ตอนที่ 81 อาจารย์พ่อและอาจารย์แม่
ลู่เจียวเหลือน้ำเต้าหู้บางส่วนไว้ในหม้อและปล่อยเคี่ยวต่อ นางตักน้ำเต้าหู้ไปให้แฝดสี่และเซี่ยอวิ๋นจิ่นดื่มคนละถ้วย สำหรับคนอื่นก็ให้ชิมแค่นิดเดียว ไม่เช่นนั้นถ้าให้ดื่มคนละถ้วยก็คงหมดก่อนจะได้ทำเต้าหู้ จากนั้นก็เติมดีเกลือเข้าไปในสวนที่เหลือ
ขั้นตอนทำนมถั่วเหลืองให้กลายเป็นเต้าหู้ ลู่เจียวไม่สอนใครเลย สอนเพียงเถียนซื่อ ทั้งยังอธิบายให้นางฟังว่าดีเกลือคืออะไร
หลังจากผสมเสร็จก็เทลงกล่องอัดที่นางทำขึ้นมา
ทั้งครอบครัวลู่ล้อมกล่องนั้นไว้ พวกเขาอยากเห็นกับตาว่าของชิ้นนี้จะทำให้นมถั่วเหลืองกลายเป็นเต้าหู้ได้จริงๆ หรือไม่
ถ้าสำเร็จ พวกเขาจะได้มีอาชีพเลี้ยงดูทั้งครอบครัว ฐานะจะได้ไม่ยากไร้เหมือนก่อนหน้านี้
สามพี่น้องรู้สึกชื่นอกชื่นใจขึ้นมาทันที
ลู่เจียวยกน้ำเต้าหู้ที่ตักไว้ไปให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นชิมในเรือนตะวันออก
“ท่านพ่อ อร่อยมาก ท่านรีบดื่มเร็ว”
“หอมหวานจัง”
“ท่านแม่บอกว่าตอนเที่ยงพวกเราจะได้กินเต้าหู้ที่ทำตอนนี้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยกน้ำเต้าหู้มา หันไปถามลู่เจียว “เจ้าดื่มหรือยัง”
ลู่เจียวพยักหน้า “ดื่มแล้ว”
ทว่าดื่มไปแค่สองคำเท่านั้น สำหรับนาง น้ำเต้าหู้ไม่ได้พิเศษพิสดารสักนิด ตอนอยู่ในภพก่อนนางก็ดื่มจนพอแล้ว
ลู่เจียวได้ยินคำพูดของนาง ก็ไม่ว่าอะไร เพียงก้มหน้าดื่มน้ำเต้าหู้ แต่ดื่มไปคำเดียวตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที รสชาตินี้ไม่เลวจริงๆ หอมมาก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นดื่มจนหมด ยังมีฟองขาวติดบนริมฝีปาก ลู่เจียวเห็นแล้วก็หัวเราะทันที ตอนนี้เจ้าหมอนี่กลายเป็นแมวน้อยขี้ขโมยไปแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นนางหัวเราะ ก็งุนงง “หัวเราะอะไรของเจ้า”
ต้าเป่าเข้าไปหาเขาทันที “ท่านพ่อ ปากของท่านเลอะน้ำเต้าหู้ ตรงนี้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยกมือลูบปาก ก็พบว่ารอบริมฝีปากเลอะน้ำเต้าหู้เต็มไปหมด ที่แท้ลู่เจียวหัวเราะที่ริมฝีปากของเขาเลอะน้ำเต้าหู้นี่เอง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นถลึงตามองนางอย่างไม่พอใจ ลู่เจียวก็หัวเราะมีความสุขยิ่งกว่าเดิม หันหลังมามองแฝดสี่
“เมื่อครู่นี้พ่อเจ้าเหมือนแมวน้อยขโมยของกินไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหน้าดำทะมึน จ้องหน้าลู่เจียวอย่างเย็นชา
ลู่เจียวจะเอาถ้วยเปล่าออกไปเก็บ เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบเอ่ยอย่างเย็นชา “รีบเอาผ้ามาเช็ดให้ข้า”
ลู่เจียวแค่นเสียงในลำคอ ไม่สนใจเขา แฝดสี่จึงเข้าไปปลอบโยนบิดาตัวเอง
“ท่านพ่อ ท่านไม่เหมือนแมวขี้ขโมยเสียหน่อย ท่านแม่มองผิดไป ท่านพ่อเหมือนผู้เฒ่าหนวดขาวต่างหาก”
“ไม่สิ ท่านพ่อเหมือนเจ้าสุนัขขนขาวถึงจะถูก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเหนื่อยใจ ให้ข้าเป็นแมวน้อยขโมยของกินยังดีเสียกว่า
ลู่เจียวที่อยู่นอกเรือนได้ยินบทสนทนาของคนข้างใน ก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้
คนสกุลลู่ที่อยู่ในสวนยังคงมุงดูกล่องนั้น ลู่เจียวคำนวณเวลาคร่าวๆ ก็คิดว่าน่าจะได้แล้ว จึงบอกลู่กุ้ย
“ยกก้อนหินที่อยู่ด้านบนออก เต้าหู้น่าจะได้ที่แล้ว”
ลู่กุ้ยเดินไปยกก้อนหินที่ทับบนกล่องเต้าหู้ และยกแผ่นไม้ที่ปิดไว้ด้านบนออกอย่างดีใจ ก็เห็นเต้าหู้สีเหลืองอ่อนและหอมกลิ่นถั่วเย้ายวนใจแล้ว
คนสกุลลู่หัวราะอย่างดีใจ “พวกเราทำเต้าหู้ได้แล้ว ดีจริงๆ”
ลู่เจียวเดินไปเอามีดในครัวมาหั่นเต้าหู้ตรวจดูอย่างละเอียด ก็พยักหน้าพอใจ “อืม ไม่เลว ตอนเที่ยงจะทอดเต้าหู้ให้พวกเจ้ากิน แล้วก็เอาเต้าหู้ไปตุ๋นน้ำแดง เอาไปผัดกับผักกาด”
อันที่จริงเต้าหู้เอามาประกอบอาหารได้มากมาย เช่นเต้าหู้ผัดพริกหมาล่า อาหารจานนี้ชูรสสัมผัสได้เป็นอย่างดี น่าเสียดายที่ไม่มีเครื่องปรุง จึงต้องเริ่มทำอาหารง่ายๆ ก่อน
ทว่าแค่นี้คนสกุลลู่ก็ดีใจมากแล้ว
ตอนเที่ยงนอกจากจะทำเต้าหู้ผัดผักแล้ว ลู่เจียวยังทำซี่โครงเปรี้ยวหวานและขาหมูต้มถั่วเหลือง
ทว่าเพราะมีหม้อเพียงใบเดียว จึงใช้เวลาทำอาหารค่อนข้างนาน
ตะเกียบและถ้วยก็ยังคงไม่พอ ถึงกับต้องยืมมาจากบ้านข้างๆ อีกครั้ง ลู่เจียวจึงตัดสินใจไปซื้อของให้ครบในวันพรุ่งนี้
ตอนบ่าย พวกเขาจึงคิดจะพามารดากลับบ้าน
ทว่าเถียนซื่อไม่ไป นางมองบุตรชายและสะใภ้ “พรุ่งนี้เจียวเจียวจะเข้าไปในเมืองเชิญหมอฉีมาผ่าตัดให้บุตรเขย ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะผ่ามะรืนเลย ถึงเวลาไม่มีใครดูแลแฝดสี่ ฉะนั้นตอนนี้ข้ายังไปไม่ได้ รอให้บุตรเขยผ่าตัดเสร็จแล้วค่อยว่ากันใหม่”
พวกเขาไม่ได้คัดค้าน เพียงขอบคุณลู่เจียวและเซี่ยอวิ๋นจิ่นด้วยรอยยิ้ม เตรียมตัวกลับบ้าน
ลู่เจียวรั้งพวกเขาไว้ มอบกระดาษให้สองสามใบ ด้านบนวาดรูปวิธีทำเต้าหู้ “ให้ท่านพ่อไปซื้อดีเกลือ กับผ้าขาวบางสำหรับกรองกากเต้าหู้ ใช้ผ้าทำที่แขวน จากนั้นทำกล่องอัดเต้าหู้สองสามใบ กะละมังอีกสองสามใบ ข้าวาดเป็นภาพวาดหมดแล้ว พวกเจ้าเอากลับไปทำตามแบบนี้ไปก่อน รอให้ท่านแม่กลับไป จะได้ทำเต้าหู้ขาย”
ลู่ผิงและลู่อันพยักหน้ารัว “ได้ พวกเราจะกลับไปเตรียมเดี๋ยวนี้”
สะใภ้ทั้งสองโบกมือให้ลู่เจียวอย่างแจ่มใส “น้องสาวกลับไปเถอะ ไม่ต้องส่งพวกเราแล้ว ค่อยไปเที่ยวที่บ้านนะ”
ลู่เจียวส่งสายตาให้แฝดสี่อำลาทุกคน
แฝดสี่พลันโบกมืออย่างเชื่อฟัง “ท่านลุงและท่านป้าสะใภ้ ลาก่อน ไว้มาเที่ยวใหม่”
สะใภ้ใหญ่เห็นแล้วอยากกลับไปสั่งสอนบุตรชายตัวเอง เขาก็โตกว่าแฝดสี่ตั้งหนึ่งขวบ แต่กลับใช้ไม่ได้เลยสักนิด
ช่วงบ่าย ลู่เจียวตัดชุดนอนให้แฝดสี่ ชุดนอนของเด็กเรียบง่ายมาก ก็แค่เสื้อแขนสั้นและกางเกงหลวมๆ ไว้ใส่ตอนกลางคืน
เถียนซื่อไม่เคยเห็นเสื้อผ้าแบบนี้ จึงรู้สึกอัศจรรย์ยิ่งนัก เข้าไปตัดเย็บเสื้อผ้าในเรือนตะวันตกพร้อมกับลู่เจียว
ซานเป่าและซื่อเป่าเฝ้าอยู่ด้านหลังไม่จากไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว ต้าเป่าไปอยู่กับบิดา ส่วนเอ้อร์เป่าออกไปฝึกวิชาต่อสู้ด้านนอก สุนัขสองตัวก็วิ่งรอบปลายเท้าเขาอย่างสุขใจ
ทั้งบ้านดูมีความสุขอย่างเรียบง่าย
เซี่ยเสี่ยวเป่าวิ่งเข้ามาจากนอกลานพลางก็ร้องเรียก “ท่านอาสะใภ้สาม มีแขกมาหา”
ลู่เจียวปวดหัวเล็กน้อย ใครมาอีกแล้ว
นางลุกขึ้นออกไปต้อนรับ นอกรั้วมีเกวียนควายจอดอยู่หนึ่งคัน บนเกวียนเป็นคนชรานั่งอยู่สองคน
ลู่เจียวรู้สึกไม่คุ้น สงสัยว่าทั้งสองมาผิดบ้านกระมัง ทว่ายังคงถามด้วยเสียงอ่อนโยน
“พวกท่านสองคนคือ?”
ทั้งสองเงยหน้าลู่เจียวด้วยแววตาแปลกประหลาด ผ่านไปสักพัก ผู้เฒ่าที่ดูแก่กว่าถึงพูดขึ้น
“ข้าคืออาจารย์เฉินจากเมืองชีหลี่ แต่ก่อนเคยสอนเซี่ยอวิ๋นจิ่น ได้ยินว่าเขาโดนรถม้าชน จึงมาเยี่ยมเยียนเขา”
ลู่เจียวขุดคุ้ยความทรงจำของร่างเดิม อาจารย์เฉินก็คือคนที่มาบอกเซี่ยเหล่าเกินว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นฉลาดชาญชัยไร้เทียมทาน มีอนาคตที่สดใสแน่นอน
คนคนนี้มีพระคุณต่อเซี่ยอวิ๋นจิ่นนัก เมื่อคิดได้เช่นนี้ ลู่เจียวก็ยิ้มจริงใจกว่าเดิม
“ที่แท้ก็คืออาจารย์พ่อและอาจารย์แม่นี่เอง เชิญเข้ามาด้านในก่อนเจ้าค่ะ”
ผู้ชราทั้งสองมองนางเพียงปราดเดียว ไม่พูดอะไรก็เดินเข้าไปด้านใน
ลู่เจียวรู้สึกว่าแววตาคู่นั้นดูลุ่มลึก ยากจะคาดเดา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นอาจารย์เฉินก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ พยายามลุกขึ้นมานั่ง
อาจารย์เฉินมองเขาพริบตาหนึ่งก็เดินเข้าไปรั้งเขาไว้ “พอเถอะ ไหนๆ ก็ลุกไม่ขึ้น ก็อย่าลุกเลย”