธ์ของไป๋หลี่เฉิงสูงกว่านางไม่น้อย

ทว่าท่าทางของกู้ชูหน่วนคล่องแคล่วว่องไวและซับซ้อน ทำให้คาดเดาไม่ได้ว่ากระบวนท่าต่อไปของนางคืออะไร

นางเปรียบเสมือนปลาหนีชิวตัวหนึ่งที่ถูกครั้งที่ไป๋หลี่เฉิงจับนางได้หรือกำลังจะฆ่านางนั้น นางจะหลุดออกไปได้อย่างเฉียดฉิวทุกครั้ง

แม้จะเป็นเช่นนี้ กู้ชูหน่วนก็ถูกเขาทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ชุดที่สวมใส่ราวกับย้อมเป็นสีแดงโลหิตไปทั่วทั้งตัว

หากเป็นคนทั่วไปคงล้มลงตั้งนานแล้ว

ทว่านางยังคงกัดฟันทนต่อ

ซั่งกวนชิงกล่าวว่า “หญิงสาวคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งน้อยที่ฆ่าไม่ตายอย่างนั้นหรือ? ถูกโจมตีถึงเพียงนี้แล้วยังไม่ตายอีก”

“มิใช่หรอก วรยุทธ์ของไป๋หลี่เฉิงสูงกว่านางมากโข ทั้งยังโจมตีด้วยความต้องการฆ่า แต่กลับถูกนางแทงกลับหลายแผลได้”

“หากหญิงสาวคนนี้ไม่สามารถใช้ประโยชน์เพื่อเราได้ก็ต้องตัดหญ้าถอนโคนซะ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นสิ่งกีดขวางของตระกูลซั่งกวนเราในภายภาคหน้า”

“วิ้ง…”

บริเวณกลางสนาม

มีลำแสงลำหนึ่งส่องผ่าน

ไป๋หลี่เฉิงกระเด็นออกตกลงไปล่างแท่น บริเวณกระดูกสะบักถูกหอกยาวแทงจนเกิดเป็นรู ทำให้เลือดไหลไม่หยุด

ส่วนกู้ชูหน่วนสีหน้าซีดเซียว เดินโซซัดโซเซ หากไม่ใช่เพราะนางใช้หอกยาวประคองร่างกายไว้ เกรงว่าคงล้มลงไปแล้ว

นี่มัน…

เกิดอะไรขึ้น?

ไป๋หลี่เฉิงถูกโจมตีจนตกลงไปได้อย่างไรกัน?

แสดงว่า…ไป๋หลี่เฉิงแพ้แล้วงั้นหรือ?

มีคนตะลึงงัน

มีคนประหลาดใจ

และมีคนหวาดกลัว

ผู้คนต่างมีท่าทีอารมณ์ที่แตกต่างกันไป

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท